4. General Information (Switzerland)



เชื่อว่าวันเดินทางคงเป็นวันที่น่าตื่นเต้นที่สุดวันหนึ่งสำหรับคนที่เพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก แต่สำหรับบางคนที่เคยเดินทางไปต่างประเทศมาบ้างแล้วแต่ยังไม่เคยไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์แบบ Backpacker วันที่ตื่นเต้นที่สุดของทริปก็คงหนีไม่พ้นวันแรกที่ได้ก้าวเท้าลงเหยียบผืนแผ่นดินสวิส เพราะเราไม่รู้เลยว่าจากสนามบิน เราจะเดินทางไปยังที่พักอย่างไร ระบบการขนส่งของสวิสเป็นอย่างไรบ้าง มีรถไฟกี่ประเภท ระบบไฟฟ้า ถ้าจะโทรศัพท์กลับเมืองไทยจะหมุนเลขอะไรก่อนดี ถ้าเอาเงินไปไม่พอ สามารถใข้บัตรเครดิตได้มั้ย หรือว่าจะไปแลกเงินเพิ่มได้ที่ไหน จะสื่อสารกับผู้คนท่องถิ่นรู้เรื่องหรือไม่ จะอ่านป้ายบอกทางต่างๆ ออกหรือเปล่า ดูสิถึงแม้ว่าเราจะเตรียมตัววางแผนการเดินทางอย่างรัดกุมที่สุดแล้ว ก็ยังมีปัญหาเกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินเหตุ เพราะว่าปัญหาต่างๆ เหล่านี้จะหมดไป เมื่อผู้อ่านได้ลองอ่านและทำความเข้าใจกับเนื้อหามากมายในบทนี้โดยเริ่มตั้งแต่การเดินทางจากบ้านไปสนามบิน ขั้นตอนการเชคอิน การออกนอกประเทศ และข้อมูลทั่วไปของประเทศสวิตเซอร์แลนด์



1. การเดินทางออกนอกประเทศ

การเดินทางออกยอกประเทศก็เริ่มตั้งแต่การเดินทางจากบ้านไปจนกระทั่งถึงเวลาที่เครื่องบินเริ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งจะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ มากมาย เราลองมาเริ่มจากขั้นตอนแรกไปพร้อมกันเลยดีกว่า

การเดินทางไปสนามบิน

สนามบินที่เป็นสนามบินหลักของประเทศไทย คือ สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด ต.บางพลี จ. สมุทรปราการ การเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิก็มีหลายวิธีด้วยกัน แต่สำหรับคนจะเดินทางออกนอกประเทศซึ่งมีกระเป๋าสัมภาระมากมาย วิธีที่สะดวกที่สุดก็คือการโทรเรียกรถแท๊กซี่ไปรับหน้าบ้านให้ไปส่งที่สนามบิน แต่สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษก็คือ ควรไปถึงสนามบินก่อนที่เวลาเครืองบินออกไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง เช่น ถ้าเครื่องบินจะออกตอนห้าทุ่มครึ่งก็ควรจะไปถึงสนามบินตั้งแต่สามทุ่มครึ่งเป็นอย่างช้าที่สุด นอกจากนี้แล้วถ้าบ้านไกลหรืออยู่ในบริเวณที่มีการจราจรติดขัดก็ควรเผื่อเวลาไว้อีกด้วย

เมื่อแท๊กซี่ไปถึงสนามบิน แท๊กซี่ก็จะไปจอดให้ลงที่อาคารผู้โดยสารขาออกที่อยู่บริเวณขั้น 4 ของสนามบิน จากนั้นเราก็จ่ายเงินค่าโดยสารและขนข้าวของสัมภาระลงจากรถนำไปวางบนรถเข็นที่ทางสนามบินมีไว้บริการได้เลย

การเชคอิน

เมื่อผ่านเข้าสู่อาคารผู้โดยสารขาออกแล้ว ก็ให้สอดส่ายสายตาหาจอโทรทัศน์ที่ติดตั้งอยู่ในบริเวณตัวอาคาร เพื่อเชคข้อมูลว่า จะต้องไปเชคอินที่ช่องหมายเลขอะไร เมื่อได้ช่องเชคอินแล้วก็เดินไปที่ช่องนั้นเพื่อทำการเชคอิน บริเวณหน้าช่องเชคอินก็จะมีการเอ๊กเรย์กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ส่วนกระเป๋าถือติดตัว หรือกระเป๋าใบเล็กที่จะนำขึ้นเครื่องนั้นยังไม่ต้องเอ๊กเรย์ในขั้นตอนนี้ เมื่อผ่านขั้นตอนการเอ็กเรย์แล้ว ให้เดินไปรอต่อแถวเพื่อทำการเชคอิน เอกสารที่จะต้องยื่นให้เจ้าหน้าที่เพื่อทำการเชคอิน คือ ตั๋วเครื่องบินและพาสปอร์ต จากนั้นก็ยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ต้องการนำลงใต้เครื่องวางบนสายพานชั่งน้ำหนัก ตอนนี้คงต้องลุ้นกันหน่อยว่าน้ำหนักจะเกินหรือไม่ ทางที่ดีควรจะชั่งน้ำหนักกระเป๋ามาจากบ้านเสียก่อน ถ้าน้ำหนักเกินก็เอาของที่ไม่จำเป็นออก จะได้ไม่ต้องมายุ่งยาก เสียเวลาจัดกระเป๋าใหม่ที่สนามบิน เมื่อชั่งน้ำหนักกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย กระเป๋าก็จะถูกลำเลียงลงสู่ใต้ท้องเครื่องบิน ถ้าการเดินทางต้องเปลี่ยนเครื่องกลางทางก็ต้องถามเจ้าหน้าที่ให้แน่ใจว่า เราจะไปรับกระเป๋าที่ปลายทางได้เลยรึเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วทุกสายการบินจะให้เราไปรับกระเป๋าที่ปลายทางได้เลย หลังจากที่ทำการเชคอินเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็จะให้พาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินคืนมาพร้อมกับใบ Boarding Pass ซึ่งในใบนี้จะบอกว่า เราจะต้องไปขึ้นเครื่องที่ทางออก (Gate) หมายเลขที่เท่าไหร่ บอกหมายเลนที่นั่งบนเครื่องบิน และเวลาขึ้นเครื่อง นอกจากนั้นแล้วเราจะต้องขอใบ ต.ม. 6 เพื่อกรอกข้อมูลประวัติผู้โดยสารทั้งส่วนที่เป็นขาออกและขาเข้า เป็นอันว่าเสร็จสิ้นขั้นตอนการเชคอิน

