ขึ้นรถไฟ Gonnergrat

จิ๊บๆๆ เสียงนกร้องรับอรุณวันใหม่ รวมทั้งแสงแดดอ่อนๆ ที่เริ่มสาดส่องเข้ามาในห้องฉันปลุกฉันจากนิทราอันแสนสุข เมื่อตื่นปุ๊บสิ่งที่ฉันทำเป็นอันดับแรกก็คงหนีไม่พ้นก็เปิดทีวีดูพยากรณ์อากาศ รวมถึงการโผล่หน้าออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูว่าอากาศเป็นอย่างไรบ้าง ในที่สุดผลพวงจากการที่ฉันสวดมนต์ก่อนนอนก็สัมฤทธิ์ผล ถึงแม้ว่าเพิ่งจะเป็นเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้าแต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าท้องฟ้าวันนี้โปร่ง ไม่มีเมฆปกคลุมเลย รวมทั้งแสงสีเหลืองทองจากดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ เริ่มโผล่ขึ้นมาทางขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก เราเลยต้องรีบจัดการธุระและเตรียมเสบียงกันอึกครั้ง เพื่อที่จะเดินไปขึ้นรถไฟสาย Gonnergrat เที่ยวแรกที่จะเริ่มออกเดินทางจากสถานีตอนแปดโมงตรงตอนเช้า ระหว่างทางเดินก็แวะตรงกลางสะพานที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ โบสถ์ประจำเมือง มุมนี้ก็เป็นมุมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวอีกมุมหนึ่ง ภาพที่ฉันเห็นจากมุมนี้คือ ภาพของยอดเขา Matterhorn ที่เริ่มจะเปลี่ยนสีไปทีละนิด จากสีเทาของภูเขาในยามที่ยังไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องกลับกลายเป็นสีส้มอ่อนๆ โดยเริ่มตั้งแต่ส่วนยอดแหลมของ Matterhorn ค่อยๆ ไล้ลงมาที่ฐานด้านล่างเรื่อยๆ ส่วนภาพด้านล่างถัดจากยอดเขา Matterhorn ที่ปรากฏอยู่ในม่านตาก็เป็นภาพของแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านกลางเมืองรวมทั้งบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บริเวณด้านข้างของแม่น้ำ ที่รอเข้าคิวรับแสงของวันใหม่ ตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะอยู่รอดูแสงอาทิตย์ส่องลงมาถึงฐานด้านล่างของ Matterhorn แต่รอเท่าไหร่ก็ยังส่องมาไม่ถึงซักที ก็เลยตัดสินใจว่าไว้ค่อยมาดูต่อในวันพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่งั้นได้ตกรถไฟเที่ยวแรกแน่ๆ

ทำไมเราต้องรีบไปขึ้นรถไฟตั้งแต่แปดโมงเช้าน่ะเหรอ ก็เพราะว่าในช่วง Low season แบบนี้ รถไฟสายนี้แล่นเพียงแค่สองชั่วโมงต่อหนึ่งเที่ยวน่ะสิ ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าเราตกรถเที่ยวแปดโมงเราจะได้ขึ้นรถอีกทีตอน 10 โมง เมื่อไปถึงสถานีเราก็จัดแจงซื้อตั๋วขึ้นไป Gonnergrat สำหรับ 2 คน ในความโชคร้ายที่มาเที่ยวในช่วง Low season ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างตรงที่ช่วงนี้เค้าลดราคาค่าตั๋ว 25 เปอร์เซนต์สำหรับคนที่นั่งไปสุดสายที่ Gonnergrat และนอกจากนั้นเรายังมี Swiss pass ทำให้ได้ลดค่าตั๋วลงไปทั้งหมด 75 เปอร์เซนต์ ดังนั้นเราจึงจ่ายค่าตั๋วไปเพียงคนละ 14.40 ฟรังสวิสเท่านั้น

