ลั๊ลลาบนดอยแม่สลอง...เปิดทริป “พระเจ้าให้ขาไว้เดิน” ฉบับปฐมฤกษ์ ตอน 2


หลังจากนั่งภาวนาไม่ให้อึราดตลอดทาง ด้วยเหตุจากกลัวที่แคบ
เพราะที่นั่ง 31E ปรับเบาะเอนไม่ได้ หลังติดห้องน้ำ
แต่เบาะด้านหน้า (30E) ปรับเอนมาได้สุดๆ

แถมจะสะกดจิตบังคับตัวเองให้หลับก็ทำไม่ได้ เพราะคุณน้องแอร์หางแดง
ช่างแสนขยันสร้างกิจกรรมด้วยรถเข็นเสียจริง ทั้งของกิน ของที่ระลึก
มีมาไม่ขาดสาย

ในที่สุดช่วงเวลาอันสยองขวัญของเราก็จบลง...เมื่อเครื่องบินแตะสนามบินเชียงราย...

และด้วยความที่ทริปนี้เจออิทธิฤทธิ์สัมมนาภาครัฐ
ทำให้ผู้ร่วมทริปประชุมของเราต้องแยกไฟลท์บินตามๆ กันมา
ผู้ดูแลกลุ่มที่เรามาด้วย จึงพาไปฆ่าเวลาด้วยการ “กินๆๆๆๆ”
มุ่งหน้าไปหาของอร่อยกินในย่านหอนาฬิกาสีทองฝีมืออาจารย์เฉลิมชัย
ซึ่งก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง มีร้านอร่อยๆ มากมาย

ประเดิมอาหารเช้าด้วยร้านข้าวแกงปักษ์ใต้ ที่แสนอร่อยจนกับข้าววางปุ๊บ
สลายเข้ากระเพาะปั๊บ สุดท้ายก็เลยไม่มีหลักฐานมายืนยัน
เพราะเหลือแต่ซากอารยธรรมโบราณอย่างก้างปลาที่ไม่น่าดู 555

จากนั้นเราก็มาต่อกันที่ร้านกาแฟโบราณ “กาแฟรถเหลือง”
ที่คาดว่าใครมาเชียงรายยามเช้า น่าจะได้แวะเวียนไปลิ้มรสมาแล้วบ้าง



เราว่าเสน่ห์ของร้านนี้ไม่ได้อยู่ที่กาแฟ ....เพราะเราไม่กินกาแฟ...ไม่เกี่ยวดิ

แต่เพราะความโดดเด่นของร้านอยู่ที่ชายหนุ่มโพกผ้าถือกีต้าร์ร้องเพลง
เมื่อนึกอยาก.. (ที่เดาจากสภาพร่างกายน่าจะเลยหลักสี่มาทาง
"5" แยกปากเกร็ดแล้ว 555 ...ขอโทษก้าบบบบ)
เจ้าของร้านที่มีลีลา ชีวิตชีวา ในการบริการและดึงดูดลูกค้าที่เป็นเอกลักษณ์
ผูกใจคนได้มาก

ส่วนรสชาติเครื่องดื่มส่วนใหญ่ไม่ว่ากาแฟ หรือ ชา เข้มข้นดี
(มากกว่าหลายร้านที่แพงๆ) แต่ออกหวานไปหน่อย
(อันนี้ทั้งกลุ่ม 10 กว่าคนเห็นตรงกัน) ฉะนั้นถ้าใครไม่กินหวาน
คงต้องบอกคนทำล่วงหน้า



หลังจากพุ่งปลิ้นด้วยของคาวและของหวาน
ทุกคนก็เริ่มเข้าสู่โหมดของ... “การทำงาน”....
ซึ่งแม้ที่พักและห้องประชุมจะหรูหราระดับดุสิตธานี
แต่ก็สร้างความเซ็งให้ชีวิตเหมือนเดิม

หุๆๆๆ ฉะนั้น...ตัดฉับๆๆๆ ...เข้าสู่ภารกิจของเรา ... “ลั๊ลลาๆๆๆ”
มาลั๊ลลากันดีกว่า



เช้าวันเสาร์เมื่อภาระในการทำงานตามออเดอร์นายใหญ่จบลง(เสียที -_-')