การเดินทางช่องทางออก (Gate)


อันดับที่ต้องทำก่อนการเดินทางสู่ Gate คือการจ่ายค่าภาษีสนามบินเป็นจำนวนเงิน 500 บาท จากนั้นก็ต้องยื่นไป ต.ม. 6 ให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะฉีกส่วนที่เป็นขาออกเก็บเอาไว้ แล้วเอาส่วนที่เป็นขาเข้าเย็บติดเอาไว้กับหนังสือเดินทาง ซึ่งในที่เย็นติดเอาไว้นั้น ห้ามเอาออก เพราะว่าเราจะต้องยื่นใบนี้ให้เจ้าหน้าที่อีกครั้งตอนที่เราเดินทางเข้าประเทศไทยตอนขากลับ

เมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้วก็จะถึงขั้นตอนการเอ็กเรย์อีกครั้ง ครั้งนี้เราจะถูกตรวจอย่างละเอียด โดยการเดินผ่านเครื่องเอ็กเรย์ ส่วนกระเป๋าที่ถือติดขึ้นเครื่องไปด้วยก็จะถูกเอ็กเรย์ด้วยเหมือนกัน ถ้าตรวจแล้วไม่มีปัญหาอะไร เราก็สามารถเดินต่อไปที่ช่องทางออกตามหมายเลขที่ระบุไว้ใน Boarding pass เพื่อรอขึ้นเครื่องได้เลย ในระหว่างนี้จะเดินเล่นดูสินค้าในร้าน Duty free ไปเรื่อยๆ ก็ได้ จะได้ไม่ต้องเบื่อกับการนั่งรอ เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่ก็จะประกาศเรียกให้ไปรอต่อแถวขึ้นเครื่องบิน

บนเครื่องบิน

หลังจากที่ได้ขึ้นเครื่องบินเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบหาที่นั่งตามหมายเลขที่ระบุไว้ใน boarding pass จัดแจงนำกระเป๋าเดินทางใบเล็กไปวางไว้บนช่องที่อยู่ด้านบนที่นั่ง โดยให้นำกระเป๋าที่ใส่เอกสารสำคัญ เงินและของมีค่าแยกออกมาใส่กระเป๋าถือใบเล็ก และให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สินของท่าน ถ้าบางคนกลัวเบื่อก็อาจจะหยิบเอาพ๊อกเก็ตบุ๊คดีๆ ซักเล่มออกมาเตรียมไว้ก็ได้ แต่แนะนำว่าให้พยายามนอนบนเครื่องบินให้เยอะๆ เวลาตื่นขึ้นมาจะได้มีแรงเที่ยวได้ทันที บนเครื่องบินจะมีการเสริ์ฟอาหารสองมื้อไม่ต้องกลัวหิว ก่อนนอนแอร์โฮสเตสก็จะเสริ์ฟอาหารมื้อแรก พอตื่นขึ้นมาก็รับประทานอาหารมื้อเช้าบนเครื่องบิน เครื่องดื่มก็มีทั้งน้ำอัดลม น้ำส้ม ชากาแฟ หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง เครื่องบินก็จะพาเราลงสู่สนามบิน ต่อไปก็ถึงขั้นตอนรับกระเป๋าและตรวจคนเข้าเมือง

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่างเต็มรูปแบบ สิ่งแรกที่ต้องทำหลังลงจากเครื่องบิน คือ การตรวจคนเข้าเมืองหรืออิมมิเกรชั่น (Immigration) ในขั้นตอนนี้เจ้าหน้าที่จะขอดูหนังสือเดินทางและวีซ่า เมื่อตรวจเอกสารเรียบร้อยแล้วก็จะประทับตราวันที่ลงไปในหนังสือเดินทางกลับคืนมาให้ หลังจากนั้นเราก็ต้องมองหาหน้าจอทีวีเพื่อดูว่า เราจะต้องเดินไปรับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่เราโหลดลงเครื่องที่สายพานหมายเลขที่เท่าไหร่ เมื่อได้กระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ที่นี่ก็ต้องสอดส่ายสายตาหาป้ายที่บอกทางไปสถานีรถไฟที่จะนำพาเราไปยังจุดหมายปลายทาง


