Feel free to be ME.

 
มิถุนายน 2555
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
24 มิถุนายน 2555
 

ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 3


วิไลลักษณ์ยิ้มหน้าบาน ขณะยกมือไหว้ย่าแดงผู้เป็นแม่ โดยมีเวทางค์และวิยะดายกมือไหว้ตาม
       “ลมอะไรหอบมาถึงนี่ล่ะ” ย่าแดงถาม
       “ก็ลมแห่งความคิดถึงสิคะคุณแม่”
       ย่าแดงยิ้ม “เออ..พัดมาสองเดือนหนนะ”
       วิไลลักษณ์รู้ว่าแม่เหน็บ
       “แหม...คุณแม่ขา วิไลน่ะอยากมาหาคุณแม่ทุกวันจะตายไปค่ะ แต่คุณพี่สิคะงานล้นพ้นตัว วันนี้ก็ต้องไปตีกอล์ฟกับพวกนักธุรกิจจากไต้หวัน ดีนะคะที่วิไลไม่ต้องไปด้วย”
       “ขี้เกียจหรือว่ากลัวแดดล่ะ”
       “ก็...ทั้ง 2 อย่างค่ะ แต่เหตุผลสำคัญที่สุดคือวิไลอยากมาเยี่ยมคุณแม่ค่ะ ตาเวกับยัยวิก็คิดถึงคุณย่าเหลื๊อเกิน คะยั้นคะยอให้แม่พามาตั้งแต่กลับถึงบ้านน่ะค่ะ”
       เวทางค์เข้ามากอด
       “ใช่ครับ ผมคิดถึงคุณย่าที่สุดในโลกเลยครับ”
       วิยะดาเข้ามากอดอีกด้าน
       “วิคิดถึงคุณย่ามากกว่าพี่เวค่ะ”
       “ขอบใจจ้ะ อุตส่าห์คิดถึงคนแก่ แล้วนี่เราสองคน เรียนเป็นยังไงกันบ้าง”
       เวทางค์ วิยะดา หันมาสบตาวิไลลักษณ์ อย่างขอความเห็นว่าจะตอบว่าอะไรดี วิไลลักษณ์ออกตัวแทน
       “ก็...เอ่อ...ดีค่ะ”
       “ถ้างั้นก็ดีแล้ว เรียนหนังสือเก่งๆ โรงเรียนเขาก็มีทุนให้ ไม่ต้องพึ่งเงินของพ่อแม่อย่างแม่ณีเขาก็ได้ทุนเรียนดีมาตั้งแต่ม.3 ย่าไม่ได้ออกอะไรช่วยหรอก นอกจากตำราเรียนนิดๆหน่อยๆ ปีละไม่กี่พัน แล้วเราสองคนล่ะ”
       เวทางค์โวทันที
       “โอ๊ย...ของผมปีละเป็นล้านครับคุณย่า”
       “หา! ทำไมแพงอย่างนั้นล่ะ”
       วิไลลักษณ์รีบพูดแก้
       “อู๊ย...ตาเวล่ะก็...เวอร์ไปได้ แต่...มันก็...หย่อนล้านไม่เท่าไหร่นะคะคุณแม่ ไหนจะค่าเรียน ค่าเช่าคอนโดฯ ค่าน้ำมัน ค่ากินอยู่ แถมยังค่าตำราแล้วก็อุปกรณ์การเรียน อีกอย่างค่าครองชีพในกรุงเทพฯก็สูงกว่าที่นี่ตั้งเยอะนะคะ”
       “ถ้าพี่เวไม่ดื่มไม่เที่ยวก็อาจจะประหยัดมากกว่านี้ค่ะคุณย่า” วิยะดาว่าพี่ชาย
       “แล้วเราล่ะยายวิ ช้อปของแบรนด์เนมตลอด”
       วิไลลักษณ์รีบตัดบท ก่อนที่ลูกทั้งสองจะสาวไส้กันเอง
       “เอ่อ...จริงสิคะคุณแม่ นี่ยายณีไปไหนซะล่ะคะ”
       “เอาปิ่นโตไปส่งพ่ออาทิจ ลูกชายเจ้าประวิทย์...พี่ชายของประเวทย์นั่นล่ะ”
       “พี่ชายคุณพี่” วิไลลักษณ์คิดๆๆ “อ๋อ..คนที่ว่าหนีออกจากบ้านตั้งแต่เด็กๆ ใช่มั้ยคะ”
       ย่าแดงพยักหน้า
       “พอดีลูกเขาเรียนจบเกษตรมาแล้วก็อยากทำไร่ทำสวน พ่อเขาก็เลย ส่งมาอยู่ที่นี่”
       “ถ้างั้นเขาก็ต้องเป็นหลานคุณย่าเหมือนวิสิคะ” วิยะดาหยอดถาม “หล่อมั้ยคะคุณย่า”
       “ไม่รู้สินะ เด็กๆสมัยนี้เขาดูคนหล่อคนสวยกันที่ตรงไหนล่ะ รุ่นย่าดูที่มารยาทกับความวิริยะอุตสาหะ ถ้ามี 2 อย่างนี้ คนๆนั้นก็ดูหล่อและสวยในสายตาของย่า”
       วิไลลักษณ์โว
       “เรียกมาให้รู้จักหน่อยสิคะคุณแม่ เขาจะได้รู้ว่าเขามีคุณอาเป็นผู้ว่าฯ เผื่อวันหน้าวันหลังพ่อเขามีปัญหาอะไร จะได้มาพึ่งพาคุณอาเขาได้”
       ย่าแดงมองวิไลลักษณ์อย่างเพลียๆ แม่นิสัยอย่างไร...ลูกออกมาก็เป็นอย่างนั้น

       ที่ลานกินข้าวคนงาน...อาทิจกำพริกแห้ง กระเทียมใส่ครกแล้วตำ ชายหนุ่มหั่นมะเขือขื่น มะกอก มะนาว และเด็ดปูเค็มตามลงไปอย่างคนที่ช่ำชองและเชี่ยวชาญ ต๊อดเว้าลาวใส่
       “นี่ครับปลาร้า มาเป็นไห ต้มสุกแล้ว ไม่ต้องกลัวครับนาย”
       ไพฑูร อึ่ง พัน ซึ่งยืนอยู่แถวนั้นหันมามองหน้ากัน
       “เจอตำปูปลาร้าเข้าหน่อย ลาวแตกเชียวนะ ไหน..บอกเป็นคนกรุงเทพฯไง” พันแหย่
       ต๊อดหันมาค้อน
       “นี่ไอ้พัน เอ็งก็ดูหน้าข้าสิว่ามันบ้านขนาดไหน ถ้าข้าบอกว่าข้าเป็นลูกครึ่ง เอ็งก็เชื่องั้นสิ”
       “เชื่อ...ครึ่งคนครึ่งอีเห็น” อึ่งเสริม
       ต๊อดไล่เตะพันกับอึ่งที่พากันหัวเราะใส่ อึ่ง พันวิ่งไปหลบหลังอาทิจ ไพฑูรรำคาญ
       “ได้เวลาเข้างานแล้ว มาวิ่งเล่นเป็นเด็กๆอยู่ได้ เอ้า...แล้วจะมายืนออกันอยู่ทำไมวะ ไปทำงานได้แล้ว...ไป”
       ไพฑูรไล่ต๊อด อึ่ง พัน และคนงานเดินออกไป อาทิจเปิดไหปลาร้า คนงานทุกคนชะงักกึก รวมทั้งดรุณีและแก้วซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล ต่างก็หันมามองอาทิจเป็นตาเดียว อาทิจเงยหน้าขึ้นมากวาดตามองทุกคน
       “ขอโทษนะ กลิ่นแรงไปนิด”
       ต๊อด อึ่ง พัน พุ่งมาหาอาทิจเป็นทีมแรก
       “ต๊อดขอครกนึงนะนาย เอาครกใหญ่ๆน้า จะกินกับไอ้อึ่งไอ้พันมัน”
       ไพฑูรจ้ำตามมา หน้าตาขึงขังเหมือนจะเอาเรื่อง อึ่งหันมาเห็นรีบบอก
       “อย่านะพี่ฑูร อีก 10 นาที ถึงจะได้เวลาเข้างาน อย่ามาไล่กันซะให้ยาก”
       ไพฑูรไม่สนใจอึ่ง หันไปพูดกับอาทิจอายๆ
       “ขอแบบนี้สักจานได้มั้ยครับ อยากชิมบ้าง”
       คนงานงง
       “อ้าว...พี่ฑูร ไหงงั้นล่ะ พวกเราก็อยากชิมฝีมือคุณอาทิจเหมือนกันนะ”
       “ได้กินทุกคนนั่นแหละ รอแป๊บนึง มันตำได้ทีล่ะครก” อิทิจบอก
       แก้วแจ้นมาปกป้องอาทิจทันที ด้วยการจวกใส่ทุกคน
       “พวกแกนี่มันทุเรศสิ้นดี ตาฑูร...แกก็เป็นกับเขาด้วยนะ แทนที่จะรอให้คุณอาทิจกินข้าวเสร็จก่อน มายืนสั่งกันเป็นร้านขายไก่ย่างส้มตำไปได้...เดี๋ยวคุณอาทิจกินข้าวเสร็จแล้ว น้าแก้วขอแซ่บๆสักจานนะคะ”
       “นั่น..แซงคิวเฉยเลยแม่แก้ว” ไพฑูรโวย
       “เรียงตามอาวุโส..ผิดเหรอ”
       “คุณณี...ลองสักจานมั้ยครับ คุณณีอายุน้อยสุด ได้จานสุดท้าย...แฟนหล่อ” ต๊อดแซว
       คนงานทุกคนหัวเราะชอบใจ เฮเจี๊ยวจ้าว ดรุณีอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เห็นอาทิจแก้ลำ ด้วยการตำส้มตำกินเอง แถมตอนนี้คนงานยังมาร่วมวงอีกต่างหากเธอจึงแหวกลับ
       “ไม่เอา!!! ฉันจะกลับบ้าน!!!”
       ดรุณีหันหลังจะเดินออก จิ๋วแจ๋ววิ่งกระหืดกระหอบสวนเข้ามา
       “คุณวิไลลักษณ์มาที่บ้าน คุณย่าท่านให้มาตามคุณอาทิจกับคุณณีไปพบท่านค่ะ”
       ดรุณีถอนใจเฮือกใหญ่ อาทิจแปลกใจ ใครคือ..คุณวิไลลักษณ์

       ดรุณียกถาดซึ่งแยกข้าวเหนียวมะม่วงเป็นจานเล็กๆสำหรับทุกคนเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่น วิไลลักษณ์หันมาถามทันที
       “ไหนล่ะหลานคนใหม่ของคุณย่า ไหนว่าจะตามมาไง..ยายณี”
       “ตอนหนูออกมา เขายังกินข้าวไม่เสร็จค่ะคุณป้า”
       อาทิจเดินเข้ามา ชายหนุ่มชะงักเมื่อได้ยินเสียงวิไลลักษณ์
       “อะไร๊ จะกินบ้านกินเมืองเลยรึไง นี่มันบ่ายโมงกว่าแล้วนะ ท่าจะอู้งานซะละมั้ง”
       “ไม่ใช่ครับ”
       อาทิจก้าวเข้ามาหาทุกคน
       “ผมชอบทำงาน และที่ได้กินข้าวช้ากว่าใครก็เพราะติดพันงานที่ทำอยู่ครับ”



ทุกคนรู้สึกต่อการปรากฏตัวของอาทิจแตกต่างกัน ย่าแดงยิ้มพอใจ วิไลลักษณ์ไม่ชอบที่อาทิจกล้าต่อปากต่อคำ ดรุณีโล่งใจเพราะขี้เกียจตอบคำถามวิไลลักษณ์ เวทางค์เขม่น แต่วิยะดากรี๊ดสนั่น
       “กรี๊ดดด!!! นี่มันผู้ชายที่เราเจอที่หน้าร้านอะไหล่ในเมืองนี่พี่เว ตกลงเขาไม่ใช่ช่างซ่อมรถอย่างที่พี่เวว่า แต่เขาเป็น...เป็นหลานคุณย่า อ๊ายยยไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะเป็นญาติกัน...กรี๊ดดด”
       “รู้จักคุณอาวิไลลักษณ์ไว้ซะสิพ่ออาทิจ คุณอาเขาเป็นภรรยาเจ้าประเวทย์น้องชายพ่อเรา แล้วนี่ก็พ่อเวทางค์ ลูกชายคนโตของคุณอา ส่วนที่ร้องกรี๊ดๆนั่นก็แม่วิยะดา น้องสาวพ่อเวทางค์” ย่าแดงแนะนำ
       อาทิจยกมือไหว้วิไลลักษณ์
       “สวัสดีครับ”
       “พ่อเวอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ” ย่าแดงถามเวทางค์
       “22 ครับ คุณย่า”
       “แก่กว่าพ่ออาทิจเกือบ 2 ปี พ่ออาทิจต้องนับพ่อเวเขาเป็นพี่นะลูก”
       “ครับ” อาทิจยกมือไหว้ “สวัสดีครับพี่เว”
       “โอ๊ย...ไม่ต้องเรียกพี่หรอก แก๊แก่ เพื่อนที่ห้องฉันอายุเท่านายถมไป”
       วิยะดาแนะนำตัวเองทันที
       “วิอายุ 17 สูง 165 หนัก 46 สัดส่วน 33-22-35 ค่ะพี่อาทิจ”
       “ไม่ต้องแจงละเอียดขนาดนั้นก็ได้ นายอาทิจเขาไม่ได้เป็นกรรมการประกวดนางงามนะ ยายวิ” วิไลลักษ์ว่าลูกสาว แล้วเบนมาที่อาทิจ “แล้วเทือกเถาเหล่ากอเรามาจากไหนล่ะ”
       ย่าแดงประชด
       “จำเป็นต้องรู้มั้ยแม่วิไล มีผลต่อการทำงานรึเปล่า”
       ขณะเดียวกัน แก้วถือถาดใส่ส้มตำ 2 จาน และจานใส่ผักสดอีก 1 จาน มาวางพร้อมจานแบ่งและช้อนส้อมครบเซ็ท
       กลิ่นส้มตำแตะจมูกจนทำให้วิไลลักษณ์ เวทางค์ตักชิม และหลังจากนั้นก็พูดไปชิมไป คำใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
       “จำเป็นสิคะคุณแม่ ถ้าเรารู้ว่าพ่อแม่เขาเป็นใครมาจากไหน เราก็จะประมวลนิสัยเขาได้ส่วนหนึ่ง เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ด้วย ดูอย่างตาเวสิคะ สมาร์ทโอ่อ่าถอดแบบผู้ดีอังกฤษมาทั้งดุ้นเพราะเกิดที่ลอนดอน”
       “ของผมก็ดอนครับ...อุดรฯ พ่อผมไปรับราชการที่นั่นพอดี”
       อาทิจบอกเรียบๆ เวทางค์ขำ
       “อุดร...อุดรราชสีมา น่ะเหรอ”
       ดรุณีแอบกัดยิ้มๆ
       “แหม..พี่เว กลับจากอังกฤษเป็นสิบปีแล้ว ยังสับสนเหมือนเพิ่งมาถึงเมื่อเช้าเลยนะคะ ไม่มีหรอกค่ะ...อุดรราชสีมา มีแต่อุดรธานีค่ะ”
       “ก็มันคล้ายๆกันนี่น้องณี” เวทางค์มองอาทิจ “ถ้าอย่างนั้นนายก็พูดลาวได้สิ”
       “ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ในเมื่อคุณแม่ผมเป็นคนอิสานแล้วผมก็เกิดและโตที่นั่น”
       วิไลลักษณ์ แกล้งถาม
       “เขาว่าคนอิสานกินแมลง กบ เขียด แล้วก็อึ่งอ่าง จริงรึเปล่า”
       อาทิจรู้ว่าถูกดูถูก แต่ก็ตอบตามมารยาท
       “ครับ ถ้าไปลงเบ็ดแล้วไม่ได้ปลา แต่ได้กบ เขียดหรืออึ่ง เราก็กินกันได้ ผักหญ้าก็เด็ดเอาตามรั้ว เราอยู่กันแบบพอเพียง กินในสิ่งที่เรามีและหาเองได้ครับ”
       “แล้วอย่างไอ้พวกปลาร้านั่นล่ะ ได้มาแล้วทำไมไม่ทำกินสดๆไปเลย เอามาหมักให้มันเหม็นเน่าทำไม เห็นใครๆเขาก็ทนกลิ่นไม่ไหว” เวทางค์ถาม
       ย่าแดงสวนขึ้นมา
       “แล้วเราทนไหวมั้ยล่ะตาเว”
       แก้วที่ฟังอย่างไม่พอใจมานานแล้ว รีบพูดทันที
       “ไม่ใช่แค่ทนไหว แก้วว่าคุณเวกับคุณวิไลเข้าขั้นคลั่งไคล้เลยล่ะค่ะคุณย่า ไม่งั้นคงไม่แข่งกันกินเอาๆขนาดนี้หรอกค่ะ”
       เวทางค์อยากจะตายกับส้มตำคำสุดท้ายที่อยู่ในปาก
       “อย่าบอกนะว่าที่ผมกินอยู่นี่มัน...”
       “ส้มตำปลาร้า 100% ค่ะ คุณอาทิจเธอตำแจกคนงาน แล้วก็เลยตำเผื่อมาให้คุณย่าลองชิมค่ะ” “แต่คุณย่าไม่ทันได้ชิม เพราะหมดเกลี้ยงทั้ง 2 จานเลย” ดรุณีเสริม
       “นั่นสิ...ตกลง พออยู่ในปากแล้วมันเหม็นหรือว่าหอมล่ะ ไอ้ปลาร้านี่น่ะ” ย่าแดงถามยิ้มๆ
       วิไลลักษณ์ เวทางค์ยิ้มให้ย่าแดงเจื่อนๆ ทั้งที่ยังมีปลาร้าอยู่ในปาก ทุกคนแอบอมยิ้ม ขำวิไลลักษณ์กับเวทางค์

       ตุ๊กับทองประศรีซึ่งถือห่วงฮูลาฮุบติดมือมาด้วย เหลียวซ้ายแลขวา อยู่หน้าโรงเก็บรถแทร็กเตอร์
       “แน่ใจนะพี่ตุ๊ ว่าคุณอาทิจซ่อมรถอยู่ในนี้คนเดียว” ทองประศรีถาม
       ตุ๊บอกอย่างหนักแน่น
       “อย่างนั้นสิจ๊ะน้องศรี ช่วงบ่ายอย่างนี้คนงานเข้าสวนกันหมด”
       “หน้าตาฉันดูเป็นไงบ้างพี่ตุ๊ ต้องตบแป้งเติมอะไรอีกมั้ย แล้วผมล่ะเซ็กซี่พอรึยัง”
       “สวยและเซ็กส์ แต่ถ้าจะให้เอ็กส์ระเบิดด้วยล่ะก็ มันต้องมีลีลาในการส่าย”
       ทองประศรีคิกคัก
       “ส่ายส่วนบนหรือส่วนล่างดีล่ะพี่ตุ๊”
       “ก็ทั้งบนทั้งล่างนั่นล่ะ พี่ตุ๊จะไปล่อคุณอาทิจออกมาก่อน แล้วจะผิวปากเป็นสัญญาณ น้องศรีได้ยินเสียงผิวปากก็เลื้อยส่ายแบบจัดเต็มเลยนะ สักพัก...ค่อยแกล้งทำเป็นหันมาเห็นพี่ตุ๊ แล้วพี่ตุ๊จะแนะนำให้รู้จักคุณอาทิจเอง โอเค๊....”
       ทองประศรีพยักหน้ายิ้มรับคำ หญิงสาวเริ่มเล่นฮูลาฮุบ ในขณะที่ตุ๊ย่องเข้าไปในโรงซ่อมรถ
       ต๊อด อึ่ง พันเดินมาจากอีกด้าน ชะงักกึก เมื่อเห็นทองประศรียืนส่ายสะโพกไหวไปไหวมา
       “เฮ้ย...นั่นมันน้องทองโต แห่งบ้าน 3 ทองนี่หว่า” ต๊อดกระซิบ
       “ใช่...อะไรดลใจให้มาเล่นไอ้วงๆนั่นถึงนี่วะ เสียดาย...น้องทองกลางของข้าไม่ได้มา” อึ่งบอก
       “น้องทองเล็กของข้าด้วย” พันรีบเสริม
       “สวรรค์คงส่งน้องทองโตมาให้ข้าคนเดียว งานนี้พวกเอ็งไม่มีเอี่ยวนะเว้ย”
       ต๊อดเอาสองมือล้วงกระเป๋า ผิวปาก แล้วเดินเข้าไปใกล้ทองประศรี โดยมีอึ่งกับพันตามติด ทองประศรีได้ยินเสียง ผิวปาก ก็หูผึ่ง คิดว่าตุ๊พาอาทิจออกมา เลยใส่ลีลาทั้งเลื้อยทั้งส่ายสะบัดเต็มที่
       ต๊อด อึ่ง พัน อ้าปากค้าง สักครู่ ทองประศรีค่อยๆหันมาแล้วกระพริบตาวิบวับๆ แต่พอเห็นเต็มตาว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือ ต๊อด อึ่ง พัน หญิงสาวก็แทบกรี๊ด ตวาดแว๊ด
       “อะไรของพวกแกเนี่ย มายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”
       “พี่ต๊อดควรจะเป็นฝ่ายถามน้องศรีมากกว่านะจ๊ะว่า มาส่ายห่วงตรงนี้ได้ยังไง นี่มันสวนคุณย่า ที่ทำงานของพี่ต๊อดนะจ๊ะ”
       “มาส่ายแถวนี้ก็เจริญหูเจริญตาดี แต่น่าจะชวนน้องทองประสานมาด้วย” อึ่งบอก
       “ถ้าน้องทองประสมมาอีกคน ก็จะครบ 3 คู่ชู้ชื่นพอดีเลย” พันหัวเราะคิกคัก
       “ใครอยากจะเป็นคู่พวกแกหา...ไอ้พวกคนงานขี้เต่าเหม็น” ทองประศรีแว๊ดใส่
       “แล้วใครขี้เต่าหอม น้องศรีเหรอ มาขอพี่ต๊อดพิสูจน์หน่อยสิจ๊ะว่า...หอมจริงเปล่า”
       ต๊อดเข้ามาไล่ต้อนทองประศรี ที่กระโดดหนีอย่างต้องการจะล้อเล่น
       “ไอ้ต๊อด...ไอ้บ้า...อย่าหวังจะได้ดมแม้แต่กลิ่นตัวของฉัน ฉันไม่มองคนงานขี้กลากอย่างแกหรอก ระดับฉันต้องหลานชายคุณย่าเท่านั้น”
       “อะ...อ๊า...แสดงว่าน้องศรีตั้งใจมาดักเจอคุณอาทิจล่ะสิเนี่ย” พันเข้าใจทันที
       “เอายางวงมาเต้นยั่วด้วย วางแผนเยี่ยมเลยน้า” อึ่งแซว
       ต๊อดรีบเสริม
       “คุณอาทิจไปพบคุณย่า ยังไม่กลับมาเลยจ้ะ ให้พี่ต๊อด พี่อึ่ง พี่พัน เต้นเป็นเพื่อนไปพลางๆก่อนมั้ยจ้ะ กำลังเมื่อยเอวอยู่พอดี อยากส่ายบ้างอะ”
       ว่าแล้วต๊อด อึ่ง พันก็ดาหน้าเดินส่ายเอวส่ายสะโพกเข้าหาทองประศรี ราวกับกำลังเล่นฮูลาฮุบอยู่ แต่ด้วยความที่ไม่มีฮูลาฮุบเลยทำให้ท่าส่ายของทั้ง 3 คนแข่งกันน่าเกลียด
       “กรี๊ดดด..อ๊ายยย ทุเรศ!อุบาทว์!ว้ายยย...ช่วยด้วยยย”
       ยิ่งทองประศรีร้องวี๊ดว้าย ชายโฉดปนตลกทั้ง 3 ก็ยิ่งแกล้งเข้าไปส่ายล้อมหญิงสาวไว้ จนทองประศรีทนไม่ไหว ต้องวิ่งตาหูเหลือกฝ่าวงล้อมออกไป สามหนุ่มหัวเราะชอบใจ ในขณะที่ตุ๊วิ่งออกมาจากโรงซ่อมรถ พอเห็น 3 หนุ่มก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
       “เสียงผู้หญิงที่ไหนร้องวะ”
       “ก็ยัยทองประศรีน่ะสิพี่ตุ๊ แหม...คิดจะมาส่ายห่วงส่ายนมยั่วคุณอาทิจ” ต๊อดเล่า
       ตุ๊ทำเป็นตกใจ
       “หา!นี่มันคิดจะมาจับคุณอาทิจงั้นเหรอ ตายๆ...นี่มันเอาสมองส่วนไหนคิด คิดเข้าไปด้ายยย”
       “นั่นน่ะสิ ดีนะที่พวกฉันมาเจอซะก่อนก็เลยเกาตรงที่คันให้ โน่น...เผ่นแน่บไปโน่น”
       3 หนุ่มยังหัวเราะขำทองประศรีไม่หาย ตุ๊แอบโล่งใจที่ไม่มีใครสงสัยว่าทองประศรีเข้ามาที่โรงซ่อมได้ยังไง

       ขณะเดียวกันนั้น ดรุณีเดินมาทางด้านหลัง เธอหันมองทุกคนแวบหนึ่งก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวา แล้วย่องเข้าไปในโรงเก็บรถอย่างเงียบเชียบ ตรงไปที่รถแทรกเตอร์คันที่อาทิจกำลังซ่อม แล้วมุดมุมนู้นก้มดูมุมนี้ไปทั่ว ก่อนจะเหลือบไปเห็นถุงอะไหล่จำพวกน็อตต่างๆอยู่ในถุงพลาสติก ซึ่งวางอยู่ข้างๆจักรยานคันที่เพิ่งไปล้มมาของเธอซึ่งถีบไม่ได้แล้ว
       ดรุณีตาเป็นประกายวาว นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ที่วิยะดาจีบปากจีบคอฉอเลาะอาทิจ
       “วิเห็นพี่อาทิจเข้าไปซื้ออะไหล่ในเมือง ไม่ทราบเอามาทำอะไรคะ”
       “เอามาซ่อมรถแทรกเตอร์ให้คุณย่าครับ” อาทิจบอก
       “อ๊ายยย...เท่จังเลย ซ่อมรถแทรกเตอร์ก็เป็น ทำไร่ทำสวนก็ได้ ไม่เหมือนพี่เวขับเป็นอย่างเดียว อะไรเสียอะไรต้องซ่อมไม่เคยรู้ เรื่องทำไร่ทำสวนไม่ต้องพูดถึงตั้งแต่เกิด วิเห็นพี่เวเพาะถั่วงอกเป็นอย่างเดียว”
       เวทางค์ยัวะแต่พยายามเก็บอารมณ์
       “ยายวิ!”
       วิยะดายิ้มยั่วพี่ชายก่อนจะหันมาเยิ้มใส่อาทิจ
       “แล้วจะซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ล่ะคะพี่อาทิจ”
       “เหลือเปลี่ยนน็อตอีกไม่กี่ตัว น่าจะเสร็จเย็นนี้ครับ” 
       “ถ้าอย่างนั้นเราอยู่ให้กำลังใจพี่อาทิจกันนะคะคุณแม่”
       วิยะดาหันไปบอกแม่ ดรุณีแกล้งพูดขำๆแต่กัดจริงๆ
       “อย่ารอเลยวิ รถอาจจะซ่อมเสร็จแต่ถ้ามันสตาร์ทไม่ติดขึ้นมา ณีสงสารคุณอาทิจ กลัวจะหน้าแตกต่อหน้าญาติๆน่ะจ้ะ”
       อาทิจรู้ว่าดรุณีกัด แต่ก็ตั้งสติแล้วพูดอย่างถ่อมตัว
       “ผมไม่ได้กลัวหน้าแตกหรอกครับ แต่กลัวทุกคนจะเสียเวลามากกว่า ผมไม่ได้เรียนจบช่างมาโดยตรง ซ่อมเสร็จแล้วมันอาจจะใช้งานไม่ได้อย่างที่คุณณีว่าก็ได้”
       “อู๊ยยย...ไม่มั้งคะคุณอาทิจ เห็นตาเกร็งบอกลองสตาร์ทดูแล้ว มันดูเหมือนจะติดแล้วด้วยซ้ำไปนี่คะ” แก้วบอก
       “วิว่ามันต้องใช้งานได้แน่ๆค่ะ เดี๋ยววิไปยืนเป็นกำลังใจให้นะคะ”
       วิไลลักษณ์ กับเวทางค์พูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
       “ยายวิ!”
       “ปล่อยให้พี่เขาทำคนเดียวเถอะ เขาจะได้มีสมาธิเต็มที่ เดี๋ยวเราค่อยไปชื่นชมตอนมันใช้งานได้แล้วดีกว่า” ย่าแดงบอกวิยะดา แล้วหันไปพูดกับอาทิจ “ย่าเป็นกำลังใจให้พ่ออาทิจนะ ย่าเชื่อว่าพ่อต้องทำได้”
       ย่าแดงเอามือแตะบ่าอาทิจให้กำลังใจ ชายหนุ่มยิ้มแก้มปริ ท่ามกลางความริษยาตาร้อนของวิไลลักษณ์และเวทางค์ ดรุณีไม่พอใจที่ย่าแดงเอ็นดูอาทิจอย่างออกนอกหน้าเหลือเกิน
       ดรุณีนึกๆแล้วหมั่นไส้อาทิจมาก
       “ทำได้เหรอ” 
       ดรุณีหยิบน็อตซึ่งอยู่ในถุงขึ้นมาจ่อตรงหน้า 2 ตัว
       “ถ้าน็อตหายไปสัก 2-3 ตัว คงทำไม่ได้มั้งคะคุณย่า เอ...หรือจะหายไปทั้งถุงดีอื้ม...ปิดประตูตายเลยดีกว่า ทีนี้ล่ะนายอาทิจ...นายได้หน้าแตกแน่”
       ดรุณีเอาถุงอะไหล่น็อตทั้งถุงใส่กระเป๋าสะพาย แล้ววิ่งออกมา แต่มาได้ไม่กี่ก้าว หญิงสาวก็ชะงักหน้าตื่นเมื่อเห็นอาทิจเดินเข้ามา ดรุณีร้อนตัว
       “ฉัน...ไม่ได้ทำอะไรนะ”
       “ผมไม่ได้ว่าอะไรนี่ ไม่ได้ถามอะไรคุณสักคำ”
       ดรุณีอยากเขกหัวตัวเองที่ตื่นตูมไปก่อน หญิงสาวไม่รู้จะทำอะไรนอกจากเชิดหน้ากลบเกลื่อนใส่อาทิจ
       “งั้น...ฉันไปล่ะ”
       อาทิจเสียงนิ่ง หน้านิ่ง
       “คุณยังไปไม่ได้”
       “ทำไม...ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้ทำอะไร”
       “ยืนนิ่งๆ” อาทิจมองพื้นแว่บนึง “ให้ผมจัดการไล่ไอ้ตัวที่มันอยู่ใกล้ๆเท้าคุณออกไปก่อน”
       ดรุณีแทรกทันที
       “อะไร...งูเหรอ...ฉันไม่กลัวหรอก เห็นที่สวนมาเยอะแล้ว”
       หญิงสาวพูดใส่หน้าอาทิจ แต่ไม่กล้าก้มมองที่เท้าตัวเอง
       “ไม่ใช่งู”
       “ตะขาบ กิ้งกือ แมงป่อง ตุ๊กแก จิ้งจก”
       ทุกครั้งที่ดรุณีถาม อาทิจจะส่ายหน้าแทนคำตอบว่า “ไม่ใช่” จนสุดท้ายต้องเป็นฝ่ายเฉลยออกมาเอง
       “แมลงสาบ”
       “โธ่เอ๊ย...กะอีแค่แมลงสาบ”
       หญิงสาวก้มลงมองที่เท้า เห็นแมลงสาบยืนนิ่งอยู่ข้างเท้าตัวเองก็ช็อคไปชั่วอึดใจ ก่อนจะจ๊าก...ลั่นนน
       “จ๊ากกก แมลงสาบ!!!”
       ดรุณีกระโจนเข้ามากอดอาทิจแน่น หลับตาปี๋กลัวชนิดขี้ขึ้นสมอง
       อาทิจยืนนิ่ง แทบลืมหายใจ ตั้งตัวไม่ทันกับการจู่โจมของหญิงสาว ครู่หนึ่งเขาหายจากอาการตะลึง จึงค่อยๆระงับใจที่เต้นตูมๆพูดกับดรุณี
       “แมลงสาบ..ไปแล้ว”
       ดรุณียังคงหลับตาปี๋กอดอาทิจแน่น
       “แน่นะ ดูให้ดีๆซิ ยังเพ่นพ่านอยู่แถวนั้นรึเปล่า”
       อาทิจพูดผิดพูดถูก
       “ไม่เพ่นแล้ว...หลับ...เอ๊ย...ลืมตาสิ”
       ดรุณีค่อยๆลืมตาขึ้นทีละข้าง แล้วเอี้ยวตัวหันกลับไปมองตรงพื้นที่เธอยืนอยู่เมื่อครู่นี้ มือยังคงกอดอาทิจไว้ เธอถอนใจโล่งอก ยิ้มออกมาได้
       “ไปแล้วจริงๆด้วย”
       ดรุณีหันกลับมาเจอสายตาอาทิจที่มองเธออยู่อย่างเก้อๆ หญิงสาวยิ่งเก้อหนัก และเมื่อพบว่าแขนตัวเองยังสวมกอดชายหนุ่มอยู่ หน้าที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงแปร๊ดขึ้นไปอีก เธอค่อยๆดึงแขนตัวเองออกมา แล้วฝืนยิ้มใส่อาทิจ ทำเป็นฉันไม่อาย แต่จริงๆแล้วอายมาก
       ดรุณีบ่นกลบเกลื่อน
       “เดี๋ยวต้องบอกคุณย่า ให้คนงานมาทำความสะอาดที่นี่สักหน่อย ปล่อยให้มีแมลงสาบเพ่นพ่านในนี้ได้ยังไง ไปนะ”
       ดรุณียิ้มแล้วโบกมือลาอาทิจ ก่อนจะหันมาสะดุดถังพลาสติกสำหรับใส่อุปกรณ์ซ่อมแซมจนเซหัวทิ่ม หญิงสาวอยากจะกลั้นใจตาย รู้สึกอายอาทิจจนแทบแทรกแผ่นดินหนี จึงรีบวิ่งออกมาจากที่นั่นโดยไม่หันกลับไปมองชายหนุ่มอีก
       อาทิจหัวเราะตามหลังดรุณี สักครู่จึงเปลี่ยนเป็นยิ้ม
       เป็นยิ้มที่เจ้าตัวรู้สึกแปลกประหลาด เพราะมันทำให้ตัวร้อนวูบวาบ ใจสั่น อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน 



 เวทางค์และวิยะดา เดินวนไปวนมา พร้อมกับยกโทรศัพท์ในมือโยกหาสัญญาณ วิไลลักษณ์ซึ่งนั่งอยู่กับย่าแดง มองดูลูกๆแล้วเปรยเหมือนจะขำแต่ไม่ขำ เพราะมีรายการเหน็บเล็กๆแฝงอยู่
       “อยู่ที่นี่เหมือนอยู่หลังเขา อย่างที่ตาเวกับยายวิว่าจริงๆนะคะคุณแม่ ดูสิคะ สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี คุณแม่ไม่ทำเสารับสัญญาณเองเลยล่ะคะ”
       “ไม่ล่ะ แม่ต้องการอยู่อย่างสงบ เทคโนโลยีมีไว้เอื้อประโยชน์ในการทำงานก็จริง แต่ถ้าเราใช้มันจนเกินความจำเป็น มันก็ทำให้ประสิทธิภาพของงานลดลงได้เหมือนกัน คิดดูสิ ถ้าคนงานทุกคนทำงานไปคุยโทรศัพท์ไป มันจะได้งานมั้ย”
       “แหม...คุณแม่นี่ช่างรอบคอบและมองการณ์ไกลจริงๆค่ะ”
       วิไลลักษณ์ประดิษฐ์ชม ยิ้มหวานใส่ย่าแดงแล้วแอบเบ้หน้าใส่ คิดในใจว่าย่าแดงเค็มยิ่งกว่าเกลือ ดรุณีเดินกลับเข้ามา เวทางค์หันมาเห็น
       “ไปไหนมาน้องณี เมื่อกี้พี่เดินหาแทบแย่”
       “ณี...เอ่อ...”
       ดรุณีอึกอักกำลังคิดว่าจะบอกว่ายังไงดี วิยะดามองอย่างจับผิด
       “อย่าบอกนะว่าไปหาพี่อาทิจมาน่ะ ห้ามวิแต่ดอดไปหาเขาเองรึเปล่า”
       ดรุณีเสียงสูงหน้าแดงก่ำขึ้นมา
       “ปะ...เปล่า ณีจะไปหาเขาทำไม ธุระไม่ใช่สักหน่อย”
       วิยะดายิ้มออกมาได้
       “ใครว่า...นี่ล่ะ ธุระที่ใช่ ของเราเลยล่ะ ไป...ไปดูพี่อาทิจซ่อมรถกัน ป่านนี้ซ่อมเสร็จแล้วมั้ง”
       เวทางค์มองน้องสาว
       “อย่าเยอะ...ยายวิ แทรกเตอร์นะ ไม่ใช่รถเด็กเล่นที่แบตฯหมดแล้วเอาถ่าน3A มาใส่แล้วจะวิ่งฉิวได้เหมือนเดิมน่ะ”
       ดรุณีเห็นด้วยทันที
       “ใช่...ไม่มีทาง”
       ขาดคำปรามาสของดรุณี จิ๋วแจ๋วก็วิ่งหืดจับเข้ามา
       “คุณย่าคะ พี่ต๊อดให้จิ๋วแจ๋วมาบอกว่าคุณอาทิจซ่อมแทรกเตอร์เสร็จแล้วค่ะ”
       ทุกคนหันมามองจิ๋วแจ๋วด้วยอารมณ์แตกต่างกัน ย่าแดงยิ้มพอใจ วิยะดาเป็นปลื้ม ส่วนวิไลลักษณ์กับเวทางค์ออกแนวหมั่นไส้ ในขณะที่ดรุณียิ้มหยัน

       อาทิจเดินเอาผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดหน้าตาและเนื้อตัวที่เปื้อนคราบน้ำมันเครื่องออกมาจากโรงเก็บรถ ย่าแดงยืนจับกลุ่มอยู่กับวิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดาและไพฑูร โดยมีต๊อด อึ่ง พัน จับกลุ่มอยู่อีกฟาก ดรุณีขยับเข้ามาแอบดูเหตุการณ์อยู่มุมหนึ่ง วิยะดาส่งเสียงกรี๊ดอาทิจ ราวกับชายหนุ่มเป็นนักร้องดังที่กำลังก้าวขึ้นเวทีคอนเสิร์ต
       “อ๊าย...เท่จังเลยพี่อาทิจ”
       ดรุณียิ้มเย้ย
       “จะเท่ ได้นานแค่ไหน เดี๋ยวก็รู้”
       อาทิจเดินก้าวขึ้นแทรกเตอร์ ราวกับนักบินกำลังก้าวขึ้นเครื่องบินรบ เขาสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่สตาร์ทไม่ติด ชายหนุ่มใจไม่ดีคิ้วเริ่มขมวด อึ่งหันมาถามต๊อด
       “ยังไงวะไอ้ต๊อด ไหนเอ็งบอกแล่นปรู๊ด...แล่นปรู๊ดไง”
       ต๊อดหน้าเสีย
       “สงสัย...เครื่องมันยังไม่ร้อนว่ะ”
       อาทิจหันมามองย่าแดงที่ยืนรออยู่ด้านล่าง ชายหนุ่มรวบรวมกำลังใจสตาร์ทเครื่องอีกครั้ง แต่ก็ไม่ติด ไพฑูรรีบทับถมทันที
       “ผมบอกคุณย่าแล้ว เครื่องยนต์แบบนี้มันต้องใช้ช่างเฉพาะทางที่มีฝีมือจริงๆ”
       เวทางค์มองเหยียด
       “คงอยากประจบคุณย่าน่ะครับ ถึงได้อาสาทำอะไรเกินตัวอย่างนี้ เฮ้อ...คนเรา”
       วิไลลักษณ์เหยียดปากเย้ยหยัน
       “ต๊าย...น่าสงสาร คงจะอายนะคะคุณแม่ ดูสิ...หน้าซีดเป็นไก่ต้มเชียว”
       ย่าแดงไม่เอออออะไร ได้แต่ยืนส่งสายตาเป็นกำลังใจให้ อาทิจคิ้วขมวดหนักขึ้น แต่พอหันไปมองย่าแดง เห็นกำลังใจที่ท่านส่งมาให้ ชายหนุ่มก็ฮึดสู้อีกครั้ง เขาบิดสตาร์ทเครื่อง เสียงเครื่องยนต์ครางขึ้นเบาๆแล้วนิ่งสนิทไป 2 ครั้ง...ดรุณียิ้มชอบใจ
       “งานแรกก็จอดซะแล้ว”
       สิ้นเสียงเย้ยของดรุณี เครื่องยนต์ก็ครางกระหึ่มขึ้นมาทันที หญิงสาวหันไปมอง อาทิจยิ้มออกมาได้ ในขณะที่แก็งค์ต๊อด อึ่ง พัน กระโดดตัวลอยเฮเจี๊ยว ย่าแดง แก้ว วิยะดา หันมายิ้มให้กัน แก้วเหน็บแนมเวทางค์ทันที
       “แหม...คนที่ทำอะไรเกินตัวแล้วทำสำเร็จนี่ มันน่าภูมิใจอย่างนี้เอง ว่ามั้ยคะคุณเว” แก้วหันไปพูดแดกวิไลลักษณ์ “ต๊าย...ดูสิคะ คุณอาทิจหน้างี้เป็นสีชมพู๊ชมพู ไม่ ซีดเป็นไก่ต้มเหมือนตอนแรกเลยนะคะคุณวิไล” แก้วหันไปชื่นชมอาทิจกับย่าแดง “หลานคุณย่าเก่งจังเลยค่า”
       ย่าแดงยิ้มภูมิใจ ในขณะที่วิไลลักษณ์ เวทางค์และไพฑูรยืนยิ้มเจื่อนๆ อาทิจขับรถแทรกเตอร์ผ่านหน้าดรุณี หญิงสาวเอามือล้วงถุงน๊อตในกระเป๋าขึ้นมาดูงงว่ามันเป็นไปได้ยังไง
       อาทิจขับรถแทรกเตอร์ไถพรวนดินบนที่ดินโล่งอันกว้างใหญ่ โดยมีอึ่ง พันวิ่งตามรถเฮฮิ้วเริงร่า ย่าแดงและคนอื่นๆ ยืนมองอาทิจอยู่บนถนนลูกรังที่ตัดผ่านที่ดินไกลออกมา โดยมีดรุณียืนซ่อนตัวอยู่หลังตันไม้ต้นหนึ่ง สักครู่ก็เดินแยกออกมา หญิงสาวหิ้วถุงน็อตหน้านิ่วเดินไปบ่นไปไม่อยากเชื่อ
       “ทำไมมันใช้งานได้ ก็อะไหล่มันอยู่กับเรานี่”
       ลุงเกร็งกับต๊อดเดินสวนกับดรุณี เพื่อตรงไปหาอาทิจ ลุงเกร็งเอ่ยชวน
       “อ้าว...คุณหนูณี ไม่ไปเชียร์คุณอาทิจด้วยกันหน่อยหรือครับ”
       “ไม่ค่ะ...ณีไม่ใช่พวกบ้าเห่อ ซ่อมแทรกเตอร์แค่นี้เรื่องเล็กจะตาย ไม่เห็นจะต้องไปยืนเข้าแถวแซ่ซ้องให้เหลิงไม่เข้าเรื่อง”
       “เอ่อ...รู้สึกว่าในแถวที่แซ่ซ้องจะมีคุณย่ารวมอยู่ด้วยนะครับ” ต๊อดสวนขึ้น
       ดรุณีหน้าตึงขึ้นมาทันที
       “ไม่ต้องออกความเห็นสักเรื่องได้มั้ย แล้วไหนล่ะจักรยานที่ให้ไปซ่อมน่ะ ซ่อมเสร็จรึยัง”
       “ต๊อดกำลังปวดตับกับเรื่องนี้อยู่พอดีครับคุณณี ก่อนจะเอาแทรกเตอร์ออกมาลอง คุณอาทิจอุตส่าห์จะซ่อมให้ แต่ไม่รู้มีมือดีที่ไหนมาขโมยนอตที่คุณอาทิจสั่งให้ต๊อดซื้อไปซะนี่”
       ดรุณีชะงัก
       “นอต”
       ลุงเกร็งมองถุงนอตในมือหญิงสาว
       “ครับ...หน้าตาคล้ายๆที่คุณณีถืออยู่นี่ล่ะครับ”
       ต๊อดหันไปมองถุงแล้วก้มลงไปพินิจ ก่อนจะเบิกตาโต
       “มันไม่ใช่แค่คล้ายนะน้าเกร็ง แต่มันเหมือนกับที่ฉันซื้อมาเด๊ะ นี่ไง...นี่มันถุงร้าน
       เต๊กกวงที่ฉันซื้อมาชัดๆ” ต๊อดหันไปถามซื่อๆ “ตกลง...คุณณีไปขโมยนอตมาเองเหรอครับ”
       ดรุณีรีบปฏิเสธลั่น
       “จะบ้าเหรอ...ฉันจะทำอย่างนั้นทำไม ฉัน...ฉันเห็นมันตกอยู่กับพื้นแถวนี้ก็เลยหยิบมาดู ว่าจะถามลุงเกร็งอยู่เหมือนกันว่ามันน๊อตอะไร”
       ลุงเกร็งหันไปดุต๊อด
       “เอ็งนี่ก็แปลก คิดเข้าไปได้ว่าคุณหนูณีขโมยนอตออกมา คุณหนูณีจะทำอย่างนั้นทำไมวะ”
       ต๊อดคิดๆก่อนจะเดาออกมา
       “ก็...คุณณีไม่ชอบคุณอาทิจ เลยอาจจะแกล้งคุณอาทิจ ด้วยการขโมยนอตออกมา เพราะเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นนอตที่ต้องใส่เข้าไปในแทรกเตอร์ คุณณีอยากจะเห็นคุณอาทิจหน้าแตกที่ซ่อมแทรกเตอร์ไม่ได้ไง” ต๊อดยิ้มแหะๆ “เอ่อ...ที่พูดมาต๊อดก็แค่เดา ว่าแต่ มีเค้าบ้างมั้ยครับคุณณี”
       ดรุณีหน้าเสีย ใจหายวาบ ไม่คิดว่าต๊อดจะเดาอะไรได้เป็นฉากๆเป๊ะๆแบบนี้ ลุงเกร็งไม่เชื่อว่าดรุณีจะทำอย่างนั้น
       “คุณหนูณีไม่ใช่เด็กขี้อิจฉานะเว้ย จะได้พาลใส่คุณอาทิจขนาดนั้น พูดอะไรไม่ระวังปากเลยไอ้นี่ ไป...ไปดูคุณอาทิจกัน”
       ต๊อดรีบถามดรุณี
       “คุณณีจะฝากถุงนอตไปกับต๊อด หรือจะเอาไปให้คุณอาทิจเองกับมือครับ”
       ดรุณียื่นถุงนอตให้
       “รีบเอาไปเลย ไม่จำเป็น...ฉันก็ไม่อยากเสวนากับเขานักหรอก”
       ต๊อดรับถุงมา ก่อนจะวิ่งตามลุงเกร็งไป ดรุณีถอนใจโล่งอก รอดไปอีกวาระ
       ต๊อดถือถุงน๊อตวิ่งผ่านกลุ่มของย่าแดงไปพร้อมกับลุงเกร็ง ทั้งคู่ตรงเข้าไปหาอาทิจซึ่งยังคงไถพรวนดินอยู่บนรถแทรกเตอร์เหมือนเดิม ไพฑูรหันมาพูดประจบย่าแดง
       “ต่อไปนี้เราคงไม่ต้องไปจ้างช่างจากในเมือง มาซ่อมเครื่องมืออะไรแล้วนะครับคุณย่า มีคุณอาทิจอยู่นี่ทั้งคน”
       “พ่ออาทิจเขาไม่ได้เป็นช่างนะเจ้าฑูร ครั้งนี้รถมันอาจจะไม่ได้เสียหายมาก หรือไม่ก็อาจจะเสียในจุดที่เขาเคยซ่อม มันถึงกลับมาใช้งานได้อีก ต่อไปแกต้องใส่ใจตรวจตราข้าวของให้ละเอียดกว่านี้ อะไรเสียก็ต้องรีบซ่อม ซ่อมเองไม่ได้ก็ต้องรีบตามช่างมาซ่อม เข้าใจมั้ย ไปเรียกพ่ออาทิจมานี่ซิ”
       ไพฑูรรับคำ ก่อนจะเดินแยกออกไปหาอาทิจ ดรุณีเดินกลับเข้ามาสังเกตการณ์ วิยะดายิ้มปลื้ม
       “พี่อาทิจนี่เก่งจังเลยนะคะคุณย่า”
       “เก่งหรือไม่เก่งยังสรุปตอนนี้ไม่ได้หรอกแม่วิ เราคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ที่แน่ๆคือพี่เขาเป็นคนมีน้ำใจ” ย่าแดงหันมาเห็นดรุณี “อ้าวแม่ณี หายไปไหนมา เออ...มาก็ดีแล้ว ไปขอน้ำดื่มจากบ้านคนงานมาให้ย่าสักขันสิ...ไป”
       “ค่ะ คุณย่า”
       ดรุณีเดินออกไป วิไลลักษณ์หันมาแดกดันอาทิจกับย่าแดง
       “ถึงจะมีน้ำใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทนกับงานหนักได้แค่ไหนนะคะคุณแม่ ผิวบางใสออกอย่างนั้น ดูสิคะ ขาวใสกว่ายายวิกับตาเวอีก ขนาด 2 คนนี้ไม่ค่อยได้ออกแดด ยังสู้นายอาทิจไม่ได้เลย”
       “แล้วทำไมไม่พาลูกๆไปตากแดดบ้างล่ะ ให้หมกตัวอยู่แต่ในร่มไม่ยอมให้ทำงานแบบนี้ ระวังจะเป็นง่อยทั้งพี่ทั้งน้องนะ”
       วิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดายิ้มแหยๆใส่ย่าแดงแล้วหันมามองตากันปริบๆ ดรุณีเดินเข้ามาพร้อมกับขันน้ำในมือ
       “น้ำฝนเย็นชื่นใจมาแล้วค่ะคุณย่า ดื่มเลยค่ะ”
       “ย่าไม่หิวหรอก ยืนเฉยๆไม่ได้ทำอะไร ให้คนที่เขาทำงานมาเหนื่อยๆดีกว่า”
       อาทิจเดินเอาผ้าขนหนู เช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยตามหน้าผากและข้างแก้ม เข้ามาหาย่าแดง
       “เป็นยังไงพ่ออาทิจ เหนื่อยล่ะสิ เอ้า...แม่ณี เอาน้ำให้พี่เขาดื่มสิลูก อากาศร้อนอย่างนี้ ดื่มน้ำฝนแล้วมันชื่นใจ หายเหนื่อย”
       ดรุณีกับอาทิจหันมาสบตากันเก้อๆมองกันไม่เต็มตา เพราะเรื่องแมลงสาบสื่อรักยังวนเวียนอยู่ในใจ เห็นทั้งคู่นิ่งไปแก้วเลยแซว
       “เอ้า...คุณอาทิจยืนรอจนเหงือกแห้งแล้วค่า คุณณี”
       ดรุณีสบตาอาทิจ กำลังจะยื่นขันให้ แต่โดนวิยะดาตัดหน้าแย่งขันในมือไปเฉยเลย ก่อนจะส่งขันน้ำให้อาทิจ
       “นี่ค่ะพี่อาทิจ ดื่มเยอะๆนะคะคนเก่งของวิ”
       อาทิจรับขันน้ำจากวิยะดาไปดื่มอย่างเขินจัด กับสายตาจิกล้วงอย่างเปิดเผยของหญิงสาว เพียงชั่วอึดใจทุกคนก็ต้องสะดุ้ง เพราะเสียงกรี๊ดของวิยะดาดังลั่น
       “อ๊าย...ขนาดโดนขันปิดหน้าก็ยังหล่อได้อีก คนอะไรหล่อสุดติ่งเลยอะ”
       วิไลลักษณ์กับเวทางค์จิกเสียงต่ำปรามพร้อมกัน
       “ยายวิ!”
       ทุกคนยืนพะอืดพะอมกับความก๋ากั่นของวิยะดา โดยที่ดรุณีพ่วงอาการหมั่นไส้อาทิจเพิ่มเข้าไปด้วย



ค่ำนั้น...ประเวทย์ลงนั่งบนโซฟาในท่าสบายๆอยู่ในห้องรับแขก พลางย้อนถามวิไลลักษณ์
       “คิดมากไปรึเปล่าคุณ”
       “ไม่หรอกค่ะคุณพี่ จากการที่น้องไปสังเกตการณ์ที่บ้านคุณแม่ทั้งวัน น้องมั่นใจค่ะว่าคุณแม่ปลื้มเจ้าหลานคนใหม่ชัวร์”
       วิยะดาซึ่งกำลังBB คุยกับเพื่อนเงยหน้าขึ้นมา
       “ก็พี่อาทิจเขาน่าปลื้มนี่คะคุณแม่”
       เวทางค์ซึ่งนอนเอกเขนกเล่นเกมทางโทรศัพท์อยู่ที่โซฟา พลิกตัวหันมาเบรกวิยะดา
       “น่าปลื้มตรงไหน หน้าตาก็งั้นๆ การศึกษาก็งั้นๆ ยิ่งเทือกเถาเหล่ากอยิ่ง งั้นๆเข้าไปใหญ่”
       ประเวทย์หันไปปรามลูกชาย
       “งั้นๆ เหมือนเถือกเถาเหล่ากอเราเหรอตาเว อย่าลืมนะว่าพ่อของอาทิจเป็นพี่ชายแท้ๆของพ่อ”
       วิไลลักษณ์รีบขัด
       “แต่แม่ของตาเวไม่ใช่ผู้หญิงบ้านๆอย่างแม่ของนายอาทิจนะคะ ยังไงตาเวกับยายวิก็มีภาษีดีกว่าหมอนั่น”
       “ก็ถ้าลูกเรามีดีกว่า แล้วคุณจะมานั่งคิดอะไรให้ปวดหัวทำไม”
       “ที่น้องคิดก็เพราะหมอนั่น มันอยู่ใกล้ชิดคุณแม่กับยายณีมากกว่าตาเวน่ะสิคะ”
       ประเวทย์แปลกใจ
       “เดี๋ยวนะ...เรื่องใกล้ชิดคุณแม่ ผมพอเข้าใจว่าคุณกลัวเจ้าอาทิจจะประจบขอนั่นนี่จากคุณแม่ แต่...หนูณีมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”
       “ยายณีนี่ล่ะค่ะ ตัวแปรสำคัญ เพราะคุณแม่รักยายณีที่สุด สมบัติพัสถานอะไรท่านก็ต้องยกให้ยายณีมากกว่าลูกหลานทุกคนอยู่แล้ว น้องถึงอยากให้ตาเวลงเอยกับยายณีไงคะ สมบัติทั้งหมดจะได้ตกอยู่กับเรา แต่ดูสิ...จู่ๆเจ้าอาทิจก็โผล่มาขวางทางซะนี่”
       “คุณพูดอย่างกับอาทิจ กับหนูณีชอบพอกันอย่างนั้นล่ะ”
       วิยะดาพยักหน้าเห็นด้วยกับพ่อ
       “นั่นสิคะคุณแม่ คิดมากไประวังหน้าผากย่นนะคะ วิว่ายายณีไม่ชอบพี่อาทิจหรอกค่ะ ออกจะเกลียดด้วยซ้ำ”
       “หนุ่มสาวสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน อยู่ใกล้ชิดกันมากๆ เกิดเหงาแล้วย่องหากันขึ้นมา เราจะทำยังไง”
       เวทางค์ไม่สนใจ
       “ก็ช่างเขาสิครับ ผมอยากจะอยู่ป่าอยู่ดอยอย่างนั้นซะเมื่อไหร่ อีกอย่างยายณีก็ไม่ใช่สเปกผม ห้าวเฮี้ยวก็เท่านั้น ปากจัดอีกต่างหาก”
       วิยะดายิ้มกริ่ม
       “ถ้างั้นให้วิช่วยดึงพี่อาทิจออกมาจากยายณีนะคะ พี่อาทิจน่ะสเปกวิเลย”
       ประเวทย์รีบปรามลูกสาว
       “ไม่ต้องเลยยายวิ อาทิจน่ะพี่ชายเรานะ”
       “ยายณีก็น้องคุณย่า นับญาติกับเราได้เหมือนกันนะคะคุณพ่อ”
       วิไลลักษณ์ตัดบท
       “ญาติจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ หน้าตาไม่เห็นเหมือนคุณปู่ทวดเลยสักนิด แต่จะใส่ใจทำไมสมัยนี้แค่มีเงินอย่างเดียวก็พอแล้ว เราต้องร่วมมือกันให้ตาเวกับยายณีลงเอยกันให้ได้นะลูก”
       ประเวทย์ถอนใจ
       “จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ แต่ผมไม่เอาด้วยนะ แล้วก็อย่าคิดวางแผนอะไรจนทำให้ผมต้องมีปัญหากับคุณแม่ล่ะ”
       ประวิทย์เดินออกไปอย่างไม่ชอบใจนัก วิไลลักษณ์บ่นตามหลังไม่พอใจ
       “สามีใครเนี่ย”
       อาทิจส่งสมุดรายจ่ายให้ย่าแดง ดรุณีซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่มุมหนึ่ง ละสายตาจากหนังสือขึ้นมามองชายหนุ่ม โดยมีแก้วนั่งรับใช้อยู่ใกล้ๆ
       “บัญชีค่าใช้จ่ายที่คุณย่ากรุณาให้ผมยืมครับ”
       ย่าแดงหยิบสมุดมาเปิดดูอย่างตั้งใจ
       “ลงตัวเลขได้ละเอียดดีนี่ แล้วเมื่อไหร่จะได้ปลูกล่ะ”
       “ใช้ผานสาม ไถเสร็จแล้วก็ต้องพักดินไว้ 3 วันครับคุณย่า หลังจากนั้นก็ใช้ผาลเจ็ดไถซ้ำเพื่อย่อยดินให้ละเอียด ตากดินไว้ 7 วัน เพื่อกำจัดโรคพืชและแมลง แล้วถึงจะยกแปลง ใส่ปุ๋ยคอก ก่อนจะเอาผักที่เพาะไว้มาลงปลูกครับ”
       “จะลงวันไหน ต้องใช้คนงานช่วยกี่คนก็บอกย่ามาก็แล้วกัน”
       “ผมคงไม่ใช้คนเยอะเพราะ เอ่อ...”
       ย่าแดงยิ้ม
       “ไม่มีเงินจ้างใช่มั้ยล่ะ ไม่เป็นไร ย่าจะออกให้ก่อน พ่ออาทิจลงบัญชีไว้ก็แล้วกันว่ามีคนงานมาทำงานกี่คน ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง จะได้คิดค่าแรงถูก”
       “ผมจะจดละเอียดไม่ให้ขาดสักบาทครับคุณย่า”
       “ดีแล้วล่ะพ่อ ย่าเองก็ทำบัญชีละเอียดอย่างนี้มาตั้งแต่ยังสาว จนลูกหลานบางคนมันเก็บไปนินทาว่าย่าเค็ม จะขาดสักสลึงสองสลึงก็ไม่ได้ มันก็จริงของเขา แต่ย่าถือว่าย่าทำการค้า ถ้าวันนี้เรายอมให้ตกหล่นวันละบาทสองบาท วันหน้า มันอาจจะตกหล่นเป็นพันเป็นหมื่นได้ จะทำการค้าต้องละเอียดรอบคอบ ไม่ใช่ตระหนี่ถี่เหนียว ย่ายอมเสียเงินเลี้ยงคนงานเป็นหมื่นเป็นแสนได้ แต่จะไม่ยอมเสียแม้แต่บาทเดียวเพราะความสะเพร่าของตัวเอง”
       “ผมจะจำคำสอนของคุณย่าไว้ให้ขึ้นใจครับ”
       ดรุณีกระแอมไอ เบรกอาทิจเพราะรู้สึกว่าชายหนุ่มช่างประจบคุณย่าซะจริง แก้วหันไปถาม
       “เป็นหวัดหรือคะคุณณี”
       ย่าแดงหันมามองหญิงสาว
       “กินผักผลไม้น้อยไปน่ะสิ ขาดวิตามินซี มันก็เป็นหวัดง่ายอย่างนี้ล่ะ”
       แก้วยิ้มๆ
       “อู๊ย...ต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวขาดวิตามินซีและแร่ธาตุอื่นใดในโลกนี้อีกแล้วค่ะ เพราะคุณอาทิจจะยกแปลงผักมาไว้ที่นี่ คุณณีจะกินวันละสามมื้อก็ยังได้ คุณอาทิจเอาผักลงเมื่อไหร่ เราไปช่วยกันนะคะคุณณี”
       ดรุณียิ้มยียวน
       “ได้...แต่จะใช้งานฟรีๆไม่ได้ หนูจะคิดค่าจ้าง”
       อาทิจเสียงอ่อย
       “จ่ายเป็นผักแทนได้มั้ย”
       “ถ้างั้น...ตัดมาให้กินวันละ 3 มื้อ มื้อละ 3 คน”
       ย่าแดงมองขำๆ
       “นึกว่าจะนึกถึงแต่ย่า 3 คนนี่คงนับพ่ออาทิจรวมเข้าไปแล้วสินะ”
       ดรุณีหน้าเจื่อน นึกขึ้นได้ว่าตัวเองนับอาทิจรวมไปด้วยจริงๆ แก้วแซวๆ
       “อย่างนั้นสิคะคุณย่าขา แหม...ช่างเป็นพี่น้องที่รักกันเหลือเกิน นึกถึงกันอยู่ตลอดเวลาเลย”
       ดรุณีรีบกลบเกลื่อน
       “หนูก็นึกถึงทุกคนแหละ น้าแก้วกับจิ๋วแจ๋วด้วย...หวังว่าคุณเจ้าของผักเขาจะนึกถึงคนอื่น ไม่บ้าจี้เด็ดมาแค่มื้อละหัวสองหัวก็แล้วกัน”
       ดรุณีแอบค้อนอาทิจเป็นการส่งท้าย แก้วกับย่าแดงหันมาสบตาแล้วยิ้มส่ายหน้า อาทิจงงพาลมาลงที่เขาอีกจนได้

       สองวันต่อมา...อาทิจเดินเข้ามาในโรงเพาะกล้าผัก เห็นผักที่เพิ่งเพาะกำลังแตกใบเลี้ยงชูช่อโผล่ออกมาจากตระแกรงเพาะ เขาต่อสายยางเปิดน้ำ แล้วฉีดขึ้นฟ้าเป็นละอองสเปรย์รดไปที่ตะแกรงกล้าผักที่เพาะไว้ ต๊อด อึ่ง พันและไพฑูรตามมาสมทบ ต๊อดมองดีใจ
       “โตเร็วดีนะครับนาย”
       “อือ...ไถพรวนดินอีกรอบก็คงโตพอเอาลงปลูกพอดี”
       ไพฑูรมองไปที่ตะแกรงผักแล้วยิ้มหยัน
       “น่าจะหว่านลงดินเลยนะครับ มานั่งเพาะกล้าอย่างนี้ เสียเวลาแย่ จะได้ผลแค่ไหนก็ไม่รู้ ได้ข่าวว่าจะไม่ใช้ยาฆ่าแมลงไม่ใช้ปุ๋ยเคมีด้วยไม่ใช่เหรอครับ”
       “ครับ ผมหมักปุ๋ยชีวภาพไว้แล้ว”
       “มันจะได้ผลเหรอ”
       “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่อยากจะลอง ถ้าไม่ลองเราก็ไม่รู้ อาจจะต้องกลับมาใช้ปุ๋ยเคมีบ้าง แต่จะใช้ให้น้อยที่สุด”
       ไพฑูรแอบแสยะยิ้มแล้วเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ พร้อมกับเบิกตาโตเพราะเลยเวลานัดไปร่วมชั่วโมง
       “ถ้าตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอไปทำธุระแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวเจอกันที่สวนส้มเลย”
       ต๊อด อึ่ง พัน หันไปมองไพฑูรตาเป็นประกายวาวปิ๊ง...ปิ๊ง อาทิจพยักหน้า
       “ครับ”
       อาทิจปิดน้ำ หางตาเหลือบเห็น ต๊อด อึ่ง พัน มองตามหลังไพฑูรไป เพียงอึดใจต่อมา ชายหนุ่มก็เห็น คนงานหน้าโรงเพาะกล้าซึ่งมาจากทุกสารทิศ จ้ำตามหลังไพฑูรไปห่างๆ ดูลับๆล่อๆ ต๊อด อึ่ง พัน หันมาสบตากัน แล้วหันกลับไปมองอาทิจที่ทำเป็นก้มหน้าก้มตาดูผักในตะแกรงตรงหน้าเหมือนไม่สนใจ
       ต๊อด อึ่ง พันยิ้มร่าก่อนจะค่อยๆย่องออกไปจากโรงเพาะ แต่ก้าวออกมายังไม่ถึง 3 ก้าว เสียงอาทิจก็ดังขึ้น
       “จะไปไหน”
       ทั้ง 3 คนสะดุ้งโหย่ง หันกลับไปมองอาทิจแล้วร้องจ๊าก เพราะชายหนุ่มโผล่มายืนอยู่ข้างหลัง ต๊อดอึกอักบอก
       “คือ...เอ้อ...จะขอแวบไปดูหนังรอบเช้าอะนาย”
       อาทิจจ้องหน้า
       “หนังอะไร”
       อึ่งเจ๋อเข้ามา
       “หนังสดครับ”
       อาทิจงง
       “หนังสดอะไรวะ แล้วจะไปดูในเวลางานอย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหน”
       พันอธิบายพร้อมกับเอ่ยชวน
       “ก็เจ้าของวิกเขาชอบเล่นในเวลางานนี่นาย พวกเราก็เฮสิ เพราะมันเห็นกันจะจะไม่มืดๆมัวๆเหมือนรอบกลางคืน นายไปด้วยกันมั้ย”
       อาทิจส่ายหน้า
       “ไม่...เสียเวลาทำงาน ตั้ง 2 ชั่วโมง”
       ทั้งสามหัวเราะก๊าก อึ่งบอกกับอาทิจอย่างขำๆ
       “โอ๊ย...วิกนี้เขาเล่นแค่ยี่สิบนาทีก็จอดแล้วครับนาย ดุเดือดเลือดพล่านขนาดนั้น ถ้าเล่น 2 ชั่วโมงอย่างนายว่า คงต้องหามไม่ใครก็ใครส่งโรงพยาบาลกันบ้าง”
       ต๊อดร้อนใจ
       “จะมายืนถามอยู่ทำไมครับ ไปดูให้เห็นกับตาเลยดีกว่าว่ามันอลังการงานสร้างขนาดไหน ไปครับนาย เดี๋ยวไม่ทันดูไตเติ้ลกันพอดี”
       อาทิจขัดขืนไม่ยอมไปแต่โดนต๊อดกับพันประกบหนีบแขนซ้ายขวา โดยมีอึ่งช่วยดันหลังออกไป




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2555
0 comments
Last Update : 25 มิถุนายน 2555 22:52:17 น.
Counter : 1681 Pageviews.

 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

houyhnhnms
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Hello!
[Add houyhnhnms's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com