เร็วหรือช้า สักวันมันต้องมาถึง
ทุกๆวันเวลาก็ทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ และไม่เคยเปลี่ยน พระอาทิตย์ยังขึ้นทางทิศเดิมเสมอ มีแต่คนที่เฝ้ามองพระอาทิตย์เท่านั้น ที่เปลี่ยนหน้าตาคนมองไปเรื่อยๆ และกาลเวลาก็ยังอยู่คู่กับเราทุกนาที เพียงแต่ที่รอเวลาเท่านั้นที่เวลาไม่เคยรอคนเหล่านั้นเลย บางทีหลายๆคน อาจจะเจ็บปวดเสียใจแล้วรอให้เวลาช่วยรักษาอาการให้ดีขึ้น แต่กลับบางคน เวลาไม่ได้ช่วยรักษาอะไรเลยนอกจากการนับถอยหลังเท่านั้น เพราะเป็นแบบนี้ผมถึงมองว่าผมทำดีที่สุดทุกวันแล้วหรือยัง วันนี้ผมไปบ้าน ลูกค้าที่กำลังทำงานให้เค้าอยู่ เค้าเดินมาหาผมแล้วจับที่บ่าผมเบาๆว่า "Warum gehst du nicht vom Rest deines müde Sie sind dabei, von Zeit zu arbeiten ausführen. แปลว่า คุณดูเหนื่อยๆนะ ทำไมไม่หาเวลาพักบ้างละ คุณกำลังใช้เวลาหมดไปกับการทำงาน" ผมมานั่งคิดดู ก็คงจะจริงนะ แต่ผมเองจะทำยังไงได้ละในเมื่อถ้าไม่มีงาน ชีวิตผมเองคงขาดอะไรไป เพราะตั้งแต่เล็กจนโตผมเองก็รู้จักที่จะทำงาน หาเงินเองเสมอ รบกวนที่บ้านให้น้อยที่สุด บ้านผมไม่ใช่คนร่ำรวยอะไรเลย เพราะงั้นเราต้องทำงานเพื่อหาเงินและรู้จักเก็บออมตั้งแต่เล็กๆ แต่ผลที่ตาม มาของการทำงานคือร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพอ การนอน การทานอาหาร ที่ไม่ถูกวิธี เลยทำให้ผมเองต้องกลายเป็นคนป่วยอยู่แบบนี้ ปี 2543-2550 รวมระยะเวลาก็ประมาณ 8 ปีที่ทำงานอย่างหนัก ในช่วงปี 2543 ผมกลับมาเชียงใหม่อีกครั้ง เพื่อการที่อยากได้เดินผ่านใครบางคนบ้าง ได้เห็นหน้าบางครั้ง ผมตัดสินใจทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง พร้อมทั้งเริ่มต้นงาน ด้านอื่นด้วย ด้วยความที่ผมรู้จัดคนคนข้างเยอะพอสมควรในเชียงใหม่ ผมเองรู้จักกับลูกค้ารายหนึ่งของบริษัทผมเองปรึกษาว่าผมอยากทำงาน เพิ่ม เค้าก็ชวนผมไปทำงานด้วยกัน เป็นผู้ช่วยเค้าที่หนังสือพิมพ์แห่งหนึ่ง ซึ่งมันไม่เกี่ยวอะไรกับสายงานที่ผมเรียนจบมาเลย แต่ด้วยความชอบและ อยากรู้อยากลองของผมถือว่ามันเป็นงานที่ท้าทายพอสมควร ผมทำที่นั่นเริ่มจากผู้ช่วย จนผันตัวมาทำงานข่าวให้เคเบิ้ลทีวีแห่งหนึ่ง และก้าวต่อคือ งานด้านวิทยุที่รุ่นพี่คนหนึ่งที่เรารู้จักกันที่หนังสือพิมพ์ ชัดชวนมา โลกมายากำลังเริ่มมันคือมายาจริงๆผมเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ที่น่ารังเกียจจนผมเองรู้สึกว่าผมมาทำอะไรที่นี้ไม่ใช่ที่ของผมเลย อีกงานคืองานรับเหมาที่ผันตัวเองโดยไม่เอาเวลางานมาเกี่ยวแต่ใช้ วันหยุดของผมและคนที่ไว้ใจได้ด้วยกันดูแล และงานคุณท้ายคือเป็น อาจารย์สอนวิชา เคมี (ในตำแหน่งอาจารย์พิเศษ สอนอาทิตย์ละ 4 คาบต่อ อาทิตย์) 5 งานในระยะเวลา 5 ปี ผมทำแบบนี้ทุกวัน มีเวลานอนวันละ 2-3 ชั่วโมง เอาง่ายๆ เริ่มต้นวันจันทร์ถึงศุกร์ ตื่นนอนตอนดี 4 ครึ่งทุกวัน 4.30-6.00 ทำงานที่เคเบิ้ลทีวี 6.30-7.00 กลับมาบ้านอาบน้ำแต่งตัว 7.00-7.30 ขับรถไปทำงานเพราะที่ทำงานอยู่ลำพูน 8.00 - 11.30 ทำงานที่บริษัท (อาจจะมีไปหาลูกค้าบ้างบางวัน) 11.30 - 12.30 เวลาพักเที่ยง แต่ผมเอาเวลามาจัดรายการวิทยุที่สถานีแห่งหนึ่ง บางวันติดงานต้องกลับมาอัดรายการไว้มีเวลาว่าง 12.30 - 16.30 กลับมาทำงานตามปกติ 16.400- 18.00 ไปดูหน้างานที่เป็นงานรับเหมาของตัวเอง 18.00-20.30 มอบหมายงานให้ทีมและพูดคุยถึงปัญหาเรื่องงาน และทานอาหารไปพร้อมกันเลย