2. ระบบการเดินทางขนส่งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า เราจะเดินทางไปไหนมาไหนในสวิตเซอร์แลนด์ได้อย่างไร ขอบอกว่าเราไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้เลย เพราะว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น ถือว่าเป็นประเทศที่มีระบบการขนส่งที่ดีและทันสมัยมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ไม่ว่าเป็นเส้นทางรถไฟกว่า 25,000 กิโลเมตร ถนนขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเอาโตบาห์น (Autobahn) หรือเส้นทางเรือที่ใช้ล่องในทะเลสาบน้อยใหญ่ต่างๆ เรียกได้ว่าด้วยระบบการคมนาคมขนส่งที่ว่านี้ จะพาเราไปได้ทุกที่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่เนื่องจากเป็นประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวประกอบกับลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาสูง ทำให้การตัดเส้นทางต่างๆ เป็นไปอย่างยากลำบาก เลยทำให้การเดินทางในประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ


การเดินทางจากสนามบิน


ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีสนามบินนานาชาติอยู่ใน 3 เมืองด้วยกัน คือ ซูริค เจนีวา และบาเซล แต่สนามบินหลักที่นักเดินทางจากเมืองไทยเลือกเดินทางไปลงคือ สนามบินซูริค การเดินทางจากสนามบินซูริคเข้าสู่ตัวเมือง สามารถเดินทางได้โดยรถไฟ รถโดยสารประจำทางและรถแท๊กซี่

รถไฟจากสนามบินซูริคเดินทางเข้าสู่สถานีรถไฟหลักในตัวเมืองซูริคมีหลายสายทีเดียว และมีถี่มาก เรียกว่าเกือบจะทุกๆ 10 นาทีเลยก็ว่าได้ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 10 นาที

ส่วนรถโดยสารประจำทางที่แล่นระหว่างสนามบินซูริคไปยังบริเวณต่างๆ ภายในเมืองซูริคมีทั้งหมด 11 สาย และวิ่งทุกๆ 10 นาทีเหมือนกัน

ถ้าใครต้องการความสะดวกสบายสุดๆ ก็สามารถใช้บริการแทกซี่ได้ แต่ค่าโดยสารก็จะแพงกว่ามาก คือ จากสนามบินไปจนถึงสถานีรถไฟประมาณ 35 ฟรังค์สวิส และเวลาที่ใช้ในการเดินทางก็นานกว่าด้วย

นอกจากนี้ก็ยังมีรถบัสพิเศษสำหรับคนที่ต้องการเดินทางมาถึงสนามบินซูริคตอนเช้าตรู่ โดยรถบัสนี้จะแล่นออกจากเมืองต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อมาส่งผู้โดยสารที่สนามบินซูริคในตอนตีห้า สามารถเชคตารางเวลาและราคาค่าโดยสารได้จาก //www.sunrise-reisen.ch/frameset_fahrzeuge.html



การเดินทางโดยรถไฟ

จากที่เล่าไปแล้วในบทที่สามว่า การเดินทางโดยใช้รถไฟเป็นการเดินทางที่สะดวกที่สุด แต่ก็แพงที่สุดเหมือนกัน แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติแล้วทางการท่องเที่ยวของสวิสก็มีตั๋วสวิสพาสแบบต่างๆ ขาย เพื่อใช้ในการเดินทางด้วยรถไฟภายในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยตั๋วสวิสพาสแบบต่างๆ คือ


Swiss Pass เป็นตั๋วที่ใช้ขึ้นรถไฟฟรีโดยไม่จำกัดเส้นทาง นอกจากรถไฟแล้วยังรวมไปถึงรถโพสบัส (Postbus) เรือ และเครือข่ายของรถโดยสารประจำทางภายในเมืองอื่นๆ 37 เมือง และยังใช้เป็นบัตรส่วนลด 50 เปอร์เซนต์สำหรับซื้อตั๋วรถไฟสายพาโนรามาและการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้อีกด้วย ตั๋ว Swiss Pass นี้มีให้เลือกตั้งแต่ 4, 8, 15 และ 22 วันในหนึ่งเดือน โดยจำนวนวันนั้นจะนับต่อกันไปเรื่อยๆ โดยจะต้องเขียนวันที่วันแรกที่เริ่มใช้ตั๋วนี้ไว้บนตั๋ว เช่น ถ้าซื้อตั๋วแบบ 15 วันโดยเริ่มใข้วันแรกวันที่ 1 มิถุนายน ก็จะใช้ตั๋วนี้ไปได้ถึงวันที่ 15 มิถุนายนในปีเดียวกันเท่านั้น



Swiss Flex Pass เงื่อนไขของตั๋ว Swiss Flexi Pass จะเหมือนกับ Swiss Pass แต่จะใช้ขึ้นรถไฟ เรือ หรือระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ ได้ฟรีเฉพาะวันที่ที่เราเขียนระบุไว้ในตั๋วเท่านั้น ส่วนส่วนลด 50 เปอร์เซนต์สำหรับซื้อตั๋วรถไฟสายพาโนรามาและการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ก็ยังคงมีเหมือนกับ Swiss Pass ตั๋ว Swiss Flexi Pass นี้มีขายตั้งแต่แบบเลือกเดินทาง 3, 4, 5, 6 และ 8 วันภายในหนึ่งเดือน ข้อควรระวังสำหรับตั๋วแบบ Swiss Flexi Pass นี้ คือเราจะต้องวางแผนการการเดินทางให้ดีๆ เพราะว่าในตั๋วจะระบุวันที่ที่เราเดินทางเอาไว้ เข่น ถ้าเราเลือกซื้อตั๋วแบบเลือกเดินทาง 6 วัน เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน เราก็อาจจะเลือกเดินทางวันที่ 3, 7, 10, 15 และ 20 มิถุนายน หรือจะเลือกเดินทางวันไหนก็ได้ 5 วันในเวลาหนึ่งเดือน