ผู้ร่วมทริปสัมมนาของเราส่วนใหญ่ต้องการไปละลายทรัพย์ที่แม่สายก่อน
บินกลับ เราจึงขอติดรถตู้ไปลง “แยกปากเซ” ปากทางขึ้นดอยแม่สลอง
ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านไปด่านแม่สายอยู่แล้ว 555

บอกแล้วว่าเน้นท่องเที่ยวแบบประหยัด อะไรทำได้ก็ทำเนอะ
(แต่ถ้าใครจะไปเอง ก็สามารถเดินทางด้วยรถบัสเขียวที่เขียนว่า
ไป “แม่สาย” จาก บขส.เก่า เชียงราย ค่ารถประมาณ 20 บาท)


แยกปากเซ เมื่อลงรถแล้วก็จะเห็นคิวรถสองแถวสีฟ้าได้ทันที
ยกเว้นร้านขายข้าวขาหมูจะบัง
ถ้าเป็นกรณีนั้นก็ให้เดินเข้าถนนเล็กๆ (หรือเรียกว่าซอยก็ได้)
เข้ามาหน่อยก็เห็นแล้ว

เมื่อมาถึงบรรดาเสียงเตือนจากทั้งในห้องบลูฯ และมารนกกระจิบ
ที่ออฟฟิสก็ลอยมาทันทีว่า

“ระวังนะแก เดี๋ยวคนขับรถจะบังคับให้เหมาขึ้นไป
ไม่เชื่อคอยดูตูโดนมาแล้ว!!!”


แต่ปรากฏว่า ...ผิดคาด... ไม่มีใครสนใจอะไรเราเลย
แถมพอถามว่า นี่วินไปดอยแม่สลองใช่หรือเปล่า
บรรดาคนขับทั้ง 3 คน 3 วัย ก็พยักหน้า แล้วชี้ให้นั่งรอที่ม้าหิน
รอคนเต็มก่อน

เราก็เลยนั่งรอไปเรื่อยๆ จากที่มาถึงแยกปากเซตอน 11.30 น.
นั่งไปเรื่อย อิทธิฤทธิ์ของการยิ้มหวานทุกครั้งที่มีการสบตากันของเรา
ก็เริ่มได้ผล พี่คนขับหน้าเหี้ยมก็เริ่มหันมาคุยกับเราบ้าง
เรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ การเพาะปลูกข้าวโพดที่บ้าน
ไร่หนึ่งได้กี่กิโล ขายได้กิโลเท่าไร บรรยากาศเทศกาลงานบุญ
ความเจริญและเสื่อมลงของจำนวนนักท่องเที่ยว

เสียงหัวเราะ สีหน้าแห่งความสุข สลับกับความเศร้า ปะปนเป็นระยะๆ
ในการสนทนา


แต่ที่เรียกเสียงฮาครั้งใหญ่ได้นั้น ก็เมื่อหนุ่มคนขับรถผู้อ่อนวัยสุด
ถามเราขึ้นมาว่า “อยู่เผ่าไหนแหละ จะกลับบ้านเหรอ”

ป๊าดดดดด นี่หน้าตูเป็นชาวเขาไปแล้วหรือนี่


เลยทำให้บรรดา 2 หนุ่มที่สูงวัยกว่าปล่อยฮา กับหน้าตาที่ปวดตับของเรา
ตอนที่แทบอยากจะดิ้นลงกับพื้น ไม่รู้เพราะดีใจหรือเสียใจที่ดำตับเป็ด
กลายเป็นชาวเขาผิวขาวลูกครึ่งจีนไปเสียแล้ว

แม้จะมีการแย๊บๆ ระหว่างสนทนาว่า ถ้าเหมาขึ้นดอย 400 คนเดียว
เขาก็ไปนะ แต่ก็จะมีเสียงแทรกจาก 2 หนุ่มที่เหลือตลอดเวลาว่า
ลองรอก่อนก็ได้ เผื่อจะมีคนมาช่วยหาร แต่คงไม่โชคดีเหมือนตอนเช้าๆ
ที่ยังหวังได้คนพื้นที่ๆ ไปทำธุระโน้นนี่ได้บ้าง

พร้อมกับเปรยแบบปลงๆ ว่า


“ช่วงนี้ก็มีแต่ฝรั่งแหละ คนไทยไม่มาแล้ว เขาหายกันไปหมด จะมากันอีกที
ก็ตอนปีใหม่เท่านั้นแหละ เขามาแม่สลองแค่ตอนมีซากุระบานเท่านั้น” -___-'




12.30 น. พระเจ้าก็ประทานสาวน้อยแบกเป้จากแดนซากุระแท้ๆ
มาให้เรา 1 คน แต่เธอทำให้เราอยากเอาหัวโขกโต๊ะหินตายเสียให้ได้ !!!
เพราะเธอมาพร้อมคัมภีร์นำเที่ยวเล่มใหญ่ แถมเมื่อคนขับรถถามว่า
จะแชร์ค่ารถกับเราไหม คนละ 200 บาทจะได้ไม่ต้องรอ ให้ครบ 8 คน
(จะได้จ่ายคนละ 60 บาท)

สาวน้อยก็หยิบกระดาษมาเขียนเลข 300 บาท พร้อมชูให้คนขับดูทันที
ปรากฏการณ์ต่อรองราคาก็เกิดขึ้นทันที

ป๊าดดดดด ตูนั่งมาชั่วโมงกว่าไม่มีต่อสักแอะ สาวยุ่นมาถึงเปิดฉากทันที???
เอ๊ะๆๆ ตูทำไรผิดไปหรือเปล่าเนี้ย ?!?!??


แต่สุดท้ายสาวยุ่นก็แพ้ เพราะพี่คนขับยืนยันชัดเจนว่า
แค่ค่าน้ำมันก็ 200 บาทแล้ว ขอค่าแรงสัก 200 เต๊อะ วันนี้ยังไม่ได้สักเที่ยว

แม้สาวเจ้าจะเล่นบทงอน นั่งรอไปสักพัก สุดท้ายก็ยอมแพ้
ชวนเราแชร์ค่ารถขึ้นดอยคนละ 200 บาท




เมื่อนั่งรถไปเรื่อยๆ ทางขึ้นเขาตลอด คดไปโค้งมาตลอด ไต่ไปตามสันเขา
ขึ้นๆ ลงๆ บางช่วงทางชันขนาดแขนข้างหนึ่งต้องเกาะกระเป๋าไว้อีกข้างต้อง
เกาะพนังเก้าอี้ไว้ ไม่งั้นกลิ้งดุ๊กๆ ลงไปแน่

“ค่ารถแค่ 200 บาทให้พี่เขาไปเต๊อะขับตุเรงๆ ขนาดนี้”

ชมวิวข้างทางที่แปลกตา ผ่านไป 1 ชั่วโมง
เราก็มาถึงจุดศูนย์กลางชุมชนบนดอยแม่สลอง
คิวรถสองแถวหน้า 7-11 นั่นเอง แต่พี่คนขับก็ยังใจดี
ขับขึ้นไปส่งถึงหน้าเกสต์เฮ้าส์ของทั้งคู่ที่ถัดขึ้นไปนิดหนึ่ง
แถมอยู่ติดกันอีกต่างหาก

..ขอบคุณพี่คนขับก้าบ ที่ทำให้ไม่ต้องแบกกระเป๋า 6 กิโล เดินขึ้นดอย..

“ลิตเติ้ลโฮม” คืนละ 200 บาท ที่ซุกหัวนอนของเรา
ส่วน “ซินแส” คืนละ 50 บาท ของสาวยุ่น....
แค่ดูราคาก็รู้แล้วว่าใครหาข้อมูลมาเยอะและเค็มกว่ากัน
(นี่ขนาดวิทยายุทธ์ด้านความเค็มล้ำเลิศ จนได้ฉายาว่ามารดำ แล้วนะเนี้ย)


แม้ว่า “ซินแส” โรงเตี้ยมสีแดงจะโดดเด่นเด๊งมาแต่ไกล และราคาถูกกว่า
แต่สำหรับทริปที่เดินทางคนเดียวเป็นครั้งแรก ด้วยสภาพร่างกาย
ที่ไม่สมบูรณ์ 100% ชื่อเสียงเรื่องคุณภาพบริการด้วยใจ จึงต้องมาก่อน

“ลิตเติ้ลโฮม” จึงเป็นที่หมายที่เราเลือก เพราะไม่ว่าเว็บบอร์ดไหนๆ
ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “สุดยอดน้ำใจงาม”

และต้องถือเป็นความโชคดีของเราด้วยที่มีห้องว่างพอดี
ทั้งๆ ที่ไม่ได้จองล่วงหน้า แถมยังเปิดดูห้องให้เราตัดสินใจก่อนอีกต่างหาก

(แต่ถ้าเป็นส่วนที่เป็นเรือนพักแยกต่างหาก...อย่าได้หวังจะทำแบบนี้ได้...
มีคนจองตลอด..แถมฝรั่งพักกันนานด้วย)





ห้องเล็กๆ บนชั้น 2 ของเรือนไม้ที่แม้จะเก่าแต่สะอาดมาก ห้องน้ำรวม
ที่ต้องใช้ร่วมกับแขกคนอื่น รวมถึงคนที่มากินอาหารที่ชั้นล่าง
ก็ไม่ได้ทำให้เราลังเลใจที่จะเลือกที่นี่ เพราะ...สะอาดสุดๆ...
แถมมีน้ำอุ่นให้ทั้ง 3 ห้องด้วย

ยิ่งได้ใช้งานจริง ยิ่งชื่นชม เพราะแม้ว่าเราจะอาบน้ำเลอะเทอะแค่ไหน
แต่แค่ขึ้นไปเปลี่ยนชุดเก็บข้าวของ ลงมาใหม่อีกครั้ง
ห้องน้ำก็ถูกทำความสะอาดแล้ว... “เลิศมาก”


เมื่อเห็นห้องเล็กๆ น่านอน และแสงแดดที่ร้อนแรงของด้านนอก
เราจึงไม่ลังเลที่จะล้มตัวลงนอนอุตุ เพื่อชาร์จแบตที่บุเรงๆ มาตั้งแต่เช้า
ก่อนที่จะตะลุยดอยแม่สลองให้สุดเหวี่ยงสมใจอยาก




Create Date : 18 ธันวาคม 2552
Last Update : 17 มกราคม 2553 0:23:00 น. 3 comments
Counter : 867 Pageviews.

 


โปรดติดตามตอนต่อไป

และขออภัยหากอัพไม่ทันใจ ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาลั๊ลลาด้วยกัน




โดย: เสียงลมหนาว วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:23:33:47 น.  

 
น่าไปอ่ะ และจะมาใหม่นะคะ


โดย: kwan_3023 วันที่: 19 ธันวาคม 2552 เวลา:7:14:59 น.  

 
ตามมาเที่ยวต่อ 555 แถมได้ว่าอยู่เผาไหน


โดย: น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา วันที่: 22 ธันวาคม 2552 เวลา:16:35:40 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เสียงลมหนาว
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




winter's voice
มุมมองของฤดูหนาวที่ยังคงอยู่
แม้อุณหภูมิจะเปลี่ยนไป

เช่นเดียวกับจิตใจคน
แม้วันเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป
แต่แก่นแท้ในจิตใจจะยังเหมือนเดิม???


นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันเลือกจะอยู่เงียบๆ ตรงนี้
ในบ้านของตัวเอง ไม่ใช่โลกสีฟ้าใบใหญ่อีกต่อไป
หลังจากนี้จะแบ่งปันอะไรคงจะอยู่ในบ้านหลังนี้
ใครอยากจะถามอะไรก็แปะไว้ก็แล้วกันนะ



ป.ล. โปรดทราบทุกอมยิ้มที่แวะเวียนมา
เป็นที่ซาบซึ้งใจยิ่งนัก แม้ไม่ได้เม้นท์ตอบ
แต่ก็แอบอมยิ้มอยู่เงียบๆเสมอ \(^O^)/



ป.ล. 2 ขออภัยที่ไม่เปิดเผยใบหน้า
เพราะอยากให้อ่านกันที่เนื้องาน
มิใช่เปลือกที่อาจจะบังเอิญได้พบเจอ




Update !!!

Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
18 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เสียงลมหนาว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.