LOVE LETTER : The other story of PSYCHO friends





++ + + + + + + +
ฉบับที่ 1 (เกริ่นนำ)
11 ก.พ. 54
+ + + + + + + + +

สวัสดีค่ะคุณแพรวดาว

ตอนนี้อากาศที่ซิดนีย์เป็นอย่างไรบ้างคะ
คิดว่าคงไม่หนักหนาเท่าควีนส์แลนด์

เห็นว่าปัญหาน้ำท่วมก็ยังไม่บรรเทา
(อย่าว่าแต่เขา บ้านเราก็คาราคาซังไม่แพ้กัน)
กลางเดือนมกราที่ผ่านมา เราเพิ่งคุยกับน้องคนหนึ่งว่า
ตอนนี้ความเดือดร้อนเหมือนจะกระจายไปทั่วโลก
ไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เว้นแม้แต่ในศาสนจักร

นึกๆไปแล้วน่าเป็นห่วงอาการของหลวงตา
ล่าสุด(ตอนนั้น)ท่านก็เข้าๆออกๆโรงพยาบาลอีก

หากหลวงตาสิ้นไปอีกองค์ คนที่เคยมีหลักของใจเป็นองค์ท่าน
คงต้องซวนเซกันหนักอีกหน...


แล้วข่าวร้ายก็มาจนได้ ใกล้รุ่งของวันที่ 30 มกราคม 2554
หลวงตาละสังขารอย่างสงบ

หลังจากอาพาธด้วยอาการลำไส้อุดตันและปอดติดเชื้อมานานกว่า 6 เดือน
สิริอายุ
98 ปี หรือ 77 พรรษา นับจากหลวงตาบวชเมื่อปี 2477)
ตัวเลขพวกนี้สำคัญ

เพราะชาวบ้านต่างพากันนำไปเก็งหวย แล้วสลากกินแบ่งรัฐบาลเย็นวันต่อมา
(1 กุมภาพันธ์ 2554) เลขท้ายสามตัวที่ออก ก็ออก 089
มีลงข่าวหนังสือพิมพ์หน้า 1 เลยทีเดียวค่ะ ว่าหลวงตาให้โชค
คนถูกหวยกันเต็มไปหมด

นี่แหละหนาเมืองไทย... (หรือต้องให้รำพึงใหม่ ว่านี่หรือ...เมืองพุทธ ^^)

เล่าให้ฟังเป็นเรื่องตลกร้ายนะคะ

ในความคิดของเรา สมบัติล้ำค่าที่หลวงตาทิ้งไว้ให้
ไม่ใช่เลข ไม่ใช่หวย ไม่ใช่โชค ไม่ใช่ดวง ถามเด็กมัธยม
เราเชื่อว่าเด็กมัธยมตอบได้ ว่าด้วยบารมีของหลวงตามหาบัว
ทำให้คลังหลวงของไทยมีทองคำกว่า 1.2 หมื่นกิโลกรัม
พยานที่ยืนยันได้หนักแน่นกว่านั้น คือหม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ประกาศในพิธีมอบทองคำฯ
ครั้งที่ 10 เข้าคลังหลวง ใจความนั้นมีว่า

"พ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ
ในวันนี้ผมขอถือโอกาสที่จะเรียนให้ทราบว่า

ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2546 เป็นต้นมา
ประเทศไทยเราได้เป็นอิสระ ประกาศความเป็นไท

จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
หรือที่เรารู้จักกันในนาม
IMF ได้อย่างเต็มภาคภูมิฯ...

กระผมเชื่อเป็นแม่นมั่นว่า ทองคำแท่งและเงินดอลล่าร์สหรัฐ
ที่ได้รับจากโครงการช่วยชาติโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
อันที่เป็นที่รวมของศรัทธามหาชนทั่วประเทศ

เมื่อได้นำเข้าไปรวมไว้ในคลังหลวง ย่อมจะเป็นสิริมงคลต่อคลังหลวง
มีผลให้เงินไหลเข้ากองเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นโดยไม่ขาดสาย
เป็นระยะเวลาติดต่อกันตลอดสองปีหรือ 24 เดือนที่ผ่านมา
จนในที่สุดเราจึงมีเงินมากพอที่จะใช้หนี้ IMF ได้ก่อนกำหนด"

ฟังแล้วคึกคักดีไหมคะ ^___^ นึกถึงเมื่อสมัย 7-8 ปีก่อน
เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮามาก ไม่รู้ว่าเด็กรุ่นหลังๆ จะทันได้ฟังตำนานบทนี้กันบ้างไหม...

แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังมีความคิดเป็นกระต่ายขาเดียวอยู่ว่า
ที่กล่าวมาก็ยังไม่ใช่สมบัติที่คนเป็นลูกศิษย์ของหลวงตาพึงรับ
(อย่างน้อยก็ทองที่อยู่ในคลังหลวง นั่นคือสมบัติที่หลวงตามอบให้กับประเทศชาติ
ก็ควรจะให้อยู่กับประเทศชาติไปชั่วลูกชั่วหลาน)

แต่สมบัติที่จริงแท้ คือคำสอนและปฏิปทาของหลวงตามหาบัวต่างหาก
ที่เป็น "สมบัติของใจ" อันล้ำค่า ไม่มีขอบเขต ไม่มีเครื่องกั้น
ธรรมะของหลวงตาสง่างามและอาจหาญ ซื่อตรง หมดจด และบริบูรณ์
ธรรมะที่กล่าวมานี้ ช่วยหล่อหลอมทั้งพระและฆราวาส
ให้เข้มแข็ง ประกอบด้วยความเพียรและปัญญาไปสู่ความหลุดพ้น
ตามขั้นตามภูมิของตน บนแนวทางของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สมบัติใดจะดีไปกว่านี้อีกเล่า :)

เมื่อเรายื่นใบลาพักผ่อน มีคนถามว่าเราจะไปไหน
เราตอบซื่อๆง่ายๆ ว่าไปกราบสรีระหลวงตามหาบัว
หลายคนพยักหน้า บางคนคิดในใจว่า ถ้าไปแล้วได้หวยก็คงจะดี
บางคนคิดว่า เราทำตามแฟชั่น เขาแห่แหนกันไปเราก็ไป ^^
แต่ใครจะคิดอย่างไรก็ช่างเถิด เราได้ไปกราบพระผู้ประเสริฐ
ผู้มอบสมบัติล้ำค่าให้ชาติ ให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
และที่จริงกราบหลวงตา กราบที่ไหนก็กราบได้
เพราะธรรมะของหลวงตาอยู่ในทุกที่ แต่ที่เราเดินทางคราวนี้
เพราะอยากไปกราบสรีระของหลวงตาจริงๆประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งคือได้แวะวัดสำคัญๆอีก 2 จุดระหว่างทาง
ที่กำลังจะเล่าให้คุณฟังนี่อย่างไรเล่า

เอารูปรถคันที่นั่งไปมาอวดก่อนค่ะ =^_____^=
(แต่งด้วย PhotoScape มาเรียบร้อย) 




+ + + + + + + + + + + + +
ฉบับที่ 2 (แวะริมทาง-ไปวัด)
12 ก.พ. 54
+ + + + + + + + + + + + +

วันนี้เราออกเดินทางกันตั้งแต่ตีห้าครึ่งค่ะ นัดรวมพลกันที่กทม.
เราเลยต้องรวบรวมเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ไปนอนกับน้องสาวทางธรรมที่อนุสาวรีย์
(งานนี้เป็นน้องอุปการะพี่ ^^ นอนด้วยกัน นั่งในรถตู้ด้วยกัน
ง้องแง้งกันไปทั้งทริป)

โปรแกรมวันนี้ เราให้คนขับขับอ้อมไปมหาสารคามเพื่อจะเข้าสกลนครกันก่อนค่ะ
เลยได้แวะร้านอาหารอร่อยขึ้นชื่อของมหาสารคามเขา
ร้านนี้มีชื่อว่าร้าน "แจ่วฮ้อน ท่าขอนยาง" ค่ะ มีรูปบรรยากาศร้านมาฝากเป็นรูปเล็กๆ :)

heal114-2



ส่วนทางนี้เป็นรูปใหญ่ขึ้นนะคะ เป็นรูปที่เก็บมาได้มากกว่าอาหาร
(ลืมบอกไปว่าตากล้องส่วนใหญ่ไม่ใช่เราค่ะ โดยเฉพาะรูปสวยๆ
ให้อนุมานได้เลยว่าเป็นฝีมือพี่ท่านหนึ่งที่ร่วมทริปไปด้วยกัน แต่ท่านไม่อยากให้เปิดเผยชื่อค่ะ)
นั่นคือรูปดอกไม้ทั้งหลายที่ทางร้านปลูกไว้นะคะ สวยงามมากๆ ชมกันเพลินเลยทีเดียว :)


กลับมาที่เนื้อหาสาระบ้างนะคะ จุดมุ่งหมายจริงๆเราอยู่ที่นี่ค่ะ :)
วัดดอยธรรมเจดีย์ที่หลวงตาเคยกล่าวถึง...