Swiss Card เป็นตั๋วที่ใข้เดินทางโดยรถไฟไป-กลับฟรีเฉพาะเส้นทางจากสนามบินหรือเมืองที่เป็นเมืองชายแดนสวิสไปยังเมืองปลายทางเท่านั้น ส่วนการเดินทางในเส้นทางอื่นๆ จะต้องจ่ายเงินซื้อตั๋วโดยจะได้รับส่วนลด 50 เปอร์เซนต์ ส่วนตั๋วรถรถไฟสายพาโนรามาและการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ก็ยังคงได้รับส่วนลด 50 เปอร์เซนต์อยู่เหมือนกับตั๋วสองแบบแรก


Swiss Transfer Ticket เป็นตั๋วที่ใข้เดินทางโดยรถไฟไป-กลับฟรีเฉพาะเส้นทางจากสนามบินหรือเมืองที่เป็นเมืองชายแดนสวิสไปยังเมืองปลายทางเท่านั้น สำหรับเส้นทางอื่นๆ เส้นทางสายพาโนรสมา และค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ จะไม่มีส่วนลดใดๆ ทั้งสิ้น


ตั๋วสวิสพาสทั้ง 4 แบบด้านบนนี้จะให้สิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่เดินทางด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยจะได้รับส่วนลดถึง 15 เปอร์เซนต์ และถ้าผู้เดินทางยังมีอายุไม่เกิน 26 ปี ก็ยังจะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 15 เปอร์เซนต์ด้วย สามารถเชคราคาตั๋วได้ในส่วนของบททีสามในเรื่องของงบประมาณการเดินทาง


Swiss Family Ticket เป็นตั๋วที่อนุญาติเด็กที่อายุไม่ถึง 16 ปีเดินทางได้ฟรี โดยมีผู้ปกครองร่วมเดินทางด้วย



Swiss Half Fare Card ใช้สำหรับซื้อตั๋วรถไฟทุกสายในราคาลด 50 เปอร์เซนต์



สำหรับคนที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวเลยในวันที่เดินทางไปถึง ทางการรถไฟสวิสก็จะมีบริการที่เรียกว่า Fly Rail ซี่งจะรับบริการขนกระเป๋าเดินทางจากสนามบินที่เมืองซูริคหรือเมืองเจนีวาไปส่งที่สถานีรถไฟที่เราระบุไว้ ซึ่งส่วนมากก็คือสถานีรถไฟของเมืองแรกที่เราต้องการจะไปพัก แต่ถ้าบางคนยังอยากเดินทางแบบสบายๆ ใน 2-3 วันแรกก็อาจจะแยกเสื้อผ้าเครื่องใช้ไว้จำนวนหนึ่งออกจากกระเป๋าเดินทาง แล้วค่อยใข้บริการ Fly Rail ให้ส่งกระเป๋าเดินทางไปยังเมืองที่ต้องการก็ได้ แต่ข้อควรระวังที่ต้องย้ำบ่อยๆ ก็คือ ต้องเก็บเอกสารสำคัญและเงินไว้ติดตัวเสมอ บริการ Fly Rail นี้ยังมีบริการส่งของจากสถานีรถไฟไปยังสนามบินทั้งสองด้วย ซึ่งเราสามารถใช้บริการนี้ได้ในวันเดินทางกลับ



ที่นี้ก็มาถึงประเภทของรถไฟในสวิตเซอร์แลนด์กันบ้าง รถไฟสวิสแบ่งออกเป็น InterCity (IC), EuroCity (EC) ซึ่งแล่นในระยะทางไกลๆ และ Interregio (IR) แล่นเป็นระยะทางใกล้ๆ รถไฟทั้งสามแบบนี้จะมีทั้งแบบชั้นหนึ่งและแบบธรรมดา ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยแล้วแค่รถไฟแบบธรรมดาก็ดูหรูหรามากพอแล้ว ข้อพึงระวังคือ รถไฟสวิสถือว่าตรงต่อเวลาอย่างมาก ถ้าตามตารางบอกว่ารถจะมาเทียบชานชาลาตอน 15.30 น. และจะออกตอน 15.35 น. นั่นก็หมายความตามนั้นจริงๆ ไม่ควรไปช้าเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นได้ตกรถไฟแน่ๆ


เส้นทางสายพาโนรามา

นอกจากเส้นทางรถไฟสายปกติแล้ว สวิสยังมีเส้นทางสายโรแมนติก (Scenic Route) หรือสายพาโนรามาที่แล่นผ่านภูมิประเทศที่สวยงามน่าอัศจรรย์อีกหลายต่อหลายสายด้วยกัน แต่ที่สำคัญๆ คือ