เนื่องจากว่าเรามัวแต่เสียเวลาซื้อตั๋วอยู่ เราจึงขึ้นรถไฟช้ากว่ากรุ๊ปทัวร์จากญี่ปุ่น ที่นั่งริมหน้าต่างด้านซ้ายที่จะเห็นยอด Matterhorn จึงถูกจับจองโดยนักนักเที่ยวชาวญี่ปุ่นเต็มทุกที่เลย ฉันก็เลยต้องจำใจนั่งริมทางเดินแล้วก็คอยลุกไปถ่ายรูปเวลาที่รถไฟแล่นผ่านวิวสวยๆ


นี่เป็นรูปแรกที่ถ่ายได้จากบนรถไฟ


จริงๆ แล้วภูมิประเทศที่นั่งรถไฟสายนี้ผ่านไม่ได้มีเฉพาะยอด Matterhorn ทางด้านซ้ายเท่านั้น ในช่วงหนึ่งที่รถไฟแล่นผ่านสถานี Riffelberg ไปสู่สถานี Rothenboden ถ้ามองไปทางด้านขวามือบ้าง ก็จะเห็นภาพของหุบเขาสูง ด้านล่างของหุบเขาจะเป็นก้อนเมฆสีขาวราวกับปุยนุ่นลอยละล่องอยู่ระหว่างหุบเขา เป็นภาพที่งดงามมองดูเพลินตาจริงๆ


สถานี Rotenboden




นั่งรถเพียงแค่ 43 นาทีก็เรามาถึง Gonnergrat จากที่บอกว่าที่นั่งบนรถไฟมีคณะทัวร์จากญี่ปุ่นนั่งกันเต็มไปหมด แต่พอตอนลงจากรถไฟนี่สิ คณะทัวร์จากญี่ปุ่นกลายเป็นกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆไปเลย เพราะผู้คนที่ลงจากรถไฟนั้นมีต่างชาติต่างภาษาเยอะแยะมากมาย จนแทบนึกไม่ออกเลยว่า ผู้คนมากมายเหล่านี้ขึ้นไปอัดกันบนรถไฟขบวนสั้นๆ เพียงไม่กี่ตู้ได้อย่างไรกัน

ในจำนวนทักท่องเที่ยวเป็นร้อยๆ คนที่ลงมาจากรถไฟนั้น ก็กลับมีเพียงแค่ชายผู้หนึ่งพร้อมกล้องถ่ายรูปอย่างดีกับเจ้าหมาเซ้นเบอร์นาร์ดตัวหนึ่งที่อยู่ในความสนใจของฉัน ตอนแรกฉันยังคิดว่ามีคนพาน้องหมาตัวใหญ่มาเที่ยวแต่เช้า แต่ปรากฏว่าพอชายผู้นั้นเดินหายเข้าไปในตึกเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณสถานีซักพัก เขาก็เดินออกมาพร้อมกับป้ายโฆษณารับจ้างถ่ายรูปคู่กับน้องหมาแผ่นเบ้อเริ่ม ฉันได้ถึงบางอ้อว่า ชายคนนี้เป็นพ่อค้าหัวใสที่ขึ้นมาหากินกับนักท่องเที่ยวตั้งแต่เช้า แต่น่าสงสารที่ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนให้ความสนใจเลย หน้าตาน้องหมาก็ดูแสนเซ็งเหลือเกินที่ไม่มีใครยอมมาถ่ายรูปด้วย ดูแล้วก็ตลกดี ตอนที่เจ้าของไม่อยู่ ฉันก็เลยแอบถ่ายรูปน้องหมามาซักรูป



Gonnergrat เป็นสถานีที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 3089 เมตร สามาถเห็นยอดเขา Matterhorn ได้อย่างชัดเจนจากสถานีนี้ เมื่อเดินขึ้นตามทางเดิมไปจนถึงโรงแรมที่ตั้งอยู่ด้านบนสุดของสถานี ก็จะมีจุดชมวิวให้ได้ยืนดื่มด่ำกับบรรยากาศของหมู่ยอดเขาของเทือกเขา Alp ไม่ว่าจะเป็น Matterhorn, kleine Matterhorn, ยอดเขาฝาแฝดที่มีชื่อว่า Caster และ Pollux





ดังนั้นฉันจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบริษัททัวร์ส่วนใหญ่ของเมืองไทยถึงชอบพาลูกทัวร์มาขึ้นรถไฟสาย Gonnergrat กันนักหนา น่าเสียดายตรงที่บางบริษัททัวร์พาขึ้นแล้วก็ปล่อยให้เดินชมวิวถ่ายรูป ให้เวลาซักพักก็พาลงทันที โดยที่ลืมไปว่าการที่จะพบธรรมชาติอันงดงามในเขตเทือกเขานั้น เราจะต้องเดินทัวร์ให้รอบที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ จากตอนขาขึ้นมาตอนที่ผ่านสถานี Rothenboden ฉันเห็นป้ายบอกทางไป Riffelsee ฉันก็เลยลองดูในแผนที่ว่าถ้าจะต้องเดินจาก Gonnergat จะต้องเดินทางไหน ใช้เวลาเท่าไหร่ ปรากฏว่าจากที่ที่พวกเรายืนอยู่ใช้เวลาเดินลงตามเส้นทางสาย Sonnenweg เพียงแค่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว พวกเราก็เลยตัดสินใจลองเดินดู พร้อมกับถ่ายรูปไปเรื่อยๆ อีกเช่นเคย


หยุดรอถ่ายรูปรถไฟระหว่างทาง


เมื่อไปถึง Riffelsee ฉันก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็นไม่ได้





ภาพเบื้องหน้าเป็นภาพของทะเลสาบขนาดย่อมๆ มียอดเขา Matterhorn ตั้งอยู่ทางด้านหลัง ลักษณะคล้ายๆ กับทะเลสาบ Stellisee ที่เราไปกันมาเมื่อวานนั่นแหละ เพียงแต่วันนี้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสวยสด ทำให้แผ่นน้ำในทะเลสาบเปรียบเสมือนกระจกบานใหญ่ที่วางราบไปบนผืนดิน สะท้อนยอดเขา Matterhorn ให้ทะลุลงไปในผืนน้ำ น่าเสียดายอยู่อย่างเดียวตรงที่บริเวณแถวๆ Riffelsee อยู่สูงเกินกว่าที่จะมีต้นไม้หลากสีสันเจริญงอกงามในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงอย่างนี้ เลยเห็นเพียงหญ้าสีเหลืองทองอยู่ประปราย (Riffelsee อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2800 เมตร)

หลังจากที่เสียเวลาไปกับการถ่ายรูปภาพ Riffelsee นับสิบรูป เมื่อเห็นแก่เวลาอันสมควร พวกเราก็เลยเดินขึ้นเขาไปเล็กน้อยเพื่อรอนั่งรถไฟกลับ Zermatt เนื่องจากพวกเราไม่ได้ซื้อตั๋วขากลับเอาไว้ ก็เลยไม่สามารถเดินผ่านที่กั้นที่ต้องใช้ตั๋วเสียบแล้วมันค่อยเปิด ก็เลยต้องรออยู่ด้านนอกไปเรื่อยๆ จนกว่ารถไฟจะมา แล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่ขายตั๋วที่อยู่บนรถไฟมาเปิดให้ ขากลับนี้เสียค่าตั๋วไปคนละ 13 ฟรังสวิส ราคาเกือบเท่าขาขึ้นแน่ะ เพราะว่าไม่ได้ลดราคา 75 เปอร์เซนต์อย่างตอนขาขึ้น ได้ลดเพียงแค่ 50 เปอร์เซนต์จากการที่มี Swiss pass เท่านั้น

