"อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ"...สตีฟ จ๊อบส์

"สตีฟ จ๊อบส์" ... ตำนานแห่งวงการเทคโนโลยีเขาจากไปแล้วเมื่อวานนี้

แต่เขาไม่ได้ทิ้งไว้แค่นวัตกรรมแห่งยุค
ที่พัฒนาจากสิทธิบัตรซึ่งในอดีตถูกคนหาว่า "บ้าบอ"

แต่เขายังได้ทิ้ง วรรคทองที่เชื่อว่าจะกลายเป็นอมตะอย่างแน่นอน
ครั้งแรกที่ได้อ่าน มันทั้งซาบซึ้ง ตรึงใจ จนน้ำตาจะไหล
แต่ก็ทำห้เลือดในกายสูบฉีด ฮึกเหิมได้อย่างประหลาด


"อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ"

จากสุนทรพจน์ที่ดีที่สุดและดังที่สุดของสตีฟ จ๊อบส์
ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อ 12 มิ.ย.2548


วลีนี้ทำให้ไม่แปลกใจเลยเมื่อได้เห็นทวิตเตอร์ของ
นักข่าวกรุงเทพธุรกิจคนหนึ่ง ที่มีโอกาสไปที่หน้าร้าน Apple
ในซานฟรานซิสโก ณ วันที่ "สตีฟ จ๊อบส์" ลาจากโลกนี้ไป

//twitter.com/#!/ekarat



เครดิตภาพ และดูภาพฉบับเต็มได้ที่นี่
//twitter.com/#!/ekarat/media/slideshow?url=http%3A%2F%2Flockerz.com%2Fs%2F144705358





=============================

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ขอนำเสนอ "สุนทรพจน์"
ที่ดีที่สุดและดังที่สุดของสตีฟ จ๊อบส์
ซึ่งเขาได้กล่าวถ้อยคำอันมีความหมายมากมาย
ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อ 12 มิ.ย.2548


ผ่านจากวันนั้นถึงวันนี้ 6 ปี ของสุนทรพจน์ดังบทหนึ่งแห่งยุค
ได้ให้แนวทางและยังเป็นเหมือน "ตะเกียง" ให้คนรุ่นหลัง
ได้ลองอย่างที่เขาได้ "ลอง" ด้วยวลีที่เขาประกาศว่า

"อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ"


สุนทรพจน์นี้ทำให้เราเห็นตัวตนของเขาชัดเจน
ตั้งแต่ความเป็นคนนอกกรอบ กล้าลอง
เชื่อในความหวัง โชคชะตา และมีวิถีคิดในเชิงพุทธและ
สุดท้ายแม้สุนทรพจน์นี้จะผ่านมาแล้วถึง 6 ปี
ทว่ามันกลับเหมือนเป็น "คำพูดบอกลา" ได้อย่างดีที่สุดเช่นกัน



"ความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา
เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่า
เพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่"--สตีฟ จ๊อบส์กล่าว


ประชาชาติธุรกิจแบ่งเนื้อหาของสุนทรพจน์นี้ออกเป็น 3 ช่วง
ของชีวิตสตีฟ จ๊อบส์ นั่นคือ การเชื่อมจุด ,
ความรักและการสูญเสีย, ความตาย


เนื้อหาของสุนทรพจน์เรียบเรียงจากหนังสือ
"วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน"
พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ OpenBooks




**บทเรียนที่ 1 จ๊อบส์เรียกมันว่า "การเชื่อมจุด"

"ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาคุยกับน้องๆทั้งหลาย
ในวันจบการศึกษาจากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก
ผมเองไม่เคยเรียนจบปริญญา
ตรงนี้เป็นก้าวที่ใกล้ที่สุดแล้วของผม
วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องจากชึวิตจริงของผม
ให้น้องๆฟัง 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ แค่ 3 เรื่องเท่านั้น"



"เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมจุดครับ"


"ผมลาออกจากมหาวิทยาลัยรีดหลังจากไปเรียนอยู่ที่นั่น 6 เดือน
แต่ก็ไปนั่งเรียนต่ออีกประมาณ 18 เดือนก่อนที่ผมจะลาออกจริงๆ
แล้วทำไมผมถึงลาออก?"