(คัดลอกจากหนังสือ "ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่าชาติสุดท้าย"
เป็นหนังสือที่ศิษยานุศิษย์ร่วมกันจัดทำ
เห็นว่ามีแจกในงานประทายข้าวเปลือกฯ
เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 54 ค่ะ)

"อันนี้ก็ 9 ปี ไม่ใช่เล่นๆ นะ ออกปฏิบัติ 16 พรรษา นั่นละฟ้าดินถล่ม 16 พรรษา
วันที่ 15 พฤษภา 2493 เราไม่ลืม นั่นละปีฟ้าดินถล่ม กิเลสขาดสะบั้นลงจากใจ
ใจนี้สว่างจ้าเลย นั่นเป็นเวลา 9 ปีปฏิบัติ คือจริงจังมาก ถ้าลงได้หมุนใส่อะไรแล้วต้องเอาให้จริง
เอาให้ได้อย่างใจ นี่ก็จะเอานิพพานให้ได้อย่างใจ ฟาดเสีย 9 ปี
ฟ้าดินถล่มในวันที่ 15 พฤษภา 2493 หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา 5 ทุ่มพอดี
นั่นละฟ้าถล่ม คว่ำวัฏจักรได้ในคืนวันนั้น จิตนี้สว่างจ้าเลยเทียวฯ"

"เพราะฉะนั้นวัดนี้เราจึงลืมไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมาจิตก็สว่างจ้า
บอกให้ตรงไปตรงมาเลย
คือหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์นี้เอง
เป็นที่สงบสงัด บิณฑบาตก็ไปบ้านนาสีนวล
เดินบิณฑบาตลงไปนี้ดูเหมือนชั่วโมงกับ 25 นาทีหรือไงผมก็ลืมๆ
คือเดินลงไปนี่ทั้งไปทั้งกลับดูเหมือนชั่วโมง 25 นาที
ถ้าจำไม่ลืม ไกลอยู่นะ
จากนี้ไปวัดนาสีนวล ดูเหมือน 3 กิโล เดินตัดเขาลงไป

นี่ละที่ว่าวัดนี่เป็นที่ระลึกไม่ลืมก็คือวัดดอยธรรมเจดีย์ บนหลังเขาวัดดอย
กระต๊อบเล็กๆ เรามาทีไรเราต้องขึ้นไปที่นั่น
เดี๋ยวนี้กระต๊อบนั้นดูเหมือนจะรื้อไปแล้วมั้ง
เล็กๆอยู่ที่หน้าพระยืน พระอยู่ข้างบน
กระต๊อบเล็กๆหันหน้ามาทางพระ เรามาอยู่ที่นั่น
นั่นก็เวลา 5 ทุ่มพอดี กิเลสขาดสะบั้นลงไปเป็นเวลา 5 ทุ่ม
วันที่ 15 พฤษภาคม 2493
เพราะฉะนั้นจึงเป็นวัดที่ลืมไม่ได้เลย
การบำเพ็ญนี้สะดวกมาก ทั้งคืนทั้งวันสงัดเงียบเลย
ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาจริงๆ มาอยู่ที่นี่ฯ"

ไปเห็นของจริงๆ บรรยากาศแบบนี้...
ก็น่ามาภาวนาสักครั้งนะคะ =^_____^=



+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
ฉบับที่ 3 (ไข่กระทะ-ภูสังโฆ-วัดป่าบ้านตาด)
13 ก.พ. 54
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + +

สวัสดีค่ะคุณแพรวดาว

วันนี้พวกเราตื่นแต่เช้าเพื่อจะรับรู้ว่า มีฝนตกหนักมากอยู่ด้านนอก
(เราพักโรงแรมกันค่ะ ชื่อโรงแรมอติกานต์ ห้องใหญ่ เตียงกว้าง
ในราคาสบายกระเป๋า ยิ่งเข้าไปเพื่ออาบน้ำและนอนอย่างเดียวยิ่งคุ้ม ^^)

ฝนที่ตกลงมาช่วยลดอุณหภูมิในแถบนี้ลงได้ในชั่วข้ามคืน
อากาศเย็นฉ่ำยิ่งทำให้คณะเดินทางพากันลัลลาอย่างออกนอกหน้า
เช้าวันนี้ เราไปทานไข่กระทะกันมาค่ะ :)
(จำชื่อร้านไ่ม่ได้ แต่จำได้ว่าขับจากโรงแรม
เลียบไปตามถนนใหญ่ ไม่กี่กิโลก็เจอนะคะ)

