++ + + + + + + + ฉบับที่ 1 (เกริ่นนำ) 11 ก.พ. 54 + + + + + + + + +
สวัสดีค่ะคุณแพรวดาว
ตอนนี้อากาศที่ซิดนีย์เป็นอย่างไรบ้างคะ คิดว่าคงไม่หนักหนาเท่าควีนส์แลนด์ เห็นว่าปัญหาน้ำท่วมก็ยังไม่บรรเทา (อย่าว่าแต่เขา บ้านเราก็คาราคาซังไม่แพ้กัน) กลางเดือนมกราที่ผ่านมา เราเพิ่งคุยกับน้องคนหนึ่งว่า ตอนนี้ความเดือดร้อนเหมือนจะกระจายไปทั่วโลก ไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เว้นแม้แต่ในศาสนจักร นึกๆไปแล้วน่าเป็นห่วงอาการของหลวงตา ล่าสุด(ตอนนั้น)ท่านก็เข้าๆออกๆโรงพยาบาลอีก หากหลวงตาสิ้นไปอีกองค์ คนที่เคยมีหลักของใจเป็นองค์ท่าน คงต้องซวนเซกันหนักอีกหน...
แล้วข่าวร้ายก็มาจนได้ ใกล้รุ่งของวันที่ 30 มกราคม 2554 หลวงตาละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธด้วยอาการลำไส้อุดตันและปอดติดเชื้อมานานกว่า 6 เดือน สิริอายุ 98 ปี หรือ 77 พรรษา นับจากหลวงตาบวชเมื่อปี 2477) ตัวเลขพวกนี้สำคัญ เพราะชาวบ้านต่างพากันนำไปเก็งหวย แล้วสลากกินแบ่งรัฐบาลเย็นวันต่อมา (1 กุมภาพันธ์ 2554) เลขท้ายสามตัวที่ออก ก็ออก 089 มีลงข่าวหนังสือพิมพ์หน้า 1 เลยทีเดียวค่ะ ว่าหลวงตาให้โชค คนถูกหวยกันเต็มไปหมด นี่แหละหนาเมืองไทย... (หรือต้องให้รำพึงใหม่ ว่านี่หรือ...เมืองพุทธ ^^)
เล่าให้ฟังเป็นเรื่องตลกร้ายนะคะ
ในความคิดของเรา สมบัติล้ำค่าที่หลวงตาทิ้งไว้ให้ ไม่ใช่เลข ไม่ใช่หวย ไม่ใช่โชค ไม่ใช่ดวง ถามเด็กมัธยม เราเชื่อว่าเด็กมัธยมตอบได้ ว่าด้วยบารมีของหลวงตามหาบัว ทำให้คลังหลวงของไทยมีทองคำกว่า 1.2 หมื่นกิโลกรัม พยานที่ยืนยันได้หนักแน่นกว่านั้น คือหม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ประกาศในพิธีมอบทองคำฯ ครั้งที่ 10 เข้าคลังหลวง ใจความนั้นมีว่า
"พ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ ในวันนี้ผมขอถือโอกาสที่จะเรียนให้ทราบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2546 เป็นต้นมา ประเทศไทยเราได้เป็นอิสระ ประกาศความเป็นไท จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือที่เรารู้จักกันในนาม IMF ได้อย่างเต็มภาคภูมิฯ...
กระผมเชื่อเป็นแม่นมั่นว่า ทองคำแท่งและเงินดอลล่าร์สหรัฐ ที่ได้รับจากโครงการช่วยชาติโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน อันที่เป็นที่รวมของศรัทธามหาชนทั่วประเทศ เมื่อได้นำเข้าไปรวมไว้ในคลังหลวง ย่อมจะเป็นสิริมงคลต่อคลังหลวง มีผลให้เงินไหลเข้ากองเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นโดยไม่ขาดสาย เป็นระยะเวลาติดต่อกันตลอดสองปีหรือ 24 เดือนที่ผ่านมา จนในที่สุดเราจึงมีเงินมากพอที่จะใช้หนี้ IMF ได้ก่อนกำหนด"
ฟังแล้วคึกคักดีไหมคะ ^___^ นึกถึงเมื่อสมัย 7-8 ปีก่อน เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮามาก ไม่รู้ว่าเด็กรุ่นหลังๆ จะทันได้ฟังตำนานบทนี้กันบ้างไหม...
แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังมีความคิดเป็นกระต่ายขาเดียวอยู่ว่า ที่กล่าวมาก็ยังไม่ใช่สมบัติที่คนเป็นลูกศิษย์ของหลวงตาพึงรับ (อย่างน้อยก็ทองที่อยู่ในคลังหลวง นั่นคือสมบัติที่หลวงตามอบให้กับประเทศชาติ ก็ควรจะให้อยู่กับประเทศชาติไปชั่วลูกชั่วหลาน)
แต่สมบัติที่จริงแท้ คือคำสอนและปฏิปทาของหลวงตามหาบัวต่างหาก ที่เป็น "สมบัติของใจ" อันล้ำค่า ไม่มีขอบเขต ไม่มีเครื่องกั้น ธรรมะของหลวงตาสง่างามและอาจหาญ ซื่อตรง หมดจด และบริบูรณ์ ธรรมะที่กล่าวมานี้ ช่วยหล่อหลอมทั้งพระและฆราวาส ให้เข้มