::: Behind ::: [Issue 1/2012] . . . " The Christmas Celebration in Hong Kong " . . .
ทุกๆ คนมีความฝันไหมคะ มั่นใจว่าเกินกว่า 90% ของคำตอบคือ "มี" อย่างแน่นอน เนื่องจากเราเป็นคนที่ชอบอ่าน และชอบขีดๆ เขียนๆ จึงมีความฝันเล็กๆ ว่า "อยากทำนิตยสาร" แต่ครั้นจะให้ลงทุนประกอบกิจการทำแบบจริงจัง ก็คงจะเป็นฝันที่ไกลเกินเอื้อม ณ ขณะนี้
...
ด้วยความที่เป็นคนชอบเดินทาง ชอบถ่ายภาพ ชอบขีดเขียนถ้อยคำ เราจึงขอนำสิ่งเหล่านี้มาประกอบรวมกัน ออกมาเป็น "Behind" นิตยสารออนไลน์ที่ไม่ได้มุ่งหวังผลกำไรใดๆ นอกเสียไปจากสามารถมอบประโยชน์เล็กๆ รอยยิ้มที่มุมปากน้อยๆ ให้กับคนอ่านได้บ้าง เท่านั้นก็สุขใจ
...
สำหรับฉบับปฐมฤกษ์นี้ อาจจะยังไม่ได้มีเนื้อหาสาระและรูปภาพมากมายสักเท่าไรนะคะ ถือว่าเป็นการแนะนำตัว Free Online Magazine น้องใหม่ และหากมีข้อบกพร่องประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

ในฉบับนี้มีเนื้อหาสาระอะไรมานำเสนอบ้าง ลองไปชมกันค่ะ

(ขอนำออกมาพิมพ์อีกที เผื่อว่าจะอ่านได้ไม่ชัดเจนเท่าไร เพราะภาพโดนทอนความละเอียดไปเยอะเลยค่ะ)
...
"Behind คือ นิตยสารออนไลน์ที่เกิดจากความฝันของผู้เขียนล้วนๆ ซึ่งผู้เขียนจะรวบรวมเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาหารการกิน วัฒนธรรม เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ และอื่นๆ นำมาฝากกันเป็นประจำทุกเดือน คอลัมน์อาจจะมีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละเดือนตามความเหมาะสม ขอแจงถึงคอลัมน์ต่างๆ ในฉบับนี้ให้ทราบคร่าวๆ นะคะ
Behind The Leisure แนะนำที่พักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม หรือรีสอร์ท Behind The Journey พาท่านไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ Behind The Traditional จะนำวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสถานที่มาให้ชมกัน Behind The Destination กล่าวถึงจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต้องการจะไปให้ถึงสักครั้ง Behind The Cuisine พาท่านไปลองลิ้มชิมรสอาหารอร่อยๆ มากมาย Behind The Viewfinder ท่านจะได้พบกับภาพประทับใจของเหล่าช่างภาพทั้งหลาย ว่าสาเหตุอะไรเขาจึงประทับใจภาพที่ได้คัดสรรมา Behind The Inspiration พาไปค้นหาสถานที่ ที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจต้องไปให้ถึงสักครั้ง Behind The Truth ท่านจะได้ทราบถึงประวัติ เกร็ดความรู้ เคล็ด (ไม่) ลับของเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจ
ฉบับนี้เราก็ได้รับเกียรติจากช่างภาพหญิง พี่สาวใจดีอย่าง คุณจิบ มาเรีย ณ ไกลบ้าน มาเล่าถึงเรื่องราวของภาพถ่ายที่ประทับใจใน คอลัมน์ Behind The View Finder ด้วยค่ะ ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงนะคะ

"Empire Hotel Kowloon" ตั้งอยู่บนถนน Kimberley ใจกลาง Tsim Sha Tsui ย่านการค้าสำคัญของฮ่องกง เดินเพียง 5 นาที จากสถานีรถไฟใต้ดิน Tsim Sha Tsui (Rating : 4 ดาว) ห้องพักรูปแบบเรียบง่าย ตกแต่งทันสมัย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน

สำหรับคอลัมน์ Behind The Jouney ฉบับนี้จะขอพาคุณผู้อ่านไปที่ Ngong Ping 360 สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของฮ่องกงค่ะ
"Ngong Ping 360" อยู่ทางตอนเหนือของเกาะลันเตา "360" หมายถึง ทิวทัศน์อันสวยงามที่มองเห็นได้ 360 องศาอย่างไร้ขอบเขต จากกระเช้าไฟฟ้านองปิงผ่านสนามบินนานาชาติฮ่องกง ชมความสวยงามและกว้างใหญ่ของ Tung Chung Bay

ระหว่างทางมักจะได้พบเห็นผู้คนเดินเท้าบนที่ราบสูงนองปิงด้วยศรัทธาแรงกล้าในการไปนมัสการพระใหญ่แห่งวัดโปหลิน ด้วยระยะทางยาวกว่า 5.7 กิโลเมตร กระเช้าไฟฟ้าจะพาคุณไปถึงหมู่บ้านนองปิงในเวลาประมาณ 25 นาที

"Giant Buddha" พระใหญ่แห่งวัดโปหลิน เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิประทับกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เชื่อกันว่าหากใครได้มา นมัสการกราบไหว้ขอพรพระใหญ่แล้ว ชีวิตจะประสบแต่ความสุข ความสำเร็จในทุกๆ ด้าน

ที่ฐานองค์พระมีรูปปั้นเทพธิดากำลังถวายเครื่องสักการะแด่พระพุทธบนสวรรค์ตามความเชื่อของนิกายมหายาน จึงเป็นที่มาของชื่อ พระพุทธรูปเทียนถานบนยอดเขานี้ (เทียนถานแปลว่าแท่นบูชาบนสวรรค์)
ภายในใต้องค์พระมีภาพศิลปะจีนโบราณมากมาย รวมถึงประวัติความเป็นมา และที่สำคัญเป็นที่ประดิษฐ์สถานพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้า ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกาอีกด้วยค่ะ (การเข้าชมในส่วนนี้จะมีค่าใช้จ่ายต่างหาก)

ในแต่ละสถานที่บนโลกใบนี้ ย่อมมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไปในด้านต่างๆ ในฉบับนี้จะขอกล่าวถึง "วัฒนธรรมในการรับประทานอาหาร" ของชาวฮ่องกงกันค่ะ
ถ้าจะเอ่ยถึงอาหารฮ่องกงที่มีชื่อเสียงนั้นมีอยู่มากมายหลายอย่าง แต่อันดับต้นๆ ที่ผู้คนมักจะนึกถึงคงจะหนีไม่พ้นอาหารชิ้นพอดีคำที่ จัดมาในเข่งแบบน่าทาน เช่น "ติ่มซำ" เป็นแน่แท้ วัฒนธรรมการรับประทานติ่มซำในฮ่องกงนั้นมีมาแต่ช้านาน
คงต้องกล่าวย้อนไปถึงในสมัยโบราณ ชาวจีนกวางตุ้งซึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน นิยมละเลียดติ่มซำตั้งแต่เช้า เดินเข้าไปในร้าน หยิบหนังสือพิมพ์จากแผงหนังสือ สั่งน้ำชา สั่งซาลาเปา ขนมจีบ นั่งคุย คีบขนมจีบแกล้มน้ำชา บ้างก็นั่งจิบชาอ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งกลายมาเป็นภาพที่เราพบเห็นจนชินตาในร้านอาหารติ่มซำในฮ่องกงตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีมาก่อนจนถึงปัจจุบัน
กล่าวกันว่า การรับประทานติ่มซำนั้น ต้องรับประทานอย่างละเมียดละไมให้สมกับความหมายของ "ติ่มซำ" ที่แปลว่า Touch the heart เพราะการทำอาหารชิ้นพอดีคำ ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ ต้องประดิษฐ์ประดอย พิถีพิถัน เพื่อให้เกิดความสวยงามและอร่อยน่าลิ้มลอง ดังนั้นในทุกอณูของติ่มซำจึงประกอบไปด้วยความรักและใส่ใจในการทำอย่างมากมาย ปัจจุบัน ติ่มซำยังคงเป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมจีนอย่างหนึ่งในการรับรองต้อนรับ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาธุรกิจ เลี้ยงลูกค้า และการจัด คู่นัดดูตัวระหว่างฝ่ายหญิงกับฝ่ายชาย