แต่ก็ไม่ทุกวันครับ ส่วนใหญ่ผมจะคุยเรื่องงานก็จะต้องไปเตรียมงานอื่นต่อถ้าไม่มีปัญหาอะไรและงานเป็นไปตามที่เรามอบหมาย 20.30 - 21.00 ครึ่งชั่วโมงสำหรับเตรียมหัวข้อข่าว อ่านและคิด 21.00-22.00 งานที่ทำงานมีอะไรค้างและต้องเตรียมเสนอลูกค้าพรุ่งนี้ 22.00-23.00 เตรียมสอนเพื่อฆ่าเวลาออกไปทำงานอีกรอบ (บางทีก็แอบงีบหลับ) 23.30-24.00 อาบน้ำและเดินทางมาสถานทีวิทยุ เพราะมีจัดรอบดึกอีกรอบก่อนปิดสถานี 24.00-02.00 จัดรายการและปิดสถานนีและปิดห้องส่ง เขียนโน๊ตสรุปเพื่อง่ายต่อผู้จัดที่จะต่อตอนตี 5 02.20 - 0.430 อาบน้ำนอน เพื่อเริ่มต้นใหม่พรุ่งนี้ ส่วนวันที่สอนมีสองวัน คือวันพุธ และศุกร์ โดยจะเป็นช่วง 10.15-11.50 ส่วนวันศุกร์จะเป็น 13.15 -14.50 สองเวลานี้ผมเอาเวลางานไปทำ แต่ขออนุญาติและทำหนังสือแจ้งต้นสังกัด เรียบร้อยถูกต้องทุกอย่างครับ ทางบริษัทเห็นว่าเป็นงานที่เหมาะสมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ โบนัสก็ได้น้อยกว่าคนอื่นนิดหน่อยครับ ผมทำงานแบบนี้เพื่อสิ่งเดียวคือ บ้านที่ผมคิดว่าจะต้องซื้อให้ได้ด้วยเงินตัวเอง ตอนอายุ 30 แต่ด้วยการที่ผมทำงานหนัก และเก็บมาเรื่อยๆ ผมสามารถซื้อบ้านได้ตอนอายุ 28 เองครับ ก่อนที่คิดไว้ 2 ปี ด้วยเงินสดที่ชนิดว่าปิดบัญชีเทกันเลย ผมเห็นโฆษณา บ้านที่เจ้าของบ้านเข้าไปอยู่แต่ตัวเองไม่เหลืออะไรเลย ผมหัวเราะทุกที เพราะผมเองก็คล้ายๆแบบนั้น วันที่ยืนอยู่กลางบ้านด้วย ความภูมิใจ ในบ้านโล่งไม่มีอะไรเลยเพราะผมไม่เหลือเงินเลย แถมด้วยห้องนอนที่มีแค่เตียง กับหมอนและผ้าห่ม ผมค่อยเก็บเงินหาซื้อ ทุกอย่างเข้ามาในบ้านในเวลา 1 ปี ก็ครบทุกอย่าง เหมือนจะดีนะครับแต่ สิ่งที่ตามมาไม่ใช่เลย ผมเสียสุขภาพไปและไม่คิดถึงเลยว่าการทำงานหนัก แบบนั้นจะทำให้ผมเองต้องมาป่วยแบบนี้ จริงๆที่เขียนก็ไม่ได้เพื่อยกหางตัว เองหรืออวดอ้างอะไรนะครับ แต่อยากให้ดูให้เห็นให้คิดว่า เป็นตัวอย่างที่แย่มากกว่า เพราะสิ่งที่ได้มาไม่คุ้มกันสักนิด เพราะสิ่งที่ได้มาก็ต้องเสียไปเพราะคุณต้องใช้ในการรักษาตัว มันคุ้มกันมั้ยครับ คนที่เรารักและคอยแอบดูเค้าอยู่ห่างๆเสมอ ก็นับถอยหลังที่เราจะต้องจากกันอีกครั้ง และเธอเองก็ต้องอยู่กับความสุขและกังวลเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันว่า จะเป็นอย่างไรบ้างจะปวดหัวรึเปล่า จะวูบอีกมั้ย สารพัด ผมคิดแล้วเสียใจ แต่ก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็พยายามทำทุกวันให้ดีที่สุดแหละครับ P.s ขอบคุณนะครับคุณหนิงที่อดทนกับคนอย่างผม ผมสัญญาว่าผมจะอยู่ข้างคุณหนิงและจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้นะครับ จะไม่ทำตัวให้เป็นห่วงแบบนี้อีก สิ่งที่เราสองคนเจอ ผมรู้ว่าเราต้องอดทนและต้องรอเวลาให้ทุกคนยอมรับซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก แต่ผมก็อยากให้เราทั้งคู่อดทนและผ่านไปด้วยกันนะครับ คุณหนิงดูผมสิผมเองยังสู้เลยเพื่อให้มีวันนั้นที่เป็นวันของเราครับ P.s 2 ขอบคุณกำลังใจจากเพื่อนๆทุกคนครับ ขอบคุณที่ยังแวะเวียนเข้ามาทักทายกัน
Create Date : 03 ธันวาคม 2553
9 comments
Last Update : 3 ธันวาคม 2553 8:13:53 น.
Counter : 808 Pageviews.
ขวัญก็คงคล้ายๆนายช่างนะคะที่เพิ่งมารู้ตัวว่า
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐที่สุดแล้ว
แต่เมื่อเป็นแล้วก็สู้ๆกับมันนะคะ
แวะมาพร้อมกำลังใจเหมือนเดิมค่ะ