Group Blog
 
 
มกราคม 2553
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
26 มกราคม 2553
 
All Blogs
 

First day in Taipei




กว่าจะมาอัพบล็อกก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์ จากครั้งที่แล้วพล่ามเรื่องกว่าจะได้ไปไต้หวัน ไปๆมาๆก็ถึงวันไปซะแล้ว เราไปวันที่ 26 ธ.ค.52 ไปกับ KLM เวลา 14.25 น. ผู้ร่วมเดินทางก็มีกันแค่ 2 ชีวิต คือเรากับพี่สาว เราไปถึงสนามบินประมาณเกือบๆเที่ยง จากนั้นก็ไปใช้คูปอง wrap กระเป๋าที่ได้มาจากคิงพาวเวอร์ เสร็จเรียบร้อยก็ไปเช็คอิน ใช้เวลาไม่นานเพราะเราทำเว็บเช็คอินมาแล้ว กว่าจะได้ขึ้นเครื่องก็มีภารกิจที่ต้องทำหลายอย่าง อย่างแรกก็ต้องไปรับของที่ซื้อจากดิวตี้ฟรีที่ซ.รางน้ำอีกหลายถุงเลยอ่ะ (ก็ช่วงปลายปีดันลดให้เยอะแล้วยังมีคูปองล่อเราอีกหลายคูปองเลย) รับของเสร็จก็ต้องช็อปของเพิ่มอีก เพราะตอนขาเข้าไม่ค่อยมีขอให้ซื้อ กว่าจะเสร็จก็วิ่งไปขึ้นเครื่องเกือบไม่ทันแน่ะ

ขึ้นเครื่องไปแล้วก็มีคนนั่งริมทางเดืนแล้ว เป็นชายหนุ่มหน้าตาก็โออยู่ ^_^ ส่วนเราเลือกที่นั่งติดริมหน้าต่าง แต่มาช้าแล้วสัมภาระก็หลายถุง เวลายกเก็บก็เกรงใจน้องเค้าเหมือนกันอ่ะ




นั่งไปก็รอว่าเมื่อไหร่อาหารจะมา เพราะยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้าเลย สักพักอาหารมาเสิร์ฟ อร่อยดี อยากกินอีกอ่ะ




นั่งไปซัก 3 ชม.กว่าๆก็ใกล้ถึงจุดหมายแล้ว




และแล้วก็ถึงสนามบินเถาหยวน ไต้หวัน
ถ่ายย้อนด้านหลังตม. มีหลายเคาเตอร์มาก แต่ก็อยู่กันไม่ครบหรอก




ข้างๆก็มีภาพเขียนโชว์อยู่




ดูซิรับกระเป๋าที่สายพานไหน หาเจอกันมั๊ยเอ่ย




เฉลย สายพานที่ 2 นั่นเอง




เดินออกมาก็เจออู๋จุนรอรับเราอยู่ อิอิ (เจอแต่โปสเตอร์นะ)



Welcome to Taiwan




กลิ่นอายคริสมาสต์ยังไม่จาง เพราะเพิ่งผ่านไปวันเดียวเอง






มาดูกันซิว่าอุณหภูมิข้างนอกเท่าไหร่ 63 องศาฟาเรนไฮต์ ก็ประมาณ 17 องศาเซลเซียสเอง ชิล...ชิล อยู่แล้ว +555




ตู้อะไรบ้างเอ่ย ใครรู้บอกหน่อยนะ เพราะไม่ได้เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ที่รู้ๆก็มีถังขยะ อิอิ




บรรยากาศทั่วๆไป ในสนามบิน




ระหว่างเดินไปถามเจ้าหน้าที่ก็มีตู้โชว์สิ่งของๆหลายตู้เลย สวยดีนะ











ทีนี้พอถามไถ่กันรู้เรื่องแล้วว่าเราจะไปที่ Taipei green hostel จะต้องนั่งรถสายไหนไปจะสะดวกสุด ก็จะต้องเดินไปขึ้นรถบัสที่ทางด้านขวาของประชาสัมพันธ์ แต่เราจะต้องไปซื้อซิมโทรศัพท์ก่อน ซึ่งต้องเดินไปทางซ้าย ดังนั้นถ้าเพื่อนๆคนไหนไปถึงสนามบิน พอออกมาจากรับกระเป๋าแล้วก็ให้เลี้ยวซ้ายไปซื้อซิมก่อนเลย จะได้ไม่ต้องเดินย้อนไปย้อนมาอ่ะ

ซิมที่เราซื้อ เค้าแนะนำให้เราซื้อ 500 NT แต่โทรได้ 600 NT โทรกลับไทยนาทีละ 1.68 NT ก็เท่ากับว่าโทรกลับไทยได้ประมาณ 6 ชั่วโมง ก็เลยตกลงซื้อตามที่เค้าแนะนำ (ลืมถ่ายรูปบู้ทขาย จะมีหลายบู้ท แต่เราแวะซื้อที่บู้ทแรกเลย แบบว่าไม่ต้องเดินไกล)
ตอนซื้อเสร็จเราเห็นว่าเค้ามีคอมฯอยู่ก็เลยลองถามว่าถ้าจะไปสุสานเติ้งลี่จวินที่จินซานจะไปยังไง ตอนแรกเค้าได้ยินเราพูดไม่ชัด ได้ยินแค่ว่าจะไปสุสาน เค้าเลยตกใจใหญ่เลย เพราะตอนนั้นมันก็ทุ่มกว่าแล้ว กว่าจะเข้าเมืองไปอีก คงจะยิ่งมืด แล้วก็จะมี...มาหลอกเรา (เพ้อไปโน่น) เลยคุยกันใหม่ให้เข้าใจแล้วเค้าก็หาข้อมูลในเน็ตให้ เป็นอันว่าเราได้ทางที่จะไปแล้ว แต่ก็ยังงงๆอยู่ แต่ไม่เป็นไร เพราะเค้าเขียนภาษาจีนให้เราด้วย (ตอนเราคุยกับเค้าก็คุยจีนกับเค้า แต่ยังไม่แข็งแรงเท่าไหร่นัก)