ส่วนอาหารที่ขอยกให้เป็นอาหารวัฒนธรรมของชาวฮ่องกงอีกสองอย่างนั้น คือ "น้ำเต้าหู้" และ "ก๋วยเตี๋ยว"
"น้ำเต้าหู้" ถ้าเอ่ยถึงเมนูนี้ เราๆ คุณๆ คงจะเคยคุ้นเพราะมักจะจัดกันเป็นอาหารเช้าแบบง่ายๆ ส่วนใหญ่คนไทยเราจะทานน้ำเต้าหู้กัน ไม่เป็นมื้อเช้า ก็จะเป็นมื้อเย็นย่ำค่ำมืดกันไปเลย การจะทานกันเป็นมื้อกลางวันหรือเวลาอื่นๆ นั้นไม่ค่อยได้พบเห็นเท่าไร
สังเกตได้จากร้านค้า รถเข็น ที่ขายน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ หลัง 8 โมงเช้าก็จะวายแล้ว จะหาซื้อได้อีกครั้งตามตลาดนัดหรือรถเข็นตอนช่วงหลัง 4 โมงเย็นเป็นต้นไป แต่ถ้าเป็นที่ฮ่องกง เราสามารถหาน้ำเต้าหู้หอมๆ อร่อยๆ คู่กับปาท่องโก๋ทอดกรอบนอกนุ่มในทานกันได้ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เช้ามืดจนถึงดึกดื่นเที่ยงคืน บางร้านก็แทบจะเปิดร้านกันตลอด 24 ชม. เลยก็ว่าได้ เพราะ "เต้าหู้" เป็นวัตถุดิบที่ชาวจีนแทบ ทุกบ้านในสมัยก่อนจะต้องมีติดบ้านไว้เสมอ อาหารจีนจึงมักจะมี "เต้าหู้" เป็นตัวชูโรงบนจานอาหารเป็นส่วนมาก
และนี่จึงเป็นการหล่อหลอมให้คนจีนในฮ่องกงรับประทานน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ กันจนกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ปัจจุบันนี้นอกจากน้ำเต้าหู้ร้อนๆ จากหม้อเคี่ยว ก็ยังพัฒนาเป็นน้ำเต้าหู้สดบรรจุขวดแช่เย็นตามซุปเปอร์มาร์เกตและร้านค้าต่างๆ ให้หาซื้อดื่มกินกันได้อย่างสะดวกสบาย
...
"ก๋วยเตี๋ยว" เป็นอาหารอีกประเภทหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของคนฮ่องกงมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 ตั้งแต่ขายอยู่บนรถเข็นจน ตอนนี้ขยับขยายมาขายบนร้านกันหมดแล้ว
ซึ่งก๋วยเตี๋ยวที่ฮ่องกงนั้นก็มีให้เลือกชิมมากมายหลายชนิดตั้งแต่เส้นจนถึงเครื่องเคราไม่ว่าจะเป็น บะหมี่เหลือง เส้นหมี่ขาว ฯลฯ ใส่เกี๊ยวกุ้งตัวอวบอ้วนรสชาติกลมกล่อม หมูหมัก เนื้อหมักนุ่มๆ แต่รสชาติเข้มข้น จะรับประทานอย่างแห้งหรืออย่างน้ำก็แล้วแต่ความชอบ
ปัจจุบันนี้เราสามารถพบเห็นก๋วยเตี๋ยวในเมนูของร้านอาหารแทบจะทุกร้านในฮ่องกงเลยก็ว่าได้ ด้วยราคาที่ไม่แพง สามารถรับประทานได้อิ่มท้อง "ก๋วยเตี๋ยว" จึงเป็นหนึ่งในอาหารฮ่องกงที่ขายดีที่สุด

จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไปให้ถึงในฮ่องกงนั้น มีอยู่มากมายหลายสถานที่ทีเดียวค่ะ แต่เราขอยกมาแค่ 3 สถานที่ ที่จัดได้ว่าอยู่ในอันดับต้นๆ นั่นก็คือ "วัดหวังต้าเซียน", "สำนักชีฉีหลิน" และ "สวนหนานเหลียน"
"วัดหวังต้าเซียน" Wong Tai Sin Temple จัดได้ว่าเป็นวัดที่มีผู้คนศรัทธามากที่สุดในฮ่องกง ด้วยอายุร่วมร้อยปีและเป็นวัดแห่งเทพ เจ้าหวังต้าเซียน (เทพเจ้าแห่งสุขภาพดี)
ในทุกๆ วันจึงมีผู้คนมากหน้าหลายตาไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศหรือชาวฮ่องกงเองต่างหลั่งไหลกันมาทำบุญ กราบสักการะกันไม่ขาดสาย แค่เพียงคุณก้าวเท่าออกจาก MTR สถานี Wong Tai Sin ไม่กี่ก้าว กลิ่นและควันธูปจะลอยมาเข้าจมูกคุณได้ไม่ยาก โดยเฉพาะในวันตรุษจีน คนจะนิยมมาไหว้หวังต้าเซียนและแย่งกันจุดธูปดอกแรกเพื่อความเป็นสิริมงคล ดังนั้นหากคุณได้ไปเยือนที่นี่ในวันตรุษจีน คงจะต้องระมัดระวัง เรื่องธูปกันให้มาก ทั้งจากคนอื่นและของตัวคุณเอง
...
"สำนักชีฉีหลิน" Chi Lin Nunnery ไม่น่าเชื่อว่าท่ามกลางความวุ่นวาย อึกทึกครึกโครม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของฮ่องกง จะมีสถานที่ ที่เงียบสงบและร่มรื่นอย่างสำนักชีฉีหลินซ่อนตัวอยู่อย่างกลมกลืนเพียงคุณได้ก้าวเข้าสู่แค่บริเวณประตูของสำนักชี ราวกับว่าคุณได้หลุดออกจากโลก แห่งความวุ่นวายยุ่งเหยิง เข้าไปยังอีกโลกหนึ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
สำนักชีฉีหลินอยู่ตรงข้ามกับสวนหนานเหลียน และสามารถเดินข้ามถนนด้วยสะพานลอยที่ทำไว้อย่างดี สำนักชีฉีหลินได้รับการบูรณะขึ้นใหม่เมื่อไม่นานนี้ เป็นโครงสร้างไม้ที่ไม่ใช้ตะปูเลย แต่อาศัยการเข้าไม้แบบโบราณ ถ้าให้สอดคล้องกับสวนหนานเหลียนก็ต้องเรียกสำนักชีแห่งนี้ว่า "จื้อเหลียน" (เหลียนแปลว่าดอกบัว) ซึ่งมีความหมายถึงจุดหมายสูงสุดทางพุทธศาสนาคือการตรัสรู้
แต่ส่วนใหญ่เรียก "ฉีหลิน" ตามสำเนียงกวางตุ้ง เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินชมได้เฉพาะชั้นนอกที่เห็นอยู่ข้างหน้า ส่วนชั้นในไม่ให้เข้าและห้าม ถ่ายภาพ เพราะเป็นส่วนที่สงวนไว้เพื่อความสงบในการปฎิบัติธรรม

"สวนหนานเหลียน" Nan Lian Garden สวนศิลปะที่สวยงามของฮ่องกง สิ่งปลูกสร้างทุกอย่าง ก้อนหินและต้นไม้ทุกต้นภายในสวน ถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดี รูปแบบการจัดวางต้นไม้ ก้อนหิน และสิ่งปลูกสร้างก็ทำขึ้นอย่างพิถีพิถัน เพื่อความสอดคล้อง กลมกลืน และสมดุลกัน
ที่โดดเด่นเป็นสง่าที่สุดของสวนแห่งนี้คงหนีไม่พ้น "ศาลาทอง" Perfection Pavillion Lotus Pond และ "สะพานไม้สีส้มแดง" Zi Wu Bridges ที่เมื่อต้องแสงแดดยิ่งสวยงาม
นอกจากนี้ยังมีส่วนอื่นๆ ในบริเวณสวนอีกมากมายที่สวยงามควรค่าแก่การไปเยี่ยมชมยิ่งนัก เชื่อได้เลยว่าคนที่รักต้นไม้และมีอารมณ์สุนทรีย์กับศิลปะ จะต้องรู้สึกเพลิดเพลินกับการเดินชมสวนนี้อย่างแน่นอน

แล้วก็มาถึงคอลัมน์ที่น่าจะถูกใจใครๆ หลายคนเลยนะคะ Behind The Cuisine ในฉบับนี้เราจะพาคุณไปอิ่มอร่อยกับอาหารทะเลสดๆ ที่ฮ่องกง ขอย้ำว่าสดจริงๆ เพราะขึ้นจากทะเลกันหมาดๆ ก็นำมาลงจานกันเลยก็ว่าได้
ด้วยภูมิประเทศของฮ่องกงเป็นเกาะที่ล้อมรอบด้วยทะเลเกือบทั้งหมด การหาอาหารทะเลทานจึงอาจไม่ใช่เรื่องยาก ในเมืองก็มีให้สั่งกัน แทบจะทุกภัตตาคาร แต่การจะหาอาหารทะเลทานสดๆ ในราคามิตรภาพ เราก็ควรจะบุกให้ถึงถิ่นกันไปเลย
เราเลือกที่จะเดินทางไปยังหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ อย่าง Sai Kung Town กันค่ะ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ไกลจากตัวเมืองฮ่องกงมากนัก นั่งรถเมล์สุดสายก็ถึงแล้ว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที และที่สำคัญร้านอาหารทะเลที่นี่ก็มีชื่อเสียงในด้านความอร่อยและราคาไม่แพงด้วยค่ะ
พอลงจากรถเมล์กลิ่นไอทะเลก็โชยมาทักทาย เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเรามาถึงที่หมายกันแล้ว เรือชาวประมงมากมายจอดเรียงรายกันอยู่ บ้างก็ขายอาหารทะเลเป็นๆ สดๆ บ้างก็เป็นเรือรับจ้างพานักท่องเที่ยวไปชมรอบเกาะ บรรยากาศคึกคักกำลังดีไม่ถึงกับพลุกพล่านจนวุ่นวาย
ถัดจากเรือชาวประมงไปไม่ไกล ก็จะพบเห็นร้านอาหารซีฟู้ดเรียงรายกันอยู่ริมถนน แต่ละร้านก็คลาคล่ำไปด้วยนักชิมจากทั่วสารทิศ บางคนก็สาละวนกับอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนบางคนก็เลือกที่จะพินิจพิจารณาของสดๆ หน้าร้านว่าจะสั่งปรุงเมนูไหนดี
ด้วยความที่ชาวบ้านที่นี่อาจจะไม่คุ้นกับการพูดภาษาอังกฤษกันแพร่หลายนัก หากเราจะไปสั่งปรุงเมนูเองอาจจะเกิดความเข้าใจผิด ปรุงผิดสูตรจนหมดอร่อยกันได้ ร้าน Chuen Kee Seafood จึงเป็นตัวเลือกของเราเพราะที่นี่มีอาหารแบบ Set Menu เป็นภาษาอังกฤษให้เราเลือกได้ โดยง่าย แต่หากโปรดปรานหรืออยากลองสั่งปรุงเองก็สามารถเลือกของสดหน้าร้านแล้วส่งภาษากับทางร้านได้เลยค่ะ

ความอร่อยของอาหารทะเลต้องมาจากความสดเป็นอันดับแรก หากสดจริงก็แทบจะไม่ต้องพึ่งน้ำจิ้มกันเลย

หลังจากเลือกเมนูไปไม่นาน อาหารแต่ละจานก็เริ่มทยอยมาวางลงบนโต๊ะ น่ากินไปซะหมดทุกอย่าง

หลังจากได้ชิมแล้วยิ่งติดใจในความสด อร่อย จนลืมการควบคุมน้ำหนักและไขมันในเส้นเลือดกันไปเลยทีเดียว

เป็นสุดยอดความประทับใจของมื้ออาหารสำหรับทริปฮ่องกงจริงๆ

คอลัมน์ Behind The Viewfinder ในฉบับนี้เราได้เกียรติจากพี่สาวใจดี ผู้มีรอยยิ้มที่แสนสดใสและเป็นกันเองอยู่เสมอ "คุณจิบ - มาเรีย ณ ไกลบ้าน"
ขอขอบพระคุณคุณจิบที่ช่วยสละเวลาและมอบภาพสวยๆ พร้อมถ้อยคำความหมายดีๆ ประเดิมให้กับนิตยสารออนไลน์น้องใหม่ฉบับนี้ด้วยนะคะ
(ขออนุญาตยกตัวหนังสือออกมาให้อ่านกันง่ายขึ้น)
...
"ภาพนี้เป็นจุดเริ่มแรกๆที่ทำให้สนใจการถ่ายภาพมาโครโคลสอัพอย่างจริงจัง ตั้งแต่ได้เลนส์มาโคร 100 มาได้สองเดือนครึ่ง
เป็นภาพโคลสอัพหยดน้ำค้างที่ไม่สวยสมบูรณ์แบบ แต่ใครจะคิดว่าหยดน้ำแค่ไม่กี่หยดบนใบกระหล่ำในภาพนี้ จะทำให้
ความทรงจำที่มีความสุขของครอบครัวที่รักในวันนั้นปรากฏอย่างชัดเจน เห็นแล้วนึกถึงอากาศหนาว เสียงหัวเราะ
และบรรยากาศครอบครัวที่อบอุ่นที่ภูทับเบิกในวันนั้นเป็นที่สุด"

"รูปนี้ถ่ายจากกล้องคอมแพ็คตัวเก่า เป็นไฟล์รูปที่ไม่สวยเนียนเหมือนรูปจากกล้องตัวใหญ่ แต่เป็นรูปที่เก็บความทรงจำที่สวยงามเอาไว้
เต็มกระปุกออมสินแห่งความทรงจำของตัวเองตลอดมา ทริปสุขสันต์หรรษาของครอบครัวมี พ่อ แม่ ลูก มีความรัก รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
ความสดชื่น ความตื่นตาตื่นใจกับภาพหมอกลอยอ้อยอิ่ง กลางหุบเขาใกล้เมืองหลวง ณ บ้านภูนรินทร์ เขาใหญ่
ไม่เคยคิดว่า จะเห็นภาพที่สวยงามตรงหน้าแบบนี้ได้ใกล้กรุงเทพขนาดนี้ และที่พิเศษ คือ เป็นทริปที่เป็นจุดเริ่มต้นของการรีวิว
ในห้อง Blue Planet ในพันทิป และเพราะรีวิวนี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพออนไลน์ที่สวยงาม กับการได้พบเจอเพื่อนพี่น้องที่น่ารักในเวลาต่อมา"

คำว่า "แรงบันดาลใจ" มีความหมายกับคุณมากเพียงใด สำหรับเราแล้ว แรงบันดาลใจจากภาพถ่ายฮ่องกงยามค่ำคืนที่สวยงามของ เหล่าช่างภาพมืออาชีพ ทำให้เราตะเกียกตะกายที่จะค้นหาและไปให้ถึงเพื่อที่จะได้เป็นผู้เก็บภาพสวยงามเหล่านั้นบ้าง (แม้ฝีมือจะยังห่างไกลเหลือเกิน)
ฮ่องกงเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล คุณสามารถพบเห็นแสงสีแสงไฟตระการตาได้โดยทั่วไปในฮ่องกง และในช่วงเทศกาลต่างๆ อย่างเช่น เทศกาลคริสต์มาสนั้น หลอดไฟสีสันต่างๆ ก็จะถูกเพิ่มเติม ติดประดับประดาตามตึกและสถานที่ทั่วไปอย่างมากมาย
มันช่างเป็นการค้นหาแรงบันดาลใจที่บรรยากาศดีสุดๆ อากาศเย็นๆ บวกกับแสงไฟระยิบระยับ ช่วยให้เราเพลิดเพลินกับการเก็บภาพไนท์วิวของฮ่องกง ได้อย่างไม่รู้เบื่อเลยทีเดียว
สถานที่แนะนำสำหรับการไปเก็บภาพยามค่ำคืนของฮ่องกง คือ Sky100 Observation Deck ที่ตึก ICC, ริมอ่าววิคตอเรียเก็บแสงสีของ Symphony of Lights (จัดแสดงทุก 2 ทุ่มของทุกวัน), Sky Terrace ที่ยอดเขาวิคตอเรีย (The Peak)




แล้วก็มาถึงหน้าสุดท้ายของ Behind ฉบับปฐมฤกษ์แล้วนะคะ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศการเฉลิมฉลองปีใหม่ เราจะขอนำเกร็ดความรู้
และประวัติความเป็นมาของ "การ์ดอวยพร" หรือ "ส.ค.ส." มาฝากคุณผู้อ่านค่ะ (ขอขอบคุณบทความจาก Around)
...
ใครจะรู้ว่าการ์ดอวยพรหรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า "ส.ค.ส" แผ่นกระดาษใบเล็กๆ กลับแฝงไว้ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 200 ปี นับตั้งแต่ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังคงทำหน้าที่ถ่ายทอดส่งต่อความสุขจนถึงยุคสมัยปัจจุบัน (แม้จะถูกแปรเปลี่ยนรูปแบบไปก็ตาม)
การใช้การ์ดเพื่อเป็นตัวแทนความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นครั้งแรกทางตะวันตกช่วงกลางศตวรรษที่ 18 หรือประมาณปลายสมัยอยุธยาของไทย แต่ในสมัยนั้นการ์ดจะมีขนาดเท่าไพ่เรียกว่า "บัตรเยี่ยม" เนื่องจากมีวัตถุประสงค์เพื่อเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกัน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาการ์ดก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไป โดยในวันคริสต์มาส ปี ค.ศ. 1843 เซอร์เฮนรี่ โคล ได้เข้าถวายพระพรพระราชินี แห่งอังกฤษและพระสวามีด้วยการ์ดคริสต์มาสเป็นครั้งแรก ในปีเดียวกันนี้บริษัท London Co., Ltd. จึงผลิตการ์ดคริสต์มาสออกมาจำหน่าย ซึ่งทำให้ผู้คนหันมาสนใจส่งการ์ดคริสต์มาสช่วงคริสต์มาสและปีใหม่เป็นจำนวนมหาศาล
สำหรับประเทศไทยการ์ดคริสต์มาส หรือบัตรอวยพรเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2409 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งมีลักษณะเป็นการ์ดอวยพรปีใหม่ที่ สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเขียนอวยพรด้วยลายพระหัตถ์พระองค์เอง เพื่อพระราชทานสำหรับคณะทูตานุทูต ข้าราชบริพาร และมิตรสหายชาวต่างประเทศ เนื่องในวาระวันขึ้นปีใหม่สากล เมื่อวันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2409
หลังจากนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ทุกๆ เดือนเมษายนซึ่งตรงกับวันขึ้นปีใหม่ของไทย การส่งการ์ดอวยพรเป็นที่นิยมถึงขีดสุด เพราะถือว่าเป็นธรรมเนียม ของคนที่มีอารยะ จนในสมัยนี้เองได้เกิดคำที่เรียกการ์ดอวยพรขึ้นว่า "ส.ค.ส." ซึ่งย่อมาจาก "ส่งความสุข" และใช้คำว่า "ถ.ค.ส" เพื่อถวายความสุข แด่พระมหากษัตริย์
นอกจากนี้การรับวัฒนธรรมจากตะวันตกทำให้เริ่มมีการส่งการ์ดอวยพรในวันคริสต์มาส 25 ธันวาคม หรือที่ในสมัยนั้นเรียกว่า "วันตรุษฝรั่ง" และเปลี่ยน วันขึ้นปีใหม่ตามสากลเป็นวันที่ 1 มกราคม
ในยุคแรกลักษณะของการ์ดจะมีขนาดเล็กเท่านามบัตร ลักษณะที่โดดเด่นของการ์ดคือ ภาพลักษณ์ที่สวยงามหลากหลายที่จะมาพร้อมกับคำอวยพร ร้อยแก้วหรือร้อยกรองอันสละสลวย อีกทั้งมีการใช้คำที่แตกต่างจากปัจจุบัน เช่นคำว่า "ศุข" แทนคำว่า "สุข" คำว่า "รฤก" แทนคำว่า "ระลึก" จากนั้นรูปลักษณ์ของการ์ดจึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยจนมีเสียงเพลงหรือป๊อปอัพอย่างในปัจจุบัน
แม้ว่าเวลานี้ ส.ค.ส. ยังคงมีขายทั่วไปทั้งตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ จนกระทั่งร้านค้ารายย่อย แต่ความนิยมในการส่งการ์ดส.ค.ส. เริ่มลดน้อยลงไปทุกที เพราะเริ่มมีเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเริ่มหันมาส่งข้อความอวยพรผ่านทางโทรศัพท์มือถือ อีเมล์ เฟซบุ๊ก หรือโปรแกรมส่งการ์ดอวยพรออนไลน์ เพื่อความสะดวกสบาย
แต่ลืมคิดว่าคำอวยพรเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ตัวอักษรที่พิมพ์ผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างความสุขแก่ผู้รับเพียงชั่วครู่เท่านั้น คงไม่มีค่า อะไรเมื่อเทียบกับส.ค.ส. ที่เราเลือกและบรรจงเขียนด้วยลายมือ เพื่อถ่ายทอดความสุขถึงผู้รับอย่างแท้จริง
...
สำหรับฉบับหน้าเราจะพาคุณผู้อ่านไปซึมซับบรรยากาศความหวานให้สมกับเป็นเดือนแห่งความรักกันค่ะ อย่าลืมติดตามกันนะคะ 

Create Date : 16 มกราคม 2555 |
Last Update : 4 มกราคม 2556 13:19:26 น. |
|
12 comments
|
Counter : 2695 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: ปรินดา (ภูเก็ต- USA ) IP: 68.46.207.139 วันที่: 16 มกราคม 2555 เวลา:21:24:29 น. |
|
|
|
โดย: พี่ชินค่ะ IP: 125.25.157.174 วันที่: 27 มกราคม 2555 เวลา:11:57:09 น. |
|
|
|
โดย: พี่ชินค่ะ IP: 125.25.157.174 วันที่: 27 มกราคม 2555 เวลา:17:32:22 น. |
|
|
|
โดย: คุณแม่ลุก3 IP: 119.74.252.163, 220.255.2.43 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:11:03:02 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|