เราลงไปถึง Zermatt ตอนเกือบๆ บ่ายสอง เมื่อเห็นว่าจะมีเวลาเหลือตั้งเยอะแยะกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น ซึ่งถ้าจะกลับที่พักเลย ก็คงน่าเบื่อไม่น้อย ก็เลยไปกะว่าจะไปเดินเล่นที่บริเวณเมือง Winkelmatten อ้อ อย่างเรียกว่าเมืองเลย เอาเป็นว่า ไปเที่ยวที่หมู่บ้าน Winkelmatten ละกัน หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นรถไฟสาย Matterhorn Paradise ที่จะขึ้นไปยัง Schwarzsee บ้านส่วนใหญ่ใน Zermatt และ Winkelmatten ด้านนอกจะทำด้วยไม้ แต่ด้านในจะเป็นผนังปูน ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงต้องเอาไม้มาปิดบริเวณด้านนอก แต่มันก็ทำให้ดูเข้าบรรยากาศของธรรมชาติที่นี่ดีเชียวล่ะ บริเวณรอบๆ บ้านก็จะมีการจัดแต่งสวนอย่างสวยงาม บ้างก็มีการพรวนดินไว้ ราวกับจะปลูกพืชผักสวนครัวรับประทานกันเอง บ้านเกือบทุกหลังในแถบนี้จะทำให้เป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งนั้น จะมีทั้งเป็นลักษณะของโรงแรมห้าดาว สี่ดาว สามดาว หรือลักษณะ Bed and Breakfast หรือเป็น Studio แบบบ้านที่ฉันไปพัก รายได้หลักของคนในแถบนี้ก็คือรายได้จากการท่องเที่ยวนั่นแหละ แล้วก็ถือได้ว่า แทบจะเป็นรายได้หลักของประเทศสวิสเซอร์แลนด์เลยด้วยซ้ำ
ใช้เวลาเดินเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ฉันก็เดินได้รอบหมู่บ้าน Winkelmatten ซะแล้ว ในความรู้สึกของฉันหมู่บ้านนี้ก็น่ารักดี เงียบสงบ ร่มรื่น และในหมู่บ้านนี้เอง ที่ทำให้ฉันได้เห็นบรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วงอย่างแท้จริง ต้นไม้สีเขียวอมเหลืองสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเย็น ทำให้ยามเย็นวันนี้ฉาบได้ด้วยสีเหลืองอมส้ม...ได้ใจจริงๆ



พวกเราตั้งใจว่าจะอยู่รอดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่นี่ แต่พอพระอาทิตย์เร้มคล้อยต่ำลับขอบฟ้าปุ๊บ ท้องฟ้าก็มืดไปหมด จะถ่ายรูปก็คงไม่ชัดแน่ๆ เลยตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในตัว Zermatt ซื้อของที่ร้านซุปเปอร์มาเก็ตมาทำอาหารเย็นกินที่บ้านพักดีกว่า

...Click here to continue reading...







Create Date : 14 มกราคม 2550
Last Update : 4 เมษายน 2551 22:22:54 น.
Counter : 1384 Pageviews.

3 comments
  
ว้าว สวยทุกรูปเลยค่ะ อย่างกับเมืองในนิยายแหนะ
โดย: rambujan วันที่: 5 เมษายน 2551 เวลา:3:13:03 น.
  
สวิสสวยทุกฤดูเลยชอบมาก น้องหมาในรูปนะแอบถ่ายเขาอะเป่าน้องหมาหาเงินของเขาไว้ถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวเรายังเคยแอบถ่ายมาเลย
โดย: wansa IP: 125.26.4.33 วันที่: 29 เมษายน 2551 เวลา:10:41:23 น.
  
ภาพที่ Riffelsee นี่ล่ะค่ะ คุณแก้ว...เห็นแล้วใจละลายน่ะ
จะขอตามรอยเส้นนี้ของคุณแก้วหละ (เวลาและสังขารพอจะทำได้หน่อย อิอิ)
...ขอบคุณมากๆ ค่ะ
โดย: PopCycle IP: 58.9.28.136 วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:9:38:53 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Yai Kaew
Location :
Nordrhein-Westfalen  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



New Comments
มกราคม 2550

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
  •  Bloggang.com