พอเสร็จจากซื้อซิมเราก็เดินย้อนกลับไปขึ้นรถบัส ตอนที่หาข้อมูลก็เห็นว่ามีรถเข้าไทเปได้หลายบริษัท เจ้าหน้าที่ที่แนะนำเราแนะนำให้ไปของบริษัทที่อยู่ริมด้านนอกสุด (จำชื่อไม่ได้อ่ะ) แต่พอเราไปถามเค้าเค้าก็บอกว่า สายนี้ไปจอดไกลจากที่เราจะไปพักมากให้ไปของที่อื่นเถอะ เกือบไปแล้วเรา แต่เค้าก็ดีนะที่ไม่หลอกให้เราขึ้นรถของเค้า เราก็เลยเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น เล็งๆว่าจะไปเจ้าไหนดี ก็เห็นว่ามีของกั๋วกวงบัสที่อยู่ริมในสุด ราคา 125 NT ไปจอดที่ main station เลย ก็เลยจะเข้าไปซื้อ ทีนี้มีสาวสองคนคงเห็นเราเดินไปเดินมาอยู่พักนึง ก็เลยเข้ามาคุยแล้วบอกให้เราซื้อตั๋วรถของที่นี่แหละ ให้รีบๆด้วย เพราะรถจะออกแล้ว เราก็เลยรีบซื้อแล้วเค้าก็รอพาเราไปด้วยนะ แต่ไปแค่คนเดียว เพราะอีกคนคงมาส่งเพื่อนอ่ะ
พอขึ้นรถเค้าก็นั่งเยื้องๆกัน แล้วเค้าก็เหมือนว่าอยากจะคุยกับเรา พี่เราก็เลยให้เราไปนั่งกับเค้าเลย เค้าให้เราเรียก ลินดา ส่วนเราก็ให้เค้าเรียกชื่อจีนเราแทน (แต่ขอไม่เปิดเผยชื่อนะ) ลินดาไปเที่ยวเหมี่ยวลี่มา (อยู่ภาคกลางของไต้หวัน) ลินดาแก่กว่าเรา 2 ปี แล้วก็เคยมาเที่ยวที่ภูเก็ตด้วย ตอนคุยก็ใช้จีนปนอังกฤษ ผสมๆกันไป แต่ว่วนใหญ่จะเป็นจีนนะ ทีนี้ลินดาก็ถามว่าเราพักที่ไหน เราก็บอกไปว่าพักที่ taipei green hostel ก็หาแผนที่อยู่พักนึง ปรากฎว่าเราลืมหยิบมาจากเมืองไทย ซวยแล้วสิ ที่มีก็มีแต่ชื่อที่อยู่ภาษาอังกฤษ แล้วก็จำได้แค่ว่าลงที่สถานี taipower buliding ลินดาก็เลยโทรไปถามที่ hostel ให้ คุยกันอยู่พักนึงก็ได้ใจความมาบอกเราว่าที่นี่หายาก ชื่อภาษาจีนก็ไม่มี แต่ลงสถานีที่เราจำได้อ่ะถูกแล้ว แล้วถ้าไปถึงแถวนั้นก็ให้ถามคนแถวนั้นก็ได้ เพราะถ้าอธิบายลินดาก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ส่วนเราก็บอกว่าว่าไม่เป็นไร ยังไงก็คงจะหาเจอ (เพราะถ้าไม่เจอก็ไม่มีที่นอนอ่ะ แป่ว!)
คุยไปคุยมาก็มาถึง taipei main station แล้ว ประมาณชั่วโมงนึงได้มั๊ง ไม่ได้ดูเวลาเพราะมัวแต่คุยตลอดทาง ทิ้งพี่สาวให้นั่งกับชาวไต้หวันคนอื่นซะงั้น หลังจากลงรถลินดาก็บอกว่าให้ไปด้วยกัน เพราะบ้านเค้าอยู่แถวซีเหมิน เราก็เลยตามเค้าไป พร้อมกับสัมภาระกองหลายใบ เพราะยังไม่ได้แกะที่พันกระเป๋าออก เลยยังเอาของที่ซื้อจากดิวตี้ฟรีใส่กระเป๋าไม่ได้ เลยต้องหิ้วเป็นอีบ้าเลยอ่ะ ลินดาก็พาเราไปซื้อ easy card แล้วก็พาเราเดินไปจนถึงทางที่จะไปขึ้นรถสายที่เราต้องไป เราต้องไปสายสีเขียว (xindian) แต่ลินดาก็แยกไปสายสีน้ำเงิน ก็ร่ำลากัน แล้วเราก็บอกว่าจะโทรไปหา เพราะขอเบอร์มาแล้วตั้งแต่อยู่บนรถ แต่ลืมขอถ่ายรูปมาอ่ะ

พอแยกจากลินดามาก็มาหลบมุมแกะที่พันกระเป๋าออกเลย จะได้เอาของใส่ได้ คนที่ผ่านไปผ่านมาก็มองว่ากะเหรี่ยง 2 คนนี้ทำอะไรกัน ว่าไปก็ไม่ได้ถ่ายกองสัมภาระขาไป ก็มีกระเป๋าใบใหญ่ 1 ใบ ใบเล็ก 1 ใบ เป้ 1 ใบ กระเป๋าสะพาย 1 ใบ สุดท้ายก็ถุงใบใหญ่อีก 1 ใบ
กว่าจะได้ขึ้นรถก็เล่นเอาเหงื่อตก เพราะต้องแบกกระเป๋าเดินลงมาเอง ไม่ได้ลงลิฟท์ แถมยังหน้าแตกไปหลายรอบ เพราะที่เรารอจะมีรถมาสองสายเป็นสายสีส้มกับสายสีเขียว แล้วเค้าจะมีทีวีบอกว่าสายไหนกำลังจะมา ตอนแรกเราก็ไม่รู้ก็ไปยืนรอคิวกะเค้า ทีนี้พอเห็นรถมาแล้วไม่ใช่สายสีเขียวที่จะไปก็ต้องหลบออกมา กว่าจะถึงบางอ้อก็หน้าแตกไปแล้วอ่ะ

