1. Class A พาวเวอร์แอมป์ชนิดนี้เน้นในเรื่องของคุณภาพเสียง ค่าความเพี้ยนตํ่า และเสียงรบกวนน้อย แต่มีข้อเสียในเรื่องของความร้อนที่ค่อนข้างจะสูงเพราะมีการป้อนกระแสไฟให้ทรานซิสเตอร์อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่มีสัญญาณอินพุทเข้ามาก็ตาม และกำลังขับที่ได้นั้นก็ค่อนข้างจะน้อย แอมป์ประเภทนี้จึงเหมาะกับนักฟังที่เน้นรายละเอียดของเสียงกลาง-แหลม ไม่เน้นอัดตูมตาม
2. Class B เป็นการใช้ทรานซิสเตอร์ 2ตัว ทำงานแบบ Push-Pull หรือ ผลัก ดัน ช่วยกันทำงานคนละครึ่งทาง และจะไม่มีการป้อนกระแสไฟล่วงหน้า ซึ่งมีข้อดีคือเครื่องไม่ร้อน แต่ข้อเสียกลับมากกว่าเพราะความผิดเพี้ยนสูงมาก เสียงจึงไม่มีคุณภาพ แต่ในปัจจุบันแอมป์ คลาสนี้คงจะไม่มีแล้ว
3. Class AB เป็นการรวมตัวกันของแอมป์ทั้ง 2คลาสที่กล่าวมา คือใช้ทรานซิสเตอร์ 2ตัว แต่จะมีการป้อนกระแสไฟปริมาณตํ่าๆเอาไว้ล่วงหน้าอยู่ตลอดแต่จะไม่มากเท่าคลาส A และการจัดวงจรก็ใช้แบบ Push-Pull เหมือนคลาส B จึงทำให้พาวเวอร์แอมป์ประเภทนี้มีคุณภาพเสียงที่ค่อนข้างดี ถึงแม้จะไม่เท่าคลาส A แต่ได้เปรียบในเรื่องของกำลังขับที่มากกว่า และเกิดความร้อนน้อยกว่า และคลาส AB นี้แหละเป็นแอมป์ที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน และสามารถนำไปขับได้ทั้งลำโพงกลาง-แหลม หรือแม้แต่ซับวูเฟอร์ก็ได้
4. Class D เป็นพาวเวอร์แอมป์กำลังขับสูง เน้นหนักในเรื่องพละกำลังเพียงอย่างเดียว แอมป์ชนิดนี้ถูกออกแบบมาสำหรับขับซับโดยเฉพาะ เหมาะกับพวกที่ชอบฟังเพลงหนักๆ เน้นพลังเบส กระแทกแรงๆ
SINGLE-AMP เป็นระบบที่ขยับต่อมาจาก HI-POWER โดยการเพิ่มแอมป์ไป 1ตัว อาจจะเป็นแอมป์ 4CH เพื่อขับลำโพงทั้ง 2คู่ หน้า-หลัง เพื่อให้เสียงที่ได้นั้นอิ่มแน่นขึ้น และมีรายละเอียดชัดเจนขึ้น
BI-AMP เป็นระบบที่นิยมสูงมากในปัจจุบัน คำว่า BI หรือ 2 ไม่ได้หมายความว่าใช้แอมป์ 2ตัวนะครับ แต่เป็นการแยกสัญญาณเสียงออกมา 2ชุด คือ กลาง/แหลม และซับวูเฟอร์ออกจากกัน โดยที่ปัจจุบันนี้สามารถใช้ครอสส์โอเวอร์ในแอมป์ตัดสัญญาณได้เลย ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอีเลคทรอนิคส์ ครอสส์โอเวอร์เหมือนสมัยก่อน
TRI-AMP เป็นระบบที่น่าปวดหัวมากพอสมควร เพราะต้องหาจุดตัดครอสส์โอเวอร์ให้ได้เหมาะสมทั้งหมด 3สัญญาณเสียง ตือ สูง/กลาง/ตํ่า แยกอิสระกันหมด แต่ต้องออกมากลมกลืน สอดคล้องกันอย่างลงตัว ซึ่งจำเป็นต้องใช้นักจูนมืออาชีพช่วยจัดการ