กันยายน 2551
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
23 กันยายน 2551
 
 

Big Fish~จินตนาการเหนือความรู้สึก~บทความหลังเลิกเรียนค่ะ

เมื่อไม่นานมานี้ ชมได้ทีโอกาสดูหนังเรื่อง bigfish ค่ะ


    บอกตามตรงว่า แม้หนังจะออกมานานมากแล้ว แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสดูซักที จนได้ฤกษ์ อาจารณ์เอามาให้ดูค่ะ พร้อมๆกับงานที่ต้องทำส่งค่ะ  บอกตามตรงว่า ครั้งแรกที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ความรู้สึกต่างๆมันพวยพุ่งออกมาจากไหนไม่รุ ><~ พาลคิดไปความรู้สึกเก่าๆ ความทรงจำเก่าๆที่เราลืมหรือสิ่งที่เคยไปในอดีตค่ะ ตอนนี้เห็นว่าส่งแล้ว เลยเอาบทความที่เราทำส่งมาให้ดูค่ะ แบ่งตามหัวข้อตามนี้แหละ แหะๆ


      Big Fish หรือก็คือ บ้านเล็กในป่าใหญ่ เป็นหนังของทิมเบอร์ตัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับจินตนาการพูดถึงจินตนาการอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยแต่งเติมชีวิตให้มีสีสันและพลังในการเดินหน้า แม้ว่าเหตุการความเป็นจริงจะปวดร้าว เลวร้ายเพียงใด แต่จินตนาการก็ช่วยสามารถส่งเสริมให้เราสสามารถยืนหยัดอยู่ได้และก้าวเดินไปข้างหน้า


ความประทับใจ

    ครั้งแรกที่ดูหนังเรื่องนี้ สิ่งหนึ่งที่คิดถึงเป็นสิ่งแรกคือ หนังสือเรื่องเด็กชายหอยนางรม เป็นหนังสือเล่มแรกที่ทำให้รู้จักถึงชื่อของ ทิมเบอร์ตัน เจ้าแห่งความคิดที่แปลกประหลาด และน่าอัศจรรย์


จากเรื่อง Big Fish ด้วย เสน่ห์ของตัวละครที่ชื่อ เอ๊ดเวิร์ด บลูมคือ กระบวนการคิดที่แปลกและไม่เหมือนใครในเชิงบวก แทบจะกล่าวได้ว่า เป็นตัวละครที่ถูกบรรจุไปด้วยทัศนะเชิงบวกอยู่ในตัวมากที่สุด ในขณะที่ นิยายเรื่องเด็กชายหอยนางรม หนึ่งในผลงานเผู้แต่งเอง ที่เรียกได้ว่าเป็นวรรณกรรมหม่นมืด ซ้ำยังเป็นวรรณกรรมเด็กที่ไม่ควรให้เด็กอ่านเสียมาก


สำหรับความประทับใจในเองของ bigfish นั้นเป็นความประทับใจที่สะท้อนอยู่ในความรู้สึก สิ่งนั้นมันแฝงอยู่ในทุกฉากทุกตอนในเรื่อง ราวกับเราถูกดึงเข้าไปอยู่ในโลกของตัวละครซึ่งรู้อยู่ในทีว่าเป็นจินตนาการ แต่ก็อดรู้สึกรู้สาในการดำเนินเรื่องราวไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบว่า ตนนั้นเป็นปลาที่ว่ายในอ่าง หรือเปรียบความตื่นเต้นท้าทายเมื่อครั้ง พบเจ้าปลาตัวนั้นอันแฝงความหมายของรักแรก และความตื่นเต้น ตรึงใจในความคิดคำนึง ผู้แต่งใช้ตัวละครดึงดูด และชักจูงเราจากโลกแห่งความจริง จมดิ่งลงไปสู่โลกแห่งความฝัน โดยใช้ตัวเอ็ดเวิร์ดเป็นตัวแทนของจินตนาการ ในขณะที่ใช้ตัวลูกชายเป็นตัวแทนของความเป็นจริงในโลก ในเรื่อง ตัวลูกนั้นเชื่อว่าคำบอกเล่าของพ่อนั้นคือจินตนาการ แต่กระนั้นก็ยังคงติดตามค้นหา เรื่องราวในอดีตของคำบอกเล่า จนกระทั่งล่วงรู้ถึงความจริงที่ว่า จินตนากรมิไช่เพียงความฝัน แต่มันคือความจริงในโลกใบใหญ่ที่แฝงอยู่ในความเป็นจริงในโลกแคบๆ เพียงแต่เราเลือกที่จะเชื่อและใช้แต่งเติมความเป็นจริงงให้มีสีสัน เป็นประสบการณ์อันสวยงามนิจนิรันดร์ตลอดช่วงชีวิต


 


"การรู้สึกรู้สา"