"เหตุมันเกิดก่อนผมเกิด แม่แท้ๆของผมเป็นนักเรียนสาว
ที่จบมหาวิทยาลัยแต่ไม่ได้แต่งงาน แม่อยากยกผมให้เป็นลูกบุญธรรม
ของคนที่จบปริญญา ก็เลยจัดการให้ทนายคนหนึ่งกับภรรยา
รับอุปการะผมตั้งแต่เกิด ทีนี้คู่นี้เกิดเปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายขึ้นมา
คิดว่าเขาอยากอุปการะเด็กผู้หญิงมากกว่า
พ่อแม่ผมก็เลยต้องรับโทรศัพท์กลางดึก
หมอถามว่า ทารกเป็นเด็กชาย คุณยังอยากเลี้ยงเขาอยู่รึเปล่า?"


"พ่อแม่ผมตอบว่า แน่นอน ตอนหลังแม่แท้ๆของผมค้นพบว่า
แม่บุญธรรมของผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของผม
ไม่เคยจบมัธยมปลาย แม่ก็เลยไม่ยอมเซ็นเอกสารส่งตัวผม
มายอมหลายเดือนหลังจากนั้น

ก็ตอนที่พ่อแม่ผมสัญญากับเธอว่า วันหนึ่งผมจะได้เรียนมหาวิทยาลัย



หลังจากนั้นอีก 17 ปี ผมก็ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยจริงๆ
แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมดันเลือกมหาวิทยาลัยที่แพงเกือบเท่า
สแตนฟอร์ด ทำให้พ่อแม่ผู้ใช้แรงงานของผมต้องใช้เงินเก็บเกือบ
ทั้งหมดเพื่อส่งผมเรียน

หลังจากเรียนได้ 6 เดือน ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ของมันอีก
ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรจากชีวิต และผมก็ไม่รู้ว่าปริญญา
จะช่วยหาคำตอบให้ผมได้ยังไง
ในขณะที่ผมกำลังถลุงเงินที่พ่อแม่ของผมเก็บหอมรอมริบ
มาทั้งชีวิต

ผมก็เลยตัดสินใจลาออกด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างคงโอเคในที่สุด
ตอนนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะครับ
แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม
นาทีที่ผมลาออก แปลว่าผมไม่ต้องไปเรียนวิชาที่ผมไม่สนใจ
อีกต่อไป และไปนั่งเรีนยแบบไม่เอาคะแนนในวิชาที่น่าสนใจแทน


ชีวิตของผมช่วงนั้นไม่ได้โรแมนติกหรอกนะครับ ผมไม่มีหอพักแล้ว
ก็เลยต้องไปนอนบนพื้นในห้องของเพื่อนๆ ผมเก็บขวดโค้กไปแลกเงิน
ค่าคืนขวด 5 เซ็นต์ เก็บไปซื้อข้าวกิน และทุกๆวันอาทิตย์
ผมจะเดิน 7 ไมล์จากฟากหนึ่งของเมืองไปยังอีกฟากหนึ่ง
เพื่อไปกินข้าวดีๆซักมื้อที่วัดพระกฤษณะ

ผมรักมันมาก การที่ผมปล่อยชีวิตไปตามความอยากรู้อยากเห็น
และสัญชาตญาณ ทำให้ผมได้เจอหลายสิ่งโดยบังเอิญ

ผมจะยกตัวอย่างซักเรื่องนะครับ


มหาวิทยาลัยรีดสมัยนั้นมีคอร์สสอนการคัดลายมือ
ที่น่าจะดีที่สุดในประเทศ ในบริเวณมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ทุกแผ่น
ป้ายติดลิ้นชักทุกอัน ล้วนเขียนด้วยลายมือที่สวยมากๆ
เพราะผมไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับหลังจากลาออกแล้ว
ผมก็เลยตัดสินใจไปเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาเขียนกันยังไง
ผมเรียนวิธีเขียนตัวอักษรแบบเซรีฟแบบซานเซรีฟ เรียนวิธีเว้นช่องไฟ
ระหว่างตัวอักษร เรียนรู้เทคนิคการเรียงพิมพ์อันยอดเยี่ยม
ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม ประวัติศาสตร์ และศิลปะ
ที่มีความลึกล้ำในแง่มุมที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้
ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก








วิชานี้ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะเอามาใช้ในชีวิตจริงของผมได้เลย
แต่อีก 10 ปี ต่อมา ตอนที่เรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์
แมคอินทอชรุ่นแรก ความรู้เหล่านี้ก็ย้อนกลับมาใหม่
เราใส่มันลงไปในเจ้าแมคนี้หมดเลยครับ

ทำให้แมคเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลก
ที่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนวิชานั้น
ป่านนี้แมคก็คงไม่มีตัวพิมพ์หลากหลายรุปแบบ
หรือตัวพิมพ์ที่เว้นช่องไฟในสัดส่วนที่เหมาะสม

และเพราะวินโดวส์ใช้วิธีก๊อปปี้แมคเป็นหลัก
นั่นก็หมายความว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไปก็คงไม่มีด้วย
ถ้าผมไม่ลาออก ผมก็คงไม่ได้ไปนั่งเรียนวิชาคัดลายมือ และ
คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็คงไม่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม
แน่นอนครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้
ตอนผมเป็นนักเรียน แต่การเชื่อมจุดเป็นเรื่องง่ายดาย
ในอีกสิบปีให้หลัง เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอดีต


ไม่มีใครสามารถเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปยังอนาคตได้
เราทำได้เพียงเชื่อมจากปัจจุบันไปหาอดีตเท่านั้น
เพราะฉะนั้นน้องๆต้องมั่นใจว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้จะเชื่อมไปเอง
ในอนาคต น้องๆต้องเชื่อมั่นในอะไรซักอย่างนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ โชคชะตา ชีวิต กฎแห่งกรรม
หรืออะไรก็แล้วแต่


ความเชื่อมั่นแบบนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง
และมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก




**บทเรียนที่ 2 ความรักและการสูญเสีย






ผมเป็นคนโชคดีที่ค้นพบงานที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย
ผมกับวอซก่อตั้งแอปเปิ้ลในโรงรถของพ่อแม่ผม
ตอนผมอายุ 20 ปี เราทำงานกันหนักมากครับ
ภายใน 10 ปี แอปเปิ้ลขยายจากแค่เรา 2 คน ในโรงรถ
เป็นบริษัทมูลค่ากว่า 2,000 ล้านเหรียญที่มีพนักงานกว่า 4,000 คน

ตอนนั้นเราเพิ่งเปิดตัวผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรา
เครื่องแมคอินทอช 1 ปีก่อนหน้าที่ผมจะอายุเต็ม 30 ปี
แล้วผมก็ถูกไล่ออก ทำยังไงคนเราถึงได้ถูกไล่ออก
จากบริษัทที่เราก่อตั้งมาเองกับมือหรือครับ?


คือว่าเมื่อแอปเปิ้ลโตขึ้น เราก็จ้างคนที่เราคิดว่าเก่งมากๆ
มาช่วยผมบริหารบริษัท ปีแรกเหตุการณ์ก็ราบรื่นดี
แต่หลังจากนั้นวิสัยทัศน์ของเราก็เริ่มแยกทางกัน
จนในที่สุดเราก็ไปด้วยกันไม่ได้ เมื่อถึงจุดนั้น

คณะกรรมการบริษัทเลือกอยู่ข้างเขา
ผมก็เลยถูกไล่ออกตอนอายุ 30 ปี
แล้วก็ออกแบบเป็นข่าวดังมากด้วย ในพริบตาเท่านั้น
สิ่งที่ผมทุ่มเทให้ทั้งชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของผมก็สลายไป
มันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจผมมาก


ผมไม่รู้จะทำอะไรเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากนั้น
ผมรู้สึกว่าผมทำให้เจ้าของธุรกิจรุ่นก่อนผิดหวัง
รู้สึกว่าผมทำไม้ผลัดตกตอนที่เขากำลังหยิบยื่นมันมาให้ผม
ผมไปพบเดวิด แพคการ์ด กับบ๊อบ นอยซ์
เพื่อขอโทษพวกเขาที่ทำทุกอย่างพังพินาศ

ผมเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวที่โด่งดัง
ช่วงหนึ่งผมคิดขนาดจะหนีไปจากวงการ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มคิดได้อย่างช้าๆว่า
ผมยังรักในสิ่งที่ผมทำอยู่
สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิ้ลไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้เลย
ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยุ่
นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่


ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ปรากฎว่าการถูกไล่ออกจากแอปเปิ้ล
กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเกิดกับผมได้
ภาระอันหนักอึ้งจากความสำเร็จแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบาสบาย
เมื่อผมกลับกลายเป็นมือใหม่ที่มีความเชื่อมั่นน้อยลง
มันทำให้ผมมีอิสรภาพที่จะเข้าสู่ช่วงที่ผมมีความสร้างสรรค์ที่สุด
ช่วงหนึ่งในชีวิต



ในช่วง 5 ปี หลังจากนั้น ผมก่อตั้งบริษัทชื่อ เน็กสต์
อีกบริษัทชื่อ พิกซาร์ และตกหลุมรักผู้หญิงมหัศจรรย์คนหนึ่ง
ซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาผม

พิกซาร์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวที่เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นล้วนๆ
เรื่องแรกของโลก คือ ทอย สตอรี่
และตอนนี้เป็นสตูดิโอแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก
หนึ่งในเหตุการณ์พลิกผันอันน่าพิศวงคือ
เมื่อแอปเปิ้ลซื้อกิจการของเน็กสต์ กลับคืนสู่แอปเปิ้ล
และเทคโนโลยีที่พัฒนาที่เน็กสต์ก็กลายเป็นหัวใจ
ของแอปเปิ้ลยุครุ่งเรืองในปัจจุบัน ตอนนี้ลอรีน
และผมมีครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกัน



ผมเชื่อว่าเรื่องราวเหลานี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าแอปเปิ้ลไม่ไล่ผมออก
แม้มันจะเป็นยาที่ขมมาก แต่ผมก็คิดว่าเป็นยาที่คนป่วยต้องการพอดี
บางครั้งชีวิตก็กระแทกเราเหมือนอิฐ อย่าเสื่อมศรัทธานะครับ
ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมผ่านช่วงนั้นมาได้


คือความรักในสิ่งที่ผมทำ น้องๆต้องหาสิ่งที่ตัวเองรัก
ผมหมายถึงทั้งงานและคนรัก เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเรา
จะหมดไปกับงาน วิธีเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขกับการทำงาน
คือ เมื่อเราทำงานที่ยอดเยี่ยม

และวิธีเดียวที่จะทำให้งานออกมายอดเยี่ยมคือ
เมื่อเรารักงานที่เราทำ ถ้าน้องๆยังหางานนั้นไม่เจอ
จงหาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

งานก็เหมือนเรื่องของหัวใจเรื่องอื่นๆ ตรงที่เราจะรู้ว่ามัน "ใช่"
เมื่อได้เจอกับมัน และการทำงานก็เหมือนความสัมพันธ์ที่ดีแบบอื่น
คือมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
ดังนั้นผมอยากย้ำให้น้องๆ ตามหางานที่รักจนกว่าจะเจอ
อย่าท้อถอย




**บทเรียนที่ 3 ความตาย




ตอนผมอายุ 17 ปี ผมอ่านคำคมประโยคหนึ่งที่ว่าไว้ทำนองนี้
ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนมันเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วล่ะก็
วันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง
ผมรู้สึกประทับใจกับประโยคนี้มาก



ตั้งแต่นั้นมากก่วา 33 ปี ผมมองหน้าตัวเองในกระจกทุกวัน
แล้วถามตัวเองวา ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม
ผมจะอยากทำสิ่งที่ผมกำลังจะทำวันนี้หรือเปล่า?
แล้วเมื่อไหร่ที่คำตอบคือ ไม่ ติดกันหลายวัน
ผมจะรู้ตัวว่าผมต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้ว


ความสำนึกว่าผมจะต้องตายในไม่ช้าเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุด
ที่ผมรู้จัก ที่ผมใช้ในการตัดสินใจสำคัญๆของชีวิต
เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง
ความภูมิใจ ความกลัวการหน้าแตกและความผิดพลาดทั้งหลาย
ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อเทียบกับความตาย