ยืนมาได้ 4 สถานีก็ถึงจุดหมาย ทีนี้พอจะออกจาสถานีก็คุ้นๆว่าจะต้องออกทางออก 4 แต่เพือความมั่นใจเลยเล็งเหยื่อที่จะถามเป็นเด็กนักเรียนม.ต้น แต่น้องๆก็ไม่รู้ มาช่วยกันมะรุมมะตุ้มที่แผนที่ที่สถานีอยู่พักใหญ่ บางคนก็บอกทางออก 3 บางคนก็บอกทางออก 4 สุดท้ายน้องเลยบอกให้เราไปถามที่เจ้าหน้าที่ขายตั๋วดีกว่า เพราะน้องเค้าไม่ชัวร์ แล้วก็ขอโทษเราใหญ่เลยที่ช่วยไม่ได้ เราก็บอกว่าไม่เป็นไร พอไปถามเจ้าหน้าที่ก็ได้ข้อสรุปว่า ทางออก 4
พอเดินขึ้นไปข้างบนก็เจออากาศเย็นมาปะทะเลย แถมฝนก็ตกด้วย ขึ้นมาแล้วก็งงๆเพราะขึ้นมาก็เจอสี่แยกใหญ่เลยอ่ะ เลยต้องเล็งเหยื่อรายใหม่เป็นคู่นักศึกษาหนุ่มสาว ผู้หญิงหน้าตาน่ารัก แต่ผู้ชายหน้าตาธรรมดาออกจะไม่ค่อยดีด้วย (แอบวิจารณ์ชาวบ้านอีก) น้องผู้หญิงพูดภาษาอังกฤษได้ เดาว่าคงเรียนที่ Shida U. มั๊ง เพราะอยู่ละแวกนี้ น้องเค้าก็ดูที่อยู่แล้วไปถามตำรวจที่ยืนแถวนั้นให้ ไปๆมาๆน้องเค้าบอกว่าจะพาเราไปส่งเลย เพราะเค้าก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน กลัวอธิบายแล้วจะยิ่งงง (เจอคนใจดีอีกแล้วเรา) แต่...เกิดเหตุหน้าแตกรอบที่สอง ระหว่างทางที่พี่เราลากกระเป๋าใบเล็กอยู่ ล้อมันก็แตก (ด้วยความที่ใช้งานมานาน) ทีนี้จะลากก็ไม่ค่อยได้ พี่เราเลยต้องหิ้วแทนอ่ะ อายเค้าจริงๆ จากนั้นเรา 4 คน ก็เดินไปจนถึงถนนตามที่อยู่ ไม่ไกลจากสถานีเท่าไร่นัก แต่มันเป็นซอย แล้วก็มืดด้วย เลยวนไปวนมา สุดท้ายกว่าจะเจอก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง (จริงๆถ้ามีแผนที่ก็แป๊บเดียวเองอ่ะ) เราก็ขอบใจน้องคู่นั้นที่ช่วยกันหาที่พักให้เรา แต่ลืมถ่ายรูปอีกแล้วคับ
จากนั้นเราก็จ่ายเงินส่วนที่เหลือให้กับสตาฟที่นี่ เป็นชายหนุ่มรูปร่างอวบๆนิดนึง พูดภาษาอังกฤษเก่งกว่าเราอีก เราก็ถามว่าถ้าจะเดินไปหาของกินได้ที่ไหน เค้าก็แนะนำให้เราไปที่ shida night market เพราะอยู่ใกล้ๆ เราก็รีบเก็บของแล้วออกไปกัน เพราะตอนนั้นก็จะสี่ทุ่มแล้ว

เดินจากที่พักกลับไปตรงสี่แยกที่เห็นตรงทางออกสถานีแล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม แต่ตอนเดินออกก็ยังงงๆ เพราะตอนเดินหาที่พักดันวนซะหลายรอบ ก็เลยเหมือนจะเดินอ้อมๆไปหน่อย แต่ก็หาจนเจอ เข้าไปที่แถว shida ก็จะมีพวกร้านขายของกิน ขายเสื้อผ้า ขายของอื่นๆอีกเยอะแยะ บางทีก็เป็นซุ้มขายไม่ได้เป็นร้าน เดินไปเดินมาก็ไปเจอของกินที่เรียกว่า ลู่เหว่ย เห็นคนยืนซื้อกันเยอะดี ก็เลยลองเข้าไปดู ถามเค้าเค้าก็บอกให้เราเลือกๆของที่เราจะกิน แล้วก็จะไปต้มให้ ส่วนราคาก็แตกต่างกันตามชนิดของและปริมาณ เรากะเจ้ก็หยิบๆไปมั่วๆ ได้ออกมาก็หน้าตาเป็นแบบนี้อ่ะ



แต่อร่อยดี เราบอกให้เค้าใส่เผ็ดด้วย แล้วชาร้อนที่เราสั่งที่นี่ก็หอมอร่อยเลย แต่จำไม่ได้ เพราะเมนูที่สั่งเป็นภาษาจีน อ่านได้แค่บางตัว ส่วนชามะนาวเย็นก็อร่อยไม่แพ้กัน ทีนี้เวลาสั่งเราก็หยิบกระดาษมาติ๊กที่เราเลือก เลือกขนาดแก้วด้วยนะ แล้วก็จ่ายตังที่เคาเตอร์ ส่วนน้ำเค้าจะเอามาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ (ค่าน้ำ 2 แก้ว 60 NT) ส่วนของกินจะจ่ายตั้งแต่ตอนเลือกของเสร็จเลย (130 NT)

กินเสร็จก็เดินซื้อของอีกแป๊บนึง ได้น้ำเสาวรสขวดใหญ่มา 1 ขวด 100 NT ซื้อเพราะน้องที่ขายหน้าตาน่ารักมาก แถมยังให้เราชิมตั้งหลายแก้ว จะขอถ่ายรูปก็ไม่ยอม บอกว่าที่ดูดีเพราะแต่งหน้า แต่เราว่าไม่จริงนะ เพราะเจอสาวไต้หวันหน้าตาดีหลายคนแล้ว

ซื้อเสร็จก็เดินเล่นอีกแป๊บนึง เพราะจะหาซื้อยางรัดผม ลืมหยิบจากเมืองไทย ก็ไปได้ยางรัดเส้นนี้มา ราคา 20 NT (แอบแพงกว่าบ้านเรานะเนี่ย)




แล้วก็ได้ถุงเท้ามา 6 คู่ (ของเรากะของเจ้ คนละ 2 คู่ ส่วนอีก 2 คู่ก็ฝากพี่อีกคน) ถ่ายรูปไว้แค่ 3 คู่ เพราะอีก 3 ใส่ไปแล้ว มิคกี้น่ารักจัง ^_^



ส่วนพี่เราก็ซื้อเลคกิ้งมาตัวนึง เรายุให้ซื้อเองแหละ เพราะเซ็กซี่ดี มีขาดหน้าขาดหลังด้วย (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้)
ขากลับก็แวะซื้อน้ำกับขนมปังไว้เป็นมื้อเช้าพรุ่งนี้ หมดไปอีก 63 NT

กลับมาถึงก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตี 1 กว่า เพราะกว่าจะทำโน่นทำนี่ แถมยังคุยโทรศัพท์อีก ห้องพักที่นี่กว้างกว่า จองโนวอนที่เกาหลีอีก แถมยังมีของให้ครบถ้วน (พวกแปรงสีฟัน สบู่ ผ้าขนหนู) ต่างกับที่เกาหลี เพราะที่เกาหลีมีให้ไม่ครบอ่ะ
สำหรับวันแรกที่ไต้หวันก็ประทับใจคนที่นี้แล้วอ่ะ แม้ว่าจะทุลักทุเล แต่ก็มีคนช่วยเหลือตลอด ประทับใจมากกกกกกกก (แม้ว่าจะประเดิมลืมกระเป๋าใส่มือถือที่ร้านลู่เหว่ยก็ตาม)

วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า เพราะพล่ามเรื่องไร้สาระมาซะยาว ค่อยมาต่อกันวันที่สอง ดูว่าเราจะไปที่ไหนกันบ้างนะ







 

Create Date : 26 มกราคม 2553
0 comments
Last Update : 27 มกราคม 2553 9:25:08 น.
Counter : 1954 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


lovemickey64
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add lovemickey64's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.