แทบจะทุกบทบาทที่แสดงออกมาสามารถกระทบต่อความรู้สึกรู้สาที่เกิดขึ้น ก่อให้เกิดการหวนนึกถึงอดีตหรือในช่วงเวลาที่เป็นเด็ก หวนนึกถึงช่วงเวลาในวัยเยาว์ที่ยงงมีความฝันและความหวังในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น


เรื่องราวของคนยักษ์


คำกล่าวของ ที่ว่า "เมืองนี้เล็กไปสำหรับคนตัวโตอย่างนาย และเล็กไปสำหรับความฝันอันยิ่งใหญ่ของฉัน"


เมื่อครั้งเยาว์วัยเรามีความฝันอันยิ่งใหญ่ และดูจะคับแคบไปสำหรับสภาวะแวดล้อมและความเป็นจริง เรามีความคิด มีแรงผลักดันด้วยความฝันว่า อยากจะเป็น อยากจะมี ความคิดมากมายได้เกิดและก่อตัวขึ้น ก่อให้เกิดพลังผลักดันไปสู่ความฝันโดยมีเพียงความมุ่งมั่น และการกระทำ ในขณะที่ความเป็นจริงนั้นสภาวะแวดล้อมไม่อาจจะเอื้ออำนวยแก่เราได้ แต่เราก็ยังทำและมีความสุขในสิ่งที่ทำราวกับอยู่ในโลกแห่งความฝัน เมื่อครั้นเราเติบโตขึ้น เราก็ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่ไม่อาจเลี่ยงได้ อาจมีหลายอย่างที่ไม่สามารถทำได้ และหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อความเป็นจริงว่านั่นคือสิ่งที่ควรทำและเริ่มจะลืมเลือนความคิด ความอ่าน ความฝันครั้งวัยเยาว์ไปเสียสิ้น เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง เราก็พบว่า เราลืมอะไรบางอย่างไปแล้วที่คอยผลักดันและกระตุ้นให้ชีวิตมีสีสัน ลืมความตื่นเต้นในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่เคยมี และลืมแม้กระทั่งสิ่งไรควรทำ และสิ่งใดไม่ควรทำ


บางหลอน


เรื่องราวของเมืองแสดงถึงการละทิ้งสิ่งลวงตาเพียงชั่วครู่เพื่อตามหาความจริงหรือสิ่งที่ตั้งใจไว้


ละครสัตว์


กับคำกล่าวที่ว่า "คนดังหลังเขาพอมาถึงเมืองใหญ่ก็ไร้น้ำยา ไม่มีแผน ไม่มีงาน มีแต่เสือ้ผ้าที่สวมใส่" มันทำให้เราได้นึกย้อถึงตนเองที่ไม่มีอะไร ไม่ใช่คนดีเด่ มีเพียวห้วงความคิด มุ่งมั่ง แต่ไร้ซึ่งความมั่นคง ไม่มีการวางแผน


"Facts and Fictions"


facets คือความจริง ในขณะที่ fiction คือความฝัน คือเรื่องราวของความปรารถนาที่ถูกถักทอออกมาจากความนึกคิดและจิตใต้สำนึก คงไม่อาจจะมีใครมีชีวิตอยู่ได้ในความฝันตลอดไป ในขณะที่ชีวิตคงจะขาสีสันหากอยู่แต่ในชีวิตจริงโดยไร้ความฝัน บางครั้ง บางเรื่อง เราก็ต้องอาศัยจินตนาการเพื่อเป็นแรงผลักดันในชีววิต หากโลกนี้มีเพียงขาวและดำ คงจะแลดูน่าเบื่อและไร้ซึ่งชีวิตและสิ่งแปลกใหม่ แม้แต่ในยามหลับเราก็ยังใช้จินตนาการและความฝันเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากชีวิตจริง นักจิตวิทยาท่านหนึ่งบอกว่า การฝัน คือการผ่อนครายความเครียดอันเป็นไปโดยธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อลดสภาพความตรึงเครียดของจิตใจ เคยมีหลายครั้งที่เครียดกับการทำงานและเก็บสิ่งที่กังวลไปฝัน และในฝันสิ่งเหล่านั้นมักจะผ่านไปได้ด้วยดี ทำให้สภาพจิตใจหลังตื่นขึ้นมาผ่อนคลายมากขึ้น และ มีแรงจูงใจในการทำงานนั้นๆได้มากขึ้น ทำนองเดียวกันกับการใช้จินตนาการ เพียงแต่เราเปลี่ยนพลังจินตนาการจากความฝันให้กลายเป็นความจริง







Free TextEditor




 

Create Date : 23 กันยายน 2551
0 comments
Last Update : 23 กันยายน 2551 16:38:54 น.
Counter : 1064 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 

windypooh
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add windypooh's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com