นิทานธรรมะ ตำนานกำเนิดพระโสภิตตะ ปจิตตัง
นิทานธรรมะ ตำนานกำเนิดพระโสภิตตะ ปจิตตัง
กึ่งกลางพุทธกาล พุทธบริษัทสี่ของพระพุทธเจ้าหมดสิ้นลง แต่พระพุทธศาสนายังคงมีอายุยาวนานต่อไปอีก ๒,๕๐๐ ปี จึงจะสิ้นอายุพุทธกาลนี้คือ ๕,๐๐๐ ปี ในช่วงต่อไปนี้จะมีแต่สัตว์เหล่าอื่นที่ไม่ใช่พุทธบริษัทมาเกิดเพื่ออาศัยพระพุทธศาสนาที่เหลือต่อไป อันได้แก่ เทพ, มาร, ยักษ์ และพรหม ซึ่งได้ทูลขอพระพุทธศาสนาส่วนที่เหลือจากพุทธบริษัทได้หมดสิ้นลงไปแล้ว และเพราะพุทธบริษัทหมดสิ้นลงกลางกึ่งพุทธกาล ทำให้พระอรหันตสาวกรูปสุดท้ายนิพพานไปโดยไม่อาจสามารถสืบทอดสายธรรมต่อได้ เพราะ หมดสิ้นแล้วซึ่งพุทธบริษัทสี่ของพระพุทธเจ้าเดิม พระศรีอาริยเมตตรัยได้รับคำสั่งให้ลงมาช่วยต่อพระพุทธศาสนาที่หักกลางนี้ ให้มีผู้บรรลุธรรมหลุดพ้นสืบไปได้ จึงได้แบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมังกรดำ บำเพ็ญบารมีหลายชาติจนพร้อมแล้ว จึงได้ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ที่ ณ ประเทศไทย แล้วบำเพ็ญธรรมจนตรัสรู้เป็น พระโสภิตตะ ปจิตตัง สามารถทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ ทว่า เมื่อท่านตรัสรู้แล้วก็ทราบว่าไม่อาจมีพระพุทธเจ้าองค์ที่สองในเวลาเช่นนี้ ยังไม่ถึงยุคสมัยที่พร้อมจะมีได้เป็นได้ อันจะนำภัยพิบัติมากมายมาสู่มวลสรรพสัตว์ ท่านจึงอธิษฐานจิตบำเพ็ญบารมีสืบต่อไป ผลจากการอธิษฐานจิตนั้น ทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงไปเป็น พระยูไล เท่านั้น ต่อมา ท่านได้พยายามโปรดสัตว์เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา แต่เพราะถูก พญามาราธิราช ขวางทาง โดยแปลงกายมาเป็นพระพุทธเจ้าสมณโคดม แล้วออกอุบายหลอกว่าศิษย์ของท่านที่บรรลุธรรมแล้วแต่ยังไม่นิพพานหมดสิ้นเชื้อ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสามภพ จำต้องให้พระพุทธเจ้านิพพานครบห้าองค์จึงจะไม่เกิดภัยต่อสามภพ ท่านหลงกลมาร จึงยอมนิพพานเสีย โดยก่อนนิพพาน พระยูไลพระองค์นั้น ได้แบ่งภาคออกมาเป็น พระมหาโพธิสัตว์ พระองค์หนึ่ง แล้วจึงได้นิพพานไป เมื่อนิพพานไปแล้ว ท่านจึงเข้าใจโดยละเอียดแต่ได้วางกิจทั้งหมดแล้ว จึงมิ ได้กระทำการใดต่อไปอีก พระยูไลองค์นี้ ได้พระนามใหม่ว่า พระสังฆโต ส่วนพระมหาโพธิสัตว์พระองค์นั้น ได้อาศัยพระยูไลที่นิพพานแล้วจึงเข้าใจสิ่งต่างๆ โดยทั้งหมด
อนึ่ง เนื่องจากสังขารของมนุษย์ผู้เป็นที่สถิตของจิตวิญญาณของพระสังฆโตนั้น มีจิตหลายดวงอาศัยอยู่ อันเป็นผลจากอธิษฐานบารมีที่ถวายกายสังขารและจิตวิญญาณแก่พระพุทธเจ้า ทำให้จิตของพระมหาโพธิสัตว์องค์นั้น ไม่อาจอยู่ต่อในกายสังขารนั้นได้ (เพราะถวายจิตวิญญาณแล้ว) แต่กลับมีจิตวิญญาณอื่นจรมาอาศัยอยู่แทน สังขารนั้นก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ต่อไปบนโลกมนุษย์ อาศัยผลบุญบารมีที่แรงกล้าเช่นการถวายร่างกายและจิตวิญญาณทำให้ได้สำเร็จเป็นพระโสภิตตะ ปจิตตัง แต่เพียงชั่วคราวในช่วงบุญนั้นออกดอกผล พอหมดสิ้นผลบุญแล้ว จิตวิญญาณนั้นได้นิพพานไปเสีย สังขารนั้นก็กลับมีธรรมที่ต่ำลง (ธรรมที่ได้ยังไม่เที่ยง อันเป็นผลจากบุญบารมีที่ได้ทำนั้นออกผลชั่วคราว) สุดท้าย กายสังขารนั้นจึงสำเร็จธรรมเพียง เซียน เท่านั้น (ต่ำกว่าพระโสดาบันขั้นหนึ่ง) คือ เป็นกายสังขารที่มีจิตวิญญาณมาจรอาศัยทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยืนยาว (ทั้งที่หมดอายุขัยแล้ว แต่เพราะสำเร็จเซียนจึงต่ออายุขัยตนเองได้) โดยสามารถสื่อสารเรื่องราวและธรรมะกับพระมหาโพธิสัตว์พระองค์นั้นที่จรออกจากร่างไปได้ ซึ่งพระมหาโพธิสัตว์องค์นั้น ได้ธรรมจากพระสังฆโตผู้นิพพานไปแล้วด้วย ทำให้สังขารทราบสิ่งที่ยากแก่การทราบของมนุษย์ทั่วไปและทำกิจเชื่อมต่อกันทั้ง พระสังฆโต, พระมหาโพธิสัตว์ และ เซียน (ที่ยังมีสังขาร) เพื่อเข็ญมวลสัตว์หลังกึ่งกลางพุทธกาลให้ถึง ซึ่งนิพพานให้ได้ โดยเซียนสามารถดำรงอยู่บนโลกมนุษย์ยุคนี้ได้ (พระอรหันต์หมดสิ้นสายลงแล้ว หลังพุทธบริษัทสี่ของพระพุทธเจ้าหมดลง มีแต่สัตว์เหล่าอื่นที่ไม่บริวารของพระพุทธเจ้าเข้ามาอาศัยร่มพระพุทธศาสนาแทน ผู้บรรลุธรรมจึงได้สูงสุดแค่เซียน) และเซียนนั้นแม้ไม่มีธรรมเทียบเท่ากับพระอรหันต์ได้ แต่เพราะอาศัยพระอรหันตโพธิสัตว์ผู้เป็นมหาโพธิสัตว์องค์นั้นช่วยสื่อ อนุตตรธรรม ให้ โดยเชื่อมโยงกับพระสังฆโตผู้นิพพานแล้วนั่นเองและด้วยวิธีนี้จึงไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ที่สองเกิดขึ้นบนโลกภายในพุทธกาลนี้ ไม่มีพระอรหันต์สืบต่ออายุพุทธศาสนาบนโลก มีแต่เซียนบนโลก ที่เมื่อตายลงจะได้ธรรมบนสวรรค์แล้วบรรลุธรรมขั้นสูง ทั้งยังสามารถนิพพานได้บนสวรรค์นั้นเอง จึงนับว่าไม่ผิดต่อยุคสมัย
Create Date : 16 กันยายน 2553 |
Last Update : 16 กันยายน 2553 9:46:49 น. |
|
1 comments
|
Counter : 352 Pageviews. |
|
|
|
|