เหลือเพียงสิ่งที่สำคัญจริงๆเท่านั้น มรณานุสติเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้
ที่จะหลุดพ้นจากบ่วงความคิดที่ว่า เรามีอะไรต้องเสีย
เราทุกคนเปล่าเปลือยอยู่แล้วครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลย
ที่เราจะไม่ทำตามสิ่งที่ใจเราต้องการ


ประมาณ 1 ปีก่อน หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็ง
ผมไปเข้าเครื่องสแกนเวลา 7 โมงครึ่งตอนเช้า
ผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อนของผม
ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร
หมอบอกว่าเขาค่อนข้างแน่ใจว่าผมเป็นมะเร็งแบบที่รักษาไม่หาย
และผมไม่น่าจะอยู่ได้นานเกิน 3-6 เดือน

หมอบอกให้ผมกลับบ้านไปสะสางเรื่องต่างๆที่คั่งค้างอยู่
ก็เป็นโค้ดของหมอที่แปลว่าให้ไปเตรียมตัวตายนั่นแหละครับ
แปลว่าให้พยายามบอกลูกๆถึงสิ่งต่างๆ
ที่คนปกติมีเวลา 10 ปีที่จะบอกให้บอกภายในไม่กี่เดือน
แปลว่าให้เก็บความรู้สึกทุกอย่างให้เรียบร้อย
ให้ครอบครัวไม่ยุ่งยากใจเมื่อถึงเวลา
แปลว่าให้เอ่ยคำลา


ผมหมกหมุ่นอยู่กับคำวินิจฉัยนั้นทั้งวัน
เย็นวันนั้นผมไปเข้ากระบวนการไบอ็อพซี
คือหมอต้องหย่อนกล้องเอ็นโดสโคปลงไปในคอผม
ผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ เอาเข็มฉีดยาแทงเข้าตับอ่อน
ดูดเอาเซลล์มะเร็งบางเซลล์ออกมา
ตอนนั้นผมอยู่ใต้ฤทธิ์ยาชา

ภรรยาผมซึ่งอยู่ในห้องด้วยเล่าให้ฟังว่า
ตอนที่ส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเซลล์มะเร็ง
หมอหลายคนถึงกับร้องไห้ เพราะปรากฎว่ามันเป็นมะเร็งตับอ่อน
ชนิดหายากที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด
หลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัด ตอนนี้ผมสบายดีแล้วครับ


นั่นเป็นเหตุการณ์ที่นำให้ผมใกล้ชิดกับความตายมากที่สุดในชีวิต
ผมหวังว่ามันจะไม่มาใกล้กว่านี้แล้วในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
เพราะผมได้ประสบด้วยตัวเอง ผมเลยสามารถเล่าสิ่งต่อไปนี้ให้น้องๆฟัง
ด้วยความมั่นใจกว่าตอนที่ความตายเป็นแค่นามธรรมสำหรับผม


ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ ขนาดคนที่อยากไปสวรรค์
ก็ยังไม่อยากตายก่อนไปถึง ถึงกระนั้นเราทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้น
ไม่มีใครเคยรอดพ้นจากมัน แต่นั่นก็เป็นสัจธรรมที่ควรจะเป็น
เพราะความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา

เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่
ให้กับของใหม่ ตอนนี้น้องๆทุกคนเป็นของใหม่
แต่ในอีกไม่นานนับจากนี้ น้องๆจะกลายเป็นของเก่า
ที่ธรรมชาติต้องกำจัด ขอโทษที่อาจฟังดูเว่อร์นะครับ
แต่มันเป็นความจริง



เวลาของน้องๆมีจำกัด ดังนั้นอย่าทำให้มันเปล่าประโยชน์
ด้วยการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์
นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น
อย่าปล่อยให้เสียงของทัศนคติคนอื่นดังกลบเสียงของหัวใจ
ของเราเอง


และที่สำคัญที่สุดคือ จงมีความกล้าที่จะเดินตามสิ่งที่หัวใจ
และสัญชาตญาณเรียกร้อง
เพราะสองสิ่งนี้รู้อยู่แล้วว่า
น้องๆอยากเป็นอะไรทุกอย่างที่เหลือเป็นเรื่องรองลงมาทั้งนั้น