หน้าตาอาหารเช้าของพวกเรา เป็นแบบนี้ค่ะ =^____^=



อิ่มแล้วก็เดินทางกันต่อเลยนะคะ... :) 

นกหนาว

ถัดจากมื้อเช้า หัวหน้าทีมนำเราไปทางอำเภอหนองวัวซอกันก่อนค่ะ
อยู่ไม่ไกลจากวัดป่าบ้านตาด ที่นั่นมีวัดป่าบนเนื้อที่กว่า 7,500 ไร่
พระลูกวัดและคนที่ไปปฏิบัติในที่นั้นเน้นหนักเรื่องการปฏิบัติภาวนา
วัดนี้มีชื่อว่า วัดป่าภูสังโฆ อยู่ใน ต.กุดหมากไฟ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
พระอาจารย์ที่พวกเราตั้งใจไปกราบคือพระอาจารย์วันชัย วิจิตโต ค่ะ
ฟังแล้วคุณแพรวดาวอาจไม่คุ้นชื่อท่าน แต่ในแวดวงกรรมฐาน
มีจารึกคำกล่าวของหลวงตามหาบัวกล่าวไว้อย่างนี้ค่ะ :)

"ต่อไปนี้ท่านวันชัยละจะเป็นกำลังของศาสนาองค์หนึ่ง
เราพูดชี้นิ้วไม่มีสอง ถ้าลงได้พูดแล้วนะ"
(หลวงตาเทศน์เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 42 เรื่อง กำลังสำคัญของศาสนา)

นอกจากนี้ หลวงตายังได้กล่าวถึงวัดภูสังโฆและพระอาจารย์วันชัยเอาไว้ว่า

"วัดภูสังโฆก็ดี วัดผาแดงก็ดี นี่เป็นวัดทองคำ เพชรน้ำหนึ่ง ทั้งสองวัดนะ
เป็นแต่เพียงนิสัยวาสนาที่มาใช้ในแดนสมมตินี้ต่างกันเท่านั้น 
ส่วนวิมุตตินั้นเหมือนกัน ลูกศิษย์ของเราทั้งสองเลยนะ..."

(หลวงตากล่าวถึงหลวงปู่ลี กุสลธโร และพระอาจารย์วันชัย)

"ท่านวันชัยนี้ก็มาอยู่กับเราหลายปี เวลาท่านอยู่ที่มูลนิธิหลวงปู่มั่นที่ฝั่งธนฯ
พอดีเราไปนวดเส้นก็ไปเจอท่านวันชัยที่นั่น ถามเหตุถามผล 
จะไปไหนมาไหนหลักเกณฑ์ไม่ค่อยมี เราก็ไม่เคยได้บอกให้ใครมาอยู่กับเรา
นี่ได้บอกเลย พอได้ความว่าหลักลอยว่างั้นเถอะนะ จะไปไหนมาไหน
พูดยากๆ ตอบยากๆ ลำบากการตอบนี่แสดงให้เห็นว่าหลักลอย 
เราก็บอกว่า ถ้างั้นให้ไปอยู่วัดป่าบ้านตาดกับผมที่วัด
พอเรามาท่านก็ตามมา มาอยู่ท่านี่แล้วเข้าๆ ออกๆ จากนี้ก็ไปตั้งที่วัดนั้น
เราก็ให้ไปอยู่ที่วัดภูสังโฆเรื่อยมา สักเท่าไรปีแล้ว มาอยู่กับเรา
ตั้งแต่ปี 2523 มันก็ 23 ปี แล้วตั้งแต่เกี่ยวข้องกันมาใกล้ชิดติดพันกันจริงๆ 23 ปี

นี่เราก็สอนมาตั้งแต่ต้นเหมือนกับท่านลี ต่อปากต่อคำเราเอง 

เราเป็นคนสอนเอง เล่าเรื่องอะไรมาให้เราฟังเองๆ 
เพราะฉะนั้นเราถึงพูดได้เต็มปาก นี่เราฟังแล้วว่า 
ทั้งสองนี้เป็นเพชรน้ำหนึ่งด้วยกัน ต่างกันแต่นิสัยวาสนา
ที่ใช้ในแดนสมมุติเท่านั้น ส่วนวิมุตตินั้นเหมือนกันหมด
กรุณาทราบเอาไว้"
(คัดลอกจากหนังสือ "ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่าชาติสุดท้าย")

+ + + + + +


แต่น่าเสียดาย... วันที่เราไปกันนั้น พระอาจารย์วันชัยกำลังเดินทางไปเมืองจีน
เพื่อรักษาอาการอาพาธกับแพทย์แผนจีน (ชื่อหมอเฉินค่ะ คุณหมอท่านนี้
มีอะไรน่าอัศจรรย์ใจหลายอย่าง แต่คงเก็บไว้เล่าให้คุณแพรวดาวฟังวันหลัง)
และพื้นที่สำหรับการปฏิบัติภาวนากว่า 7,500 ไร่ เราก็ไม่ได้ไปเดินดูกันค่ะ
แม้แต่ภาพบนศาลา พระท่านก็ไม่ให้เก็บมา และยังกำชับว่า
ขอสงวนให้สถานที่นี้เป็นสถานที่ปฏิบัติภาวนา หากจะมาเพื่อปฏิบัติภาวนา
ก็เชิญมาและเข้ามาสำรวจด้วยตนเอง นี้เป็นแนวทางที่พระอาจารย์วันชัยให้ไว้


ดังนั้น ภูสังโฆจึงไม่มีรูปนะคะ ^__^ มีแต่เรื่องเล่า
ให้คนที่สนใจจริงๆเข้าไปค้นหากันเองค่ะ :)


และก็มาถึงที่หมายสุดท้าย และเป็นที่หมายหลักของการมาในครั้งนี้


วัดป่าบ้านตาด ค่ะ :)


ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักประวัติของวัดกันสักเล็กน้อยนะคะ
(ขอบคุณที่มา เว็บ luangta.com อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่ค่ะ
//www.luangta.com/resume/wat_history.php)

วัดป่าบ้านตาด เริ่มก่อตั้งเมื่อปี เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2498
ต่อมากระทรวงศึกษาธิการ ประกาศตั้งขึ้นเป็นวัดในพระพุทธศาสนา
เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2513 ให้ชื่อว่า วัดเกษรศีลคุณ
ซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในนาม วัดป่าบ้านตาด
ตั้งอยู่ ณ หมู่บ้านบ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีไปทางทิศใต้ ประมาณ 16 กิโลเมตร
ปัจจุบันมีพื้นที่รวมประมาณ 300 ไร่ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมอันสงบเรียบง่าย
ร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่นานาพันธุ์ เป็นสถานที่พึ่งพิงของสัตว์น้อยใหญ่
ในเขตอภัยทานหลากชนิด อาทิ ไก่ป่า กระรอก กระแต กระต่าย เต่า แย้ นกฯลฯ
ซึ่งที่เราไปกันคราวนี้ เจอแต่ไก่ป่ากับกระจงค่ะ ได้เก็บรูปมาฝากด้วยนะคะ :)
แต่เขาขี้ตกใจกันทั้งนั้นเลยค่ะ เห็นกล้องปุ๊บ เผ่นหนีปั๊บ ^___^"



ส่วนข้างล่างนี้ เป็นบรรยากาศโดยรอบ
ดูชุลมุนตั้งแต่ทางเข้าวัดเลยค่ะ :)
(วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ถ้าไปวันธรรมดาคนอาจจะน้อยกว่านี้ได้บ้างนะคะ)
ทหารถึงกับต้องมาแจกยาดม และคนที่มารับยาดมก็ไม่ใช่ผู้เฒ่าผู้แก่
ลูกเด็กเล็กแดงก็เดินวนจนเวียนหัว มาขอยาดมกันเลยทีเดียว ^___^






บรรยากาศด้านในค่ะ :)
มากราบสรีระหลวงตา ผ่านหน้านี้ก็ได้นะคะ ^___^
(กราบ) (กราบ) (กราบ)






ภาพชุดสุดท้ายแล้วค่ะ :)
กุฏิที่หลวงตาละสังขาร..





จดหมาย 3 ฉบับก็ขอจบเพียงเท่านี้
พร้อมกับความระลึกถึงและน้อมนำบุญกุศลทั้งหมดที่บังเกิดมี
มาฝากให้คุณแพรวดาว(และคนแอบอ่านทุกท่าน)
โดยทั่วถึงและเท่าเทียมกันนะคะ =^_____^=


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


หมายเหตุส่งท้าย

เผื่อเป็นประโยชน์กับผู้ต้องการทราบข้อมูล
กำหนดการต่างๆ ทั้งพิธีบำเพ็ญกุศลและกำหนดการพระราชทานเพลิง
(ปัจจุบันแน่ชัดที่วันที่ 5 มีนาคม 2554 นะคะ)
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ //www.luangta.com นะคะ
ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ









Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2554 16:20:01 น. 1 comments
Counter : 762 Pageviews.

 
แวะมาเยี่ยมนะคะ คุณรุริกะ


โดย: teansri วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:20:59:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
19 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.