กลาเซีย เอ๊กเพรส (Glacier Express) เส้นทางสายนี้เริ่มจาก Davos/St. Moritz – Chur – Andernatt – Brig – Zermatt รวมเป็นระยะทางทั้งสิ้นกว่า 290 กิโลเมตร และใข้เวลาทั้งหมด 7.30 ชั่วโมง เส้นทางนี้จะแล่นผ่านยอดเขาสูงมากมาย ผ่าน 291 สะพาน และอุโมงค์ 90 อุโมงค์ รถไฟสายนี้เรียกว่าเป็นรถไฟแบบเร็วที่แล่นช้าที่สุดในโลก สำหรับท่านที่ต้องการใช้บริการรถไฟสายนี้จะต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้าด้วย



กอร์นเนอร์กราดบาห์น (Gornnergratbahn) แล่นจาก Zermatt (1620 m) ขึ้นไปบน Gornnergrat (3089 m) เพื่อขึ้นไปชมความงามของยอดเขา Matterhorn สัณลักษณ์อันโดดเด่นอันหนึ่งของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เส้นทางสายนี้ยาวเพียงแค่ 9.34 กิโลเมตรและใช้เวลาแล่น 42 นาที



ยุงเฟราบาห์น (Jungfraubahn) เป็นเส้นทางรถไฟขึ้นเขาสายที่มีชื่อเสียงที่สุดของสวิส เป็นเส้นทางรถไฟที่ใข้เดินทางขึ้นไปสู่สถานีรถไฟที่อยู่สูงที่สุดในยุโรป คือ Jungfraujoch ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 3454 เมตร เส้นทางสายนี้ยาว 9.3 กิโลเมตร และใช้เวลาทั้งหมด 50 นาที



เส้นทางสายพาโนรามาทั้งสามสายนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย ถ้าใครมาเที่ยวสวิสแต่ไม่ได้ลองนั่งสายใดสายหนึ่งในบรรดาสามเส้นทางนี้ ก็เรียกว่ายังไม่ได้มาสัมผัสสวิสอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงแนะนำให้เลือกขึ้นซักเส้นทางหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ถ้าใครมีทั้งเวลาและกำลังทรัพย์เหลือจะนั่งทั้งสามเส้นทางเลยก็ได้ ถือว่ามาดื่มด่ำกับบรรยากาศของสวิตเซอร์แลนด์ให้ชุ่มฉ่ำไปเลย แต่เส้นทางสายพาโนรามาของสวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้หมดเพียวแค่นี้ แต่ยังมีเส้นทางสายอื่นๆ อีกมากมาย เช่น



แบร์นินา เอ็กเพรส (Bernina Exprees) และไฮดี้ เอ็กเพรส (Heidi Express): Davos/St. Moritz – Bernina – Poschiavo – Tirano ส่วนในฤดูร้อนก็จะมีรถบัสแล่นไปยังเมือง Lugano ด้วย



เองกาดิน สตาร์ (Engadin Star): Landquart – Klosters – St. Moritz – Albula – Chur



โกลเด้นพาสไลน์ (GoldenPass Line): Luzern – Interlaken – Zweisimmen – Montreux



ก๊อดฮาร์ทบาห์น (Gotthardbahn): Luzern/Zürich – Gotthardtunnel (ลอดผ่านอุโมงค์) – Lugano



เลิชท์แบร์กบาห์น (Lötschebargbahn) และเซนโตวาลลี่บาห์น (Centovalli-Bahn): Bern – Spiez – Brig – Domodossola – Lugano



เส้นทางสายชอคโกแลต (Schokoladezug): Montreux – Gruyères – Broc



ฟอร์อัลเพน เอ็กเพรส (Voralpen Express): Romanshorn – St. Gallen – Rapperswill – Arth-Goldau – Luzern



วิลเฮล์ม เทลล์ เอ็กเพรส (Willhelm-Tell Express): Luzern – Flüelen – St. Gotthard – Lucarno/Lugano



เซนต์ เบอร์นาร์ด เอ็กเพรส (St. Bernard Express): Martigny – Orsières – Großer St. Bernard



มองบลังค์ เอ็กเพรส (Mont Blanc Express): Martigny – Châtelard Frontière – Chaminix



แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ต้องเชคช่วงเวลาที่รถแต่ละสายให้บริการตามเวปไซด์ด้วย เพราะในบางสายนั้นก็ไม่ได้ให้บริการตลอดทั้งปี



รถโพสบัส (Postbus)



สำหรับเส้นทางบนเขาบางสายที่รถไฟไม่สามารถไปถึงได้นั้น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็จะจัดรถบัสที่เรียกว่าโพสบัสให้บริการพาไปยังสถานที่เที่ยวที่ต้องการได้ โดยตารางเวลารถโพสบัสนั้นจะเป็นเวลาที่ต่อเนื่องจากรถไฟพอดี ไม่ต้องเสียเวลารอรถอีกต่อหนึ่ง นอกจากนี้รถโพสบัสก็ยังมีให้บริการนำเที่ยวตามเส้นทางสวยๆ ด้วย เช่น



ปาล์ม เอ็กเพรส (Palm Express): St. Moritz – Lugano



เส้นทางสายโรแมนติก (Romantic Route): Andermatt – Furkapass – Gletsch – Grimselpass – Meiringen – Große Scheidegg – Grindelwald



การเดินทางโดยรถยนต์



ถนนหนทางสำหรับรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์แบ่งออกได้เป็นลักษณะต่างๆ ดังนี้ ถนนเอาโตบาห์น (Autobahn) ถนนสายหลัก (Hauptstrasse) ถนนสายรองอื่นๆ และถนนสายที่เชื่อมต่อกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป (Europastrasse: E) ซึ่งจะมีสัญลักษณ์เป็นสีที่แตกต่างกันออกไป รวมทังการจำกัดความเร็วที่แล่นบนถนนแต่ละสายตามตารางดังนี้




บนถนนสายต่างในสวิสนั้นจะมีกล้องหรือเซ็นเซอร์ไว้คอยตรวจจับความเร็ว ดังนั้นเวลาขับรถจึงควรระวังอยู่เสมอไม่ให้ขับเร็วเกินอัตราที่กำหนดเอาไว้ ถ้าขับด้วยความเร็วสูงเกินกำหนดแล้วโดนตรวจจับได้ ก็จะต้องเสียค่าปรับตามจำนวนกิโลเมตรที่เกินกำหนดไป



การขับรถบนถนนที่เรียกว่าถนนเอาโตบาห์นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น ผู้ขับขี่จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการใข้ถนนในราคา 40 CHF หรือ 27 ยูโรต่อปี โดยสามารถซื้อได้จากปั๊มน้ำมันต่างๆ เมื่อซื้อแล้วเราก็จะได้สติ๊กเกอร์นำมาติดไว้ที่กระจกหน้าของรถ ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่าย เผื่อว่าโดนตำรวจตรวจจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง แต่ในกรณีที่เราเช่ารถจากสนามบินหรือศูนย์เช่ารถในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รถส่วนมากก็มีสติ๊กเกอร์ติดไว้ให้อยู่แล้ว


ปั๊มน้ำมันในสวิสเซอร์แลนด์บนถนนเอาโตบาห์นส่วนมากจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 6.00-23.00 น. แต่ใรกรณีที่ปั๊มปิด แล้วน้ำมันหมดก็จะมีบางปั๊มที่ใข้เครื่องอัตโนมัติ เพียงแค่จ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตก็จะสามารถเติมน้ำมันได้เลย



การขับรถลอดอุโมงค์

เนื่องจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง จนบางครั้งก็ต้องมีการตัดถนนผ่านอุโมงค์เพื่อให้สะดวกในการเดินทางมากขึ้น บางอุโมงค์ก็อนุญาตให้ขับรถผ่านไปได้เลย แต่บางอุโมงค์ก็ต้องใช้บริการรถไฟบรรทุกรถยนต์ เพื่อลอดผ่านอุโมงค์นั้นๆ ซึ่งจะต้องเสียค่าบริการเพิ่ม เช่น การขับรถจาก Interlaken ไป Zermatt จะต้องเอารถยนต์ขึ้นรถไฟเพื่อลอดอุโมงค์ Lötschberg ซึ่งเสียค่าบริการ 25 CHF ต่อรถหนึ่งคันต่อการลอดอุโมงค์หนึ่งเที่ยว



การเดินทางภายในเมือง

การเดินทางภายในเมืองใหญ่ๆ ในสวิสนั้น มีหลายวิธีเช่น การนั่งแท๊กซี่ รถโดยสารประจำทาง รถราง รถ S-Bahn หรือว่ารถไฟใต้ดิน ถ้าเดินทางในเมืองเล็กๆ หรือในส่วนของเขตเมืองเก่าก็สามารถเดินเท้าได้ ซึ่งรายละเอียดจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละเมือง ซึ่งจะกล่าวถึงในบทต่อๆ ไป



การเดินทางโดยเรือ


สำหรับผู้ที่มีความประสงค์ที่จะนั่งเรือชมทะเลสาบต่างๆ ในสวิสแล้ว ทางสวิสก็มีบริการทั้งการนั่งเรือล่องรอบทะเลสาบ หรือจะเช่าเรือถีบในทะเลสาบเป็นระยะทางใกล้ๆ ก็ได้ เช่น การนั่งเรือชมทะเลสาบ Thun, Vierwaldstätter, Lugano หรือ ล่องทะเลสาบเจนีวา การเดินทางโดยเรือก็สามารถได้รับส่วนลด 50 เปอร์เซนต์จากตั๋วสวิสพาสแบบต่างๆ



3. ระบบโทรศัพท์ เบอร์โทรฉุกเฉินและการไปรษณีย์


ระบบโทรศัพท์

สำหรับใครที่มาถีงสวิตเซอร์แลนด์แล้วมีความจำเป็นต้องโทรศัพท์กลับเมืองไทย เพื่อรายงานตัวว่ามาถึงสวิสอย่างปลอดภัย โทรไปถามเพื่อนๆ ที่อยู่เมืองไทยว่าต้องการของฝากอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า หรือจะเนื่องด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ใข้โทรศัพท์ของโรงแรมที่พัก เพราะว่าอาจจะโดนเก็บเงินในอัตราที่แพงกว่าค่าโทรจริงๆ ควรจะหาโทรศัพท์สาธารณะใช้ ซึ่งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีตู้โทรศัพท์สาธารณะที่เป็นของบริษัทสวิสคอม (Swisscom) เต็มไปหมดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโทรศัพท์แบบใช้บัตร แต่เพื่อความสะดวกสำหรับคนที่ต้องโทรศัพท์บ่อยๆ ก็แนะนำให้ซื้อบัตรโทรศัพท์แบบ 5 หรือ 10 ฟรังค์สวิสติดกระเป๋าสตางค์เอาไว้ซัก 1 ใบ บัตรโทรศัพท์นี้สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายหนังสือพิมพ์ที่เรียกว่า Kiosk (คิออส) ปั๊มน้ำมัน สถานีรถไฟ และที่ทำการไปรษณีย์ โดยมีราคาตั้งแต่ 5, 10, 20 และ 50 ฟรังค์สวิส ตู้โทรศัพท์สาธารณะในสวิสนั้นผู้ใช้สามารถเลือกภาษาได้ 4 ภาษารวมทั้งภาษาอังกฤษ ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย

เวลาที่ต้องการจะโทรก็เพียงแต่เสียบบัตรเข้าไปในเครื่องแล้วเครื่องก็จะบอกจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัตรมาให้ ถ้าต้องการโทรศัพท์กลับเมืองไทยก็ให้กด


00 + รหัสประเทศก็คือ 66 + รหัสจังหวัด + หมายเลขโทรศัพท์ที่ต้องการ หรือ

00 + รหัสประเทศก็คือ 66 + เบอร์โทรศัพท์มือถือ


แต่ถ้าต้องการจะใช้โทรภายในสวิตเซอร์แลนด์ก็ต้องกดรหัสเมืองก่อนทุกครั้ง


อัตราค่าใช้บริการภายในสวิตเซอร์แลนด์จะถูกที่สุดในช่วงเวลาห้าโมงเย็นไปจนกระทั่งถึงแปดโมงเช้า แต่ถ้าจะโทรกลับประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ อัตราค่าโทรที่ถูกที่สุดจะอยู่ในช่วงเวลาสามทุ่มถึงแปดโมงเช้า ส่วนหมายเลขโทรศัพท์ภายในประเทศที่ขึ้นต้นด้วยเบอร์ 0800 จะไม่เสียค่าโทร



เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินและเบอร์โทรศัพท์สำหรับสอบถามข้อมูล

เบอร์โทรศัพท์ต่างๆ เหล่านี้เป็นเบอร์ที่ใช้สำหรับในกรณีฉุกเฉินหรือสำหรับสอบถามข้อมูลต่างๆ ซึ่งจริงๆ แล้วหวังว่าคงไม่มีเหตุอะไรที่ทำให้ผู้เดินทางต้องใช้บริการของเบอร์ฉุกเฉินเหล่านี้ แต่ก็ควรจะรู้เอาไว้บ้าง



117 เบอร์โทรสถานีตำรวจ

144 เบอร์โทรเรียกรถพยาบาล

188 เบอร์โทรรถดับเพลิง

140 เบอร๋โทรในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนถนนเอาโตบาห์น

162 เบอร์สำหรับสอบถามสภาพภูมิอากาศ

163 เบอร์สำหรับสอบถามสภาพการจราจร เส้นทางเดินรถต่างๆ



ระบบไปรษณีย์


สำหรับนักเดินทางที่ชอบเขียนจดหมาย ส่งโปสการ์ดหรือชอบที่จะสะสมแสตมป์ของประเทศที่ได้เดินทางท่องเที่ยว การขนส่งทางไปรษณีย์ก็มีความสำคัญไม่น้อย ยิ่งถ้าเป็นระบบไปรษณีย์ของสวิสด้วยแล้ว รับรองได้เลยว่าจดหมายที่ส่งไปไม่มีทางหายแน่นอน เพราะระบบไปรษณีย์ของที่นี่นั้นเชื่อถือได้พอๆ กับชื่อเสียงของนาฬิกาสวิสนั่นแหละ อัตราค่าส่งจดหมายจะขึ้นอยู่กับทั้งขนาดของซองและน้ำหนัก ถ้าเป็นจดหมายธรรมดาหรือโปสการ์ดราคาส่งกลับไปยังประเทศไทยก็ขั้นต่ำก็อยู่ที่ 1.40 ฟรังค์สวิส เวลาทำการของไปรษณีย์คือ


วันจันทร์ – วันศุกร์ 7.30 – 12.00 และ 14.00 – 18.00

วันเสาร์ 8.00 – 11.00



การใช้อินเตอร์เนต


ตามโรงแรม บ้านพักเยาวชนในสวิตเซอร์แลนด์จะมีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนตให้ใช้ บางแห่งก็ให้เล่นได้ฟรีโดยถือว่าเป็นบริการเสริม แต่บางแห่งก็ต้องจ่ายเงินเป็น 15 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าในที่พักไม่มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ ก็แนะนำว่าให้ไปใช้ที่ร้านอินเตอร์เนตคาเฟ่ที่ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ในเมือง ไม่แนะนำให้หอบโน้ตบุ๊กมาจากเมืองไทย



4. ระบบไฟฟ้า


ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับที่มีความดันไฟฟ้า 220 โวลท์ และความถี่ 50 เฮริ์ต แต่ปลั๊กไฟของสวิสจะแบบกลม ดังนั้นถ้าเรานำอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าไปจากประเทศไทย เราจะต้องนำหัวเปลี่ยนไปด้วย



