2. Did you know: ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากที่ได้รู้เรื่องราวของประวัติศาสตร์ ข้อมูลทั่วไป และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสวิสไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเหตุผลที่ว่า ทำไม๊... ทำไม นักท่องเที่ยวชาติถึงได้ทยอยหลั่งไหลเข้าไปเที่ยวที่สวิตเซอร์แลนด์กันมากมายขนาดนั้น ประเทศนี้มีอะไรน่าเที่ยวนักเหรอ แล้วถ้าจะไปเที่ยวเนี่ยควรจะไปที่ไหนที่เป็นไฮไลต์สุดๆ ของเมืองนี้ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับอากาศในสวิตเซอร์แลนด์ด้วยว่าไอ้ที่ว่าหนาวจนเป็นน้ำแข็งเนี่ย มันจะหนาวซักเท่าไหร่กันเชียว แล้วคนไทยอย่างเราๆ เนี่ยถ้าจะไปเที่ยวหน้าหนาวที่นั่น จะทนหนาวขนาดนั้นได้หรือเปล่า แล้วถ้ามันหนาวขนาดนั้น เราควรจะไปเที่ยวช่วงไหนถึงจะดีที่สุด
ทำไม๊... ทำไมต้องสวิสเซอร์แลนด์ คำถามนี้อาจจะเป็นคำถามคาใจของผู้คนหลายๆ คนที่สงสัยว่า ทำไมนักท่องเที่ยวทั้งหลายแหล่ ทั้งที่เป็นคนไทย และคนต่างชาติถึงได้ใฝ่ฝันว่า หากมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ก็อยากไปที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถ้าจะให้ตอบอย่างง่ายๆ ก็คงต้องบอกว่า เพราะประเทศสวิตเซอร์แลนด์ถือว่าเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวเลยน่ะสิ ท่ามกลางพื้นที่กว่า 40000 ตารางกิโลเมตร สวิตเซอร์แลนด์มีทั้งความงดงามทางธรรมชาติ ทะเลสาบสีน้ำเงินเข้มที่สะท้อนกับแสงแดดส่องประกายระยิบระยับ เทือกเขาขนาดใหญ่ที่ทอดตัวตลอดแนวยาวของประเทศ รวมทั้งยอดเขาที่มีหิมะสีขาวปกคลุมอยู่เกือบตลอดทั้งปี และมรดกทางวัฒนธรรมที่ยังคงอยู่ไว้จนทุกวันนี้ ทั้งหมดนี้เองที่เป็นปัจจัยที่ทำให้สวิตเซอร์แลนด์มีชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งการท่องเที่ยวใจกลางทวีปยุโรป บรรยากาศฤดูร้อนริมทะเลสาบ Lucerne ในช่วงต้นๆ ปีโดยเริ่มตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคมจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่ถือว่าเป็นช่วงเริ่มก่อกำเนิดของแมกไม้นานาพันธ์พื้นที่บริเวณส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่บริเวณเทือกเขาสูงก็จะเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อน ดอกหญ้าสีขาว ต้นไม้ที่เริ่มผลิใบ ดอกไม้ที่ค่อยๆ เริ่มเบ่งบานเป็นสีเหลือง และสีบานเย็น ส่วนในบางเขตที่อยู่ใกล้ประเทศอิตาลี เช่น บริเวณทะเลสาบลูกาโน่ (Lugano) หรือทะเลสาบแมกจิโอเร่ (Maggiore) ซึ่งมีลักษณะภูมิอากาศคล้ายกึ่งเขตร้อน ก็จะมีพืชตระกูลปาล์มให้เห็นอยู่ทั่วไป ส่วนในเขตที่เป็นเทือกเขาแอลป์ ก็จะมีดอกไม้พันธ์ไม้ต่างๆ ที่ขึ้นตามเขตเทือกเขาแอลป์ ขึ้นกระจายอยู่ และดอกไม้นานาพันธุ์พวกนี้จะเริ่มโตเต็มที่ในหน้าร้อนระหว่างช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ธรรมชาติปั้นแต่งให้สวิตเซอร์แลนด์เป็นดินแดนสำหรับนักท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างแท้จริง มีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวทำมากมายนับไม่ถ้วน นักท่องเที่ยวสามารถเดินป่า หรือเดินเล่นเย็นใจๆ ตามสองฝั่งทะเลสาบหรือแม้กระทั่งเดินชมความงามของอาคารบ้านเรือน โบสถ์ หรือพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ในสวิตเซอร์แลนด์ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ก็ยังมีกีฬาทางน้ำหลากหลายประเภทให้เล่นไม่ว่าจะเป็นการลงเล่นน้ำ การเล่นเรือใบ หรือแม้กระทั่งการล่องเรือชมทะเลสาบน้อยใหญ่ที่มีอยู่แทบทุกส่วนของประเทศ เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงทุ่งหญ้า และต้นไม้บางต้นก็จะถูกธรรมชาติเปลี่ยนให้กลายเป็นสีเหลืองทองตัดกับสีเขียวของต้นไม้ที่ยังคงไม่มีการผลัดใบและยังมีสีแดงของใบเมเปิล ทำให้ช่วงนี้เป็นช่วงที่ธรรมชาติมีหลายหลากสีสันที่สุด เรียกได้ว่าเป็น Colorful season ทิวทัศน์ในช่วงนี้แหละที่เราๆ ท่านๆ มักจะเห็นจากในหนังสือ ปฏิทินต่างๆ หรือในหนังวิดิโอโฆษณาเชิญชวนให้มาเที่ยว ถ้าใครชอบถ่ายรูปแล้วล่ะก็ ต้องมาหามุมสวยๆ ที่นี่เลย หมุนตัวไปทางไหนก็มีมุมให้ถ่ายตลอดเวลา เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวก็จะมีหิมะตกพื้นที่ส่วนใหญ่จะปกคลุมไปด้วยหิมะดูขาวโพลนตระการตา มีธารน้ำแข็งหลายสายซึ่งแต่ละสายนั้นก็มีความยาวเป็นสิบกิโลมตร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่แปลกใหม่ น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเหมือนกันสำหรับคนที่อยู่อาศัยในเขตร้อนอย่างบ้านเรา ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวแต่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็เป็นดินแดนที่ไม่เคยหลับไหล เพราะว่าก็ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปอยู่เรื่อยๆ กิจกรรมในหน้าหนาวนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นกีฬาการเล่นสกี ลากเลื่อน ถ้าใครไม่ชอบเล่นสกี ก็สามารถขึ้นไปเล่นปั้นตุ๊กตาหิมะ เดินเล่นชมความงามของถ้ำน้ำแข็งที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์จัดทำเอาไว้สำหรับในท่องเที่ยวในหน้าหนาว หรือจะทำเพียงแค่โพสต์ท่าสวยๆ ถ่ายรูปกับหิมะก็ได้ ในบางเขตก็จะมีการนำสุนัขลากเลื่อนมาให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย ต้นฤดูหนาวที่ Zermatt
แต่ถ้าใครท่องเที่ยวธรรมชาติ ขึ้นเขาลงห้วยจนหนำใจแล้ว ก็จะเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวในเขตเมืองบ้างก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไร ใครๆ ที่คิดว่าสวิตเซอร์แลนด์มีแค่ธรรมชาติเท่านั้นก็ขอให้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะว่าสิ่งก่อสร้าง ตึกรามบ้านช่องที่นี่ก็สวยและมีความสำคัญไม่แพ้ที่อื่น และยังมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นมรดกโลกของ UNESCO อีกถึง 4 ที่ด้วยกัน คือ โบสถ์ St. Johan ในเมือง Müstair, โบสถ์สไตล์บารอค St. Gallen, ปราสาทสาท 3 หลัง ป้อมปราการ และกำแพงเมืองในสมัยยุคกลางที่เมือง Bellinzona และเขตเมืองเก่าในกรุงเบริ์น เขตเมืองเก่าในเบริ์น เมืองหลวงของสวิส นอกจากสถานที่เที่ยวทางด้านวัฒนธรรมแล้ว สวิสก็ยังมีงานสถาปัตยกรรมที่เด่นๆ อีกหลายที่ซึ่งกระจัดกระจายไปตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น โบสถ์ในเมือง Fribroug, มหาวิหารในเมือง Basel, ศิลปะสไตล์บารอกที่เมืองแห่งเทพนิยาย Solothurn หรือแม้กระทั่ง ปราสาทชิลลอน (Castle of Chillon) ในเมืองมองเทรอซ์ (Montreux) ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 13 เนี่ยแหละคือ ความงามของธรรมชาติและความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ดึงดูดให้ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาท่องเที่ยวปีละนับหลายสิบล้านคน แต่ถ้ามีแต่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่การให้บริการกลับไม่ได้เรื่อง ผู้คนไม่เป็นมิตร เหตุการณ์ภายในประเทศมีแต่ความวุ่นวายก็คงไม่มีใครอยากมาเที่ยวแน่ๆ ดังนั้นสิ่งที่สวิสมีนอกเหนือจากภูมิประเทศที่สวยงามแล้ว คือการให้บริการที่ดีเยี่ยม ต่อให้อยากไปเที่ยวที่หุบเขาสูงชันลึกขนาดไหน ไม่ต้องเป็นห่วงว่าการเดินทางจะลำบาก เพราะยังไงๆ ก็มีรถไฟไปถึงแน่ๆ หรือถ้าอยากจะนั่งรถชมวิวไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีใครว่าอะไร ทางสวิตเซอร์แลนด์เค้าก็มีบริการถไฟสายพาโนรามามากมายหลายสาย ซึ่งแต่ละสายนั้นก็จะนำนักท่องเที่ยวเดินทางสู่สภาพถูมิประเทศ ทัศนีภาพที่สวยงามในบรรยากาศแตกต่างกันไปในแต่ละเส้นทาง นอกจากการบริการที่ให้ความสะดวกสบายแล้วความสะอาดของที่พัก บ้านเรือน ถนนหนทาง ผู้คนที่เป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส มีน้ำใจ ไม่เอาเปรียบหรือว่าโก่งราคาสินค้าเพื่อขายแก่นักท่องเที่ยวและความสงบสุขของบ้านเมืองก็เป็นหลายๆ สิ่งที่ผสมผสานรวมกันอยู่ในประเทศสวิคเซอร์แลนด์ก็เป็นสิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศสวิตเซอร์แลนด์เก็บไว้เป็นความประทับใจไม่รู้ลืม 2. ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ ทีนี้ก็มาถึงอีกคำถามหนึ่งว่า ถ้าตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวที่สวิสเซอร์แลนด์แล้วเนี่ยควรจะไปที่ไหนดี ที่แบบว่าเป็นไฮไลต์สุดๆ พลาดไม่ได้ อันที่จริงๆ ที่ไหนๆ ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มันก็สวยเหมือนกันกับทุกที่ ดังนั้นการเลือกไฮไลต์สุดๆ ของแต่ละคนนั้นก็อาจจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีเวลามากหรือน้อยเท่าไหร่ ชอบเที่ยวแบบไหน บางคนชอบเที่ยวธรรมชาติ เดินลุยๆ แต่บางคนชอบชอปปิ้ง เที่ยวตามเขตเมืองใหญ่ เอาเป็นว่าในตอนนี้จะขอนำที่เที่ยวสำคัญๆ ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติมาแสดงไว้แบบย่อๆ เพื่อให้เป็นรู้ไว้เป็นข้อมูลคร่าวๆ อย่างน้อยก็พอจะปิ๊งเป็นไอเดียขึ้นมาบ้าง ว่าต้องไปเที่ยวที่ไหนบ้างส่วนรายละเอียดของแต่ละสถานที่จะค่อยๆ เล่าในบทต่อๆ ไป ถ้าใครสนใจจะไปที่ไหนเป็นอันดับแรกก็เชิญเตรียมแผนการเที่ยวได้ตามสบาย แต่ถ้าใครมีเวลาอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ประมาณ 10 วันก็สามารถเที่ยวได้ทุกที่ตามในแผนที่ได้เลย ไม่มีปัญหา