ตอนผมเป็นเด็กมีหนังสือที่น่าอัศจรรย์มากเล่มหนึ่งชื่อ
แคตตาล็อกของโลก (The Whole Earth Catalog)
ซึ่งนับเป็นคัมภีร์ไบเบิลของคนรุ่นผม
คนคิดแคตตาล็อกนี้ชื่อ สจ๊วต แบรนด์
เป็นคนเมืองเม็นโล ปาร์ค ไม่ไกลจากนี่เลยครับ

เขาทำให้หนังสือนี้มีชีวิตขึ้นมาด้วยอารมณ์กวี
เรากำลังพูดถึงช่วงทศวรรษ 1960 ก่อนยุคคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ
และโปรแกรมเวิร์ด

แปลว่าแคตตาล็อคนี้ผลิตขึ้นจากเครื่องพิมพ์ดีด กรรไกร
และกล้องโพลารอยด์ คล้ายๆกับกูเกิลในรูปกระดาษ 35 ปี
ก่อนกูเกิลเกิด มันเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่
และเต็มเปี่ยมด้วยเครื่องมือและไอเดียดีๆมากมาย


สจวตและทีมของเขาผลิตแคตตาล็อกออกมาได้ไม่กี่เล่ม
ก่อนที่มันจะม้วนเสื่อไป เขาเข็นเล่มสุดท้ายออกมา
ประมาณกลางทศวรร 1970 ตอนนั้นผมมีอายุเท่าน้องๆ ตอนนี้
ปกหลังของเล่มนี้เป็นรูปถนนแถวชนบทยามเช้า

แบบที่น้องๆ นักผจญภัยชอบไปโบกรถกันนั่นแหละครับ
ใต้รูปเขียนว่า

อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ
Stay Hungry. Stay Foolish.


แล้วผมก็ใช้ประโยคนี้เป็นคติประจำใจมาตลอด
และในวันนี้วันที่น้องๆออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปเริ่มชีวิตใหม่



ผมขออวยพรให้น้องๆด้วยประโยคนี้ครับ

"อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ"

ขอบคุณมากครับ







อ่านฉบับเต็มที่จัดอย่างสวยงามได้ที่

เรียน"วิชาสุดท้าย"กับ "สตีฟ จ๊อบส์"
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

//www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1317895875&grpid=no&catid=04&subcatid=




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2554
1 comments
Last Update : 7 ตุลาคม 2554 10:27:40 น.
Counter : 1749 Pageviews.

 

ได้ดูคลิปนี้เหมือนกัน ทึ่งและเสียดายความสามารถของเค้าค่ะ

 

โดย: กรุ๊ปบีราศีสิงห์ 7 ตุลาคม 2554 10:35:37 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


เสียงลมหนาว
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




winter's voice
มุมมองของฤดูหนาวที่ยังคงอยู่
แม้อุณหภูมิจะเปลี่ยนไป

เช่นเดียวกับจิตใจคน
แม้วันเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป
แต่แก่นแท้ในจิตใจจะยังเหมือนเดิม???


นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันเลือกจะอยู่เงียบๆ ตรงนี้
ในบ้านของตัวเอง ไม่ใช่โลกสีฟ้าใบใหญ่อีกต่อไป
หลังจากนี้จะแบ่งปันอะไรคงจะอยู่ในบ้านหลังนี้
ใครอยากจะถามอะไรก็แปะไว้ก็แล้วกันนะ



ป.ล. โปรดทราบทุกอมยิ้มที่แวะเวียนมา
เป็นที่ซาบซึ้งใจยิ่งนัก แม้ไม่ได้เม้นท์ตอบ
แต่ก็แอบอมยิ้มอยู่เงียบๆเสมอ \(^O^)/



ป.ล. 2 ขออภัยที่ไม่เปิดเผยใบหน้า
เพราะอยากให้อ่านกันที่เนื้องาน
มิใช่เปลือกที่อาจจะบังเอิญได้พบเจอ




Update !!!

Group Blog
 
 
ตุลาคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
7 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เสียงลมหนาว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.