5. สุขภาพและโรงพยาบาล

เนื่องจากในการขอวีซ่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เราจะต้องมีใบประกันสุขภาพ ดังนั้นเมื่อเกิดกรณีที่มีการเจ็บป่วยระหว่างเดินทาง ทางบริษัทประกันจะเป็นผู้ออกเงินให้ในวงเงินที่กำหนดเอาไว้ แต่ถ้ามีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อบก็สามารถหาซื้อยาได้ตามร้านขายยาทั่วไป เวลาเปิดทำการของร้านขายยา คือ



วันจันทร์ – วันศุกร์ 8.00 – 12.00 และ 13.30 – 18.30

วันเสาร์ 8.00 – 12.00 และ 13.30 – 17.00


วันอาทิตย์หรือช่วงเวลาที่นอกเหนือจากนี้ก็จะมีเพียงบางร้านเท่านั้นที่เปิดให้บริการ ซึ่งสามารถเชคได้จากในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เพื่อความสะดวกจึงแนะนำให้พกยาบางประเภทมาจากเมืองไทย เช่น ยาแก้ปวด ยาทาแก้ปวดเมื่อย หรือพาสเตอร์ เป็นต้น

ถ้าเกิดอุบัติเหติขณะเดินป่าหรือเล่นสกีบนภูเขาสูงก็สามารถโทรแจ้งหมายเลขฉุกเฉินได้ ทางเจ้าหน้าที่จะส่งคนมาช่วยปฐมพยาบาล แต่อย่างไรก็ตามก็ควรเที่ยวอย่างระมัดระวังจะดีที่สุด



หลังจากที่ได้รับรู้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการเตรียมตัวเดินทาง ระบบการคมนาคมขนส่งในประเทศสวิสเซอร์แลนด์แล้ว ในบทต่อๆ ไปก็จะเป็นการแนะนำเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเนื้อหาในบทหลังๆนี้ก็คงดูเพลิดเพลินไม่น่าเบื่อเหมือนในบทต้นๆ



...Click here to continue reading...







Create Date : 08 เมษายน 2551
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 9:09:36 น.
Counter : 2733 Pageviews.

9 comments
  
โดย: CrackyDong วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:22:49:44 น.
  
เคยไปแต่กับทัวร์ อยากไปเองบ้าง ได้ข้อมูลจากคุณแก้วแล้ว ขอบคุณมาก ๆ
โดย: add IP: 61.7.137.45 วันที่: 17 พฤษภาคม 2551 เวลา:19:50:51 น.
  
หวังว่าข้อมูลคงจะมีประโยชน์กับคุณ add บ้างนะคะ
โดย: Yai Kaew วันที่: 17 พฤษภาคม 2551 เวลา:21:33:49 น.
  
สอบถามว่า
ถ้าเดินทางคนเดียว ควรใช้ตั๋วประเภทไหนคะ
และมีรถไฟประเภท night train บ้างไหมในสวิส เพราะว่าอยากประหยัดค่าที่พัก และไม่อยากนอนคนเดียวคะ
กรุณาช่วยตอบ เพราะจะเดินทางในวันที่ 20 กรกฎาคม 2551 นี้แล้วคะจะได้วางแผนถูก และถ้าจะกรุณา ช่วยบอกว่า ภายใน 3 วันควรจะไปที่ไหนบ้าง ขอบคุณมากๆนะคะ ตอนนี้อยู่ที่เนเธอร์แลนด์คะ
Sutthawas@gmail.com
โดย: noom IP: 192.87.16.244 วันที่: 20 มิถุนายน 2551 เวลา:15:26:30 น.
  
บัวสนใจสายนี้ ค่ะ
Mont Blanc Express: Martigny – Châtelard Frontière – Chamonix

ถ้าไปครั้งแรก แนะนำนั่งสายไหนก่อนดีคะ
โดย: renka IP: 125.27.160.2 วันที่: 12 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:14:55 น.
  
Sa wad dee ka' Khun Renka

If you travel in Swiss for the first time, I suggest you to take Glacier express ka'

It is the most famous scenaric train in Swiss.
โดย: Yai Kaew วันที่: 25 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:28:31 น.
  
ขอบคุณมากๆเลยนะคับ ขอมูลพวกนี้ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นจริงๆ
โดย: ไกด์ IP: 124.120.157.138 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:42:09 น.
  
แนะนำบัตรโทรศัพท์ โทรกลับไทย นาทีละ 0.29 บาท

ลองดู
//www.be2hand.com/scripts/shop.php?user=pairatmaon
โดย: โมจิ IP: 124.120.138.168 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2551 เวลา:13:10:30 น.
  
กรี๊ด ละเอียดสุดๆ ทุกขั้นตอนกันเลยทีเดียว
ขอบคุณมากนะคะที่อุตสาห์ทำ blog ดีๆ ละเอียดๆมาให้อ่าน

กำลังวางแผนไปเที่ยวสวิต-เยอรมนี เดือน กค-สค นี้
และกำลังเครียดอยู่ ทำไงดี ที่เที่ยวเยอะเหลือเกิน แต่เวลาเราน้อย เฮ้อ
ไว้วางแผนคร่าวๆเสร็จเมื่อไร จะมาขอคำแนะนำบ้างนะคะ (^__^)
โดย: me IP: 117.47.211.170 วันที่: 13 มกราคม 2553 เวลา:15:09:34 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Yai Kaew
Location :
Nordrhein-Westfalen  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



New Comments
เมษายน 2551

 
 
1
2
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
8 เมษายน 2551
  •  Bloggang.com