Rheinfall เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป อยู่ระหว่างชายแดนประเทศเยอรมันและสวิตเซอร์แลนด์ โดยส่วนใหญ่แล้วน้ำตกแห่งนี้จะบรรจุอยู่ในโปรแกรมของบริษัททัวร์หลายบริษัท น้ำตกแห่งนี้สูง 23 เมตร ในหน้าร้อนก็จะมีบริการให้นั่งเรือชมน้ำตกแห่งนี้ Basel เป็นเมืองรอยต่อของสามประเทศ คือ เยอรมัน ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเมืองที่มีแม่น้ำไรน์ (Rhein) ไหลผ่าน แบ่งตัวเมืองเป็น 2 ฝั่ง โดยลักษณะของตัวเมืองถือว่าเป็นเมืองเก่าที่โรแมนติกมากๆ เมืองหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และชอบงานศิลปะ เพราะว่าเมืองนี้มีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งมากมายนับไม่ถ้วน แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดของเมืองนี้ก็คือ ศาลาว่ากลางเมืองสีสดใสที่ตั้งเด่นอยู่บริเวณใจกลางเมือง แล้วถ้าหากมีเวลาเหลือ การเดินเล่นเย็นๆ ใจเลียบแม่น้ำไรน์ก็เพลินใจดีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าซูริคจะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ก็เป็นที่สำคัญไม่น้อยหน้ากัน ซูริคเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ และคงเป็นเมืองเริ่มต้นการท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย สถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่น คือ Grossmünster หรือว่าโบสถ์หอคอยคู่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 ถ้าเดินเที่ยวเล่นในโบสถ์เสร็จแล้วก็สามารถเดินต่อไปยังเขตเมืองเก่าของซูริคได้ หรือถ้าใครเป็นคนที่รักการชอปปิ้ง ที่ซูริคก็มีของมากมายให้เลือกสรร เช่น นาฬิกาสวิส ชอคโกแลต หรือของที่ระลึกจากสวิตเซอร์แลนด์ เขต Appenzell เป็นเขตที่มักจะถูกลืมไป นักท่องเที่ยวชาวไทย มักจะเดินทางไปเฉพาะแต่เมืองใหญ่ๆ อย่างซูริค เบริ์น ลูกเซิน หรือเมืองที่มีชื่อเสียงอย่าง Interlaken และ Zermatt จนลืมไปว่า ทางด้านตะวันออกยังมีเมืองเล็กๆ อย่าง Appenzell ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นที่เล็กที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ เมืองที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี วิถ่ชีวิตขอคนในเขตนี้คือการเลี้ยงสัตว์ เมืองนี้ไม่ได้เป็นเมืองที่โดดเด่นในด้านการท่องเที่ยว แต่ที่นี่เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถมาสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวสวิสอย่างแท้จริง เบริ์นเป็นเมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และบริเวณที่เป็นเขตเมืองเก่าของเมืองเบิร์นนั้นได้รับการยกย่องจากองค์การ UNESCO ให้เป็นเมืองมรดกโลก ตัวเมืองจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งโดยมีแม่น้ำ Aare ไหลผ่านใจกลางตัวเมือง ถนนบริเวณที่เป็นเมืองเก่านั้นเป็นถนนสายที่มุ่งไปสู่โบสถ์ขนาดใหญ่ประจำเมือง และที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดก็คือนาฬิกาดาราศาสตร์ที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมือง นอกจากนั้นสองข้างทางของถนนในเขตเมืองเก่าก็ยังมีร้านรวงต่างๆ ตั้งเรียงรายให้นักท่องเที่ยวได้ชอปปิ้งกันอย่างจุใจ โดยถนนสายชอบปิ้งของเมืองเบริ์นนั้นเป็นถนนชอปปิ้งที่มีหลังคาที่ยาวที่สุดในยุโรป มีความยาวทั้งสิ้น 6 กิโลเมตร ดังนั้นสำหรับนักช้อปทั้งหลายจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าฝนฟ้าจะเป็นอุปสรรคสำหรับการชอปปิ้ง ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับการชอปปิ้ง เมื่ออกจากเขตเมืองเก่าเดินข้ามแม่น้ำไปจนสุดทางก็จะได้พบกับบ่อหมีซึ่งเลี้ยงหมีสีน้ำตาลซึ่งเป็นวัตว์สัญลักษณ์ของเบริ์นไว้ ทุกๆ แปดโมงเช้า เจ้าหน้าที่ก็จะเปิดกรงหมีให้ออกมาเดินทักทายกับนักท่องเที่ยวที่ไปยืนรอชมอยู่เป็นจำนวนมาก
เมืองนี้เป็นเมืองที่ถูกบรรจุอยู่ในโปรแกรมทัวร์ของแทบทุกบริษัททัวร์ในเมืองไทย เป็นเมืองแห่งสะพานไม้สุดคลาสสิคที่ทอดตัวยาวลงไปในบริเวณส่วนที่แคบที่สุดและในขณะเดียวกันก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นของทะเลสาบลูเซริ์นอีกด้วย จากสถานีรถไฟถ้าเดินข้ามสะพานไม้ไปก็จะผ่านถนนสายชอบปิ้ง ซึ่งเชื่อมต่อไปยังอนุสาวรีย์สิงโตที่แสดงถึงความกลล้าหาญและจงรักภักดีของทหารของสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญทางธรรมชาตินั้นมีอยู่ 2 ที่ คือ ตัวทะเลสาบลูเซริ์น หรือเป็นที่รู้จักกันในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า Vierwaldstätter See และ ยอดเขา Pilatus ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมทัศนีภาพของตัวเมืองและทะเลสาบได้จากยอดเขานี้ สะพานไม้เลื่องชื่อของลูเซิร์น 7. เมือง Interlaken Interlaken ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบ 2 ทะเลสาบ คือ ทะเลสาบ Thun และ ทะเลสาบ Brienz ซึ่งการตั้งชื่อเมืองนี้ก็น่าจะมาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ โดยคำว่า Interlaken นั้นมีความหมายว่า ระหว่างทะเลสาบ เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่สองข้างทางมีแต่ร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และโรมแรมที่พักเต็มไปหมด ถ้าไม่เน้นช้อปปิ้งก็ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมงก็เดินได้ทั่วทั้งเมืองแล้ว แต่เมืองนี้กลับเป็นเมืองที่เป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก เพราะเมือง Interlaken นี้เป็นจุดเริ่มตั้นของการเดินทางขึ้นสู่ยอดเขา Jungfraujoch ยอดเขาที่ถือว่าเป็ร Top of Europe ที่เรียกว่าเป็น Top of Europe ก็เนื่องจากสาเหตุที่ว่าที่บริเวณยอดเขา Jungfraujoch ต่อเนี่ยงไปถึงยอดเขา Eiger มีสถานีรถไฟที่อยู่สูงที่สุดในยุโรป คือ 3454 เมตรจากระดับน้ำทะเล เมื่อขึ้นไปถึงบนยอดเขาแล้ว ก็จะสามารถชมทิวทัศน์ความยิ่งใหญ่ของเทือกเขาแอลป์ ธารน้ำแข็ง และยังมีปราสาทน้ำแข็ง (Ice Palace) ที่ภายในมีการตกแต่งด้วยน้ำแข็งแกะสลักเป็นรูปต่างๆ ให้ได้ชมกัน ส่วนในฤดูหนาวมีการให้บริการสุนัขลากเลื่อนด้วย นอกจากยอดเขา Jungfraujoch แล้วบริเวณรอบๆ เมือง Interlaken ก็ยังมีธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจทั้งในเขต Grindelwald และ Lauterbrunnen โดยใน 2 เขตนี้จะมีทั้งทุ่งหญ้าเขียวขจี น้ำตก ยอดเขาสวย ทะเลสาบเล็กใหญ่หลายแห่งซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาที่สูงชัน เมื่อท่องเที่ยวเทือกเขาแอลป์กันอย่างเต็มอิ่มแล้วก็อย่าลืมแบ่งเวลาไว้ล่องเรือชมความงามของทะเลสาบ Thun ด้วยแล้วกัน เพราะทะเลสาบนี้ก็สวยงามไม่ยิ่งหน่อยไปกว่าทะเลสาบอื่นๆ เลย หรืออาจจะรวมไปถึงเมืองตากอากาศริมทะเลสาบ Thun อย่างเมือง Spiez เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งชายฝั่งของสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากเมืองมองเทรอซ์ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเจนีวาและอยู่บริเวณตีนเขาของเทือกเขาแอลป์ จึงทำให้เมืองมองเทอรซ์แห่งนี้เป็นเมืองที่โอบล้อมไปด้วยเทือกเขา จะหันไปมองทางไหนก็จะเจอแต่เทือกเขาเต็มไปหมด ถ้านั่งรถเลียบชายฝั่งของทะเลสาบเจนีวาไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นปราสาทสมัยโบราณตั้งเด่นอยู่ริมน้ำโดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขาแอลป์อันสวยงาม ปราสาทนี้ คือ ปราสาทชิลลอน (Chillon) ซึ่งเป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยศษวรรตที่ 13 ทีนี้ก็มาถึงความสำคัญของทะเลสาบเจนีวาบ้าง ทะเลสาบเจนีวาเป็นทะเลาสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บริเวณกลางทะเลสาบในส่วนที่อยู่ในเมืองเจนีวาก็จะมีน้ำพุขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า Jet d´Eau นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรืองล่องชมความงามของทะเลสาบเจนีวาได้และระหว่างที่ล่องเรือนั้นก็สามารถแวะตามเมืองต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ทะเลสาบได้อีก โดยเมืองที่มีชื่อเสียงนั้นก็ได้แก่ เมืองเจนีวาและเมืองโลซานน์ ไฮไลต์ของเมืองนี้ที่ถือว่าเป็นที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ไปเลยก็คือการขึ้นไปชมยอดเขา Matterhorn การขึ้นไปยัง Matterhorn นั้นสามารถเดินขึ้นไปเรื่อยๆ หรือว่าถ้าต้องการความสะดวกสบายและมีเวลาจำกัดก็สามารถนั่งรถไฟสาย Gonnergrat หรือนั่งรถกระเช้าสาย Schwarzsee paradise ไปก็ได้ ซึ่งระหว่างการเดินทางของเส้นทางแต่ละสายก็จะเห็นมุมมองและวิวทิวทัศน์ที่สวยงามต่างกันไป นอกจากยอดเขา Matterhorn แล้ว ในบริเวณเทือกเขาแอลป์ที่นี่ก็ยังมีทะเลสาบอีกหลายแห่งซึ่งแต่ละแห่งก็จะมีภาพสะท้อนของยอดเขา Matterhorn อยู่บนผืนน้ำดูแล้วสวยงามตระการตา พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง คราวนี้ลองข้ามมาทางฝั่งตะวันออกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์กันบ้าง เมือง St. Moritz ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บนที่ราบบนภูเขา ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1856 เมตร จนเรียกได้ว่าเป็นหลังคาของยุโรป (Roof of Europe) เมือง St. Moritz จะเต็มไปด้วยหมู่บ้านเล็กๆ บริเวณเชิงเขา สถานที่เที่ยวที่น่าสนใจของที่นี่ก็คือการไปชมทะเลสาบซิลวาพลานา (Silvaplana) ซึ่งเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยทะเลสาบเล็กๆ อีก 2-3 ทะเลสาบ อยู่ในหุบเขาสูง เมือง St. Moritz ถือได้ว่าเป็นเมืองพักผ่อนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป สำหรับนั่งท่องเที่ยวที่มาในช่วงฤดูหนาวก็จะมีงานการแข่งขันแข่งม้าท่ามกลางหิมะให้ได้ชมกัน หรือถ้าใครสนใจการเล่นสกีเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่มีสกีรีสอร์ทมากมายหลายแห่งเต็มไปหมด ส่วนในหน้าร้อนนั้นนักท่องเที่ยวก็สามารถนั่งรถทิวทัศน์ของทุ่งหญ้า ทะเลสาบสีคราม และเทือกเขาต่างๆ ในรูปแบบพาโนรามา หรือจะนั่งรถกระเช้าขึ้นไปสู่ยอดเขาสูงเพื่อชมทิวทัศน์ของทะเลสาบใรมุมสูงได้อีกด้วย 11. เมือง Ascona มาถึงสถานที่สุดท้ายที่ถือว่าเป็นไฮไลต์เด็ดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์กันแล้ว เมือง Ascona ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลสาบแมกจิโอเร่ (Maggiore) ทางตอนใต้ติดกับเขตประเทศอิตาลี ดังนั้นลักษณะอาคารบ้านเรือนของเมืองนี้จึงมีสีสันค่อนข้างฉูดฉาด ซึ่งก็เป็นผลมาจากอิทธิพลของบ้านเรือนทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีนั่นเอง ทะเลสาบแมกจิโอเร่นั้นจะมีต้นไม่สีสันแปลกตาออกไปจากทะเลสาบอื่นๆ ในสวิตเซอร์แลนด์เนื่องจากอยู่ค่อนมาทางใต้ ซึ่งมีอุณหภูมิอุ่นกว่ามาก จากเมือง Ascona นี้ก็สามารถนั่งรถไปยังทะเลสาบลูกาโน่ (Lugano) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่เป็นรอยต่อของประเทศสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี สามารถนั่งเรือหรูสุดโรแมนติกชมบรรยากาศของทะเลสายลูกาโน่ได้ ถ้าใครยังอยากไปเที่ยวทางตอนเหนือขออิตาลี แต่มีเวลาไม่พอ การเที่ยวเมืองบริเวณสองทะเลสาบนี้ก็ถือเปรียบได้ว่า ได้ไปสัมผัสกับบรรยากาศประเทศอิตาลีแล้วล่ะ ...Click here to continue reading... ขอบคุณสำหรับข้อมุลค่ะ
โดย: rambujan วันที่: 13 มีนาคม 2551 เวลา:0:09:06 น.
โดย: CrackyDong วันที่: 13 มีนาคม 2551 เวลา:1:21:15 น.
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณ Rambujan และคุณ CrackyDong ยังไงก็อย่าลืมแวะมาเยี่ยมเยียนกันบ่อยๆ นะคะ
โดย: Yai Kaew วันที่: 13 มีนาคม 2551 เวลา:2:51:32 น.
โดย: Opey วันที่: 13 มีนาคม 2551 เวลา:10:29:51 น.
โอย...คุณ Yai Kaew ถ่ายรูปเหมือนปฏิทินเลยอ่ะ สวยมากๆ เห็นแล้วยิ่งอยากไป
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ โดย: popcycle IP: 58.9.31.190 วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:13:29:41 น.
ขอบคุณคุณ Suessapple, Opey, Oumojija, Popcycle นะคะ หวังว่าข้อมูลในเวปนี้คงจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ นะคะ
โดย: Yai Kaew วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:14:32:49 น.
เราว่าจะไปเดือนเมษายน 55 นี้ ช่วงนี้ดีหรือเปล่า
โดย: ton IP: 203.113.103.2 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2554 เวลา:10:11:44 น.
แนะนำให้ไปตอนช่วงเดือนตุลาคมค่ะ เป็นช่วงใบไม้ร่วง สีจะสวยมากค่ะ
โดย: Yai Kaew วันที่: 9 ธันวาคม 2554 เวลา:20:16:54 น.
ไฮไลท์ของแต่ละเมือง ไกลกันมั๊ยคะ ถ้าจะเที่ยวทุกแห่งที่แนะนำมา ต้องใช้เวลากี่วันคะ ต้องจองโรงแรมไว้แต่ละแห่งหรือเปล่าคะ
มีบริษัทพาเที่ยวทุกแห่งมั๊ยคะ แต่ละแห่งค่าใช้จ่ายแพงมากมั๊ยคะ ขอบคุณค่ะ โดย: ouie IP: 110.49.233.166 วันที่: 20 ธันวาคม 2555 เวลา:19:50:57 น.
|
Yai Kaew
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]
Group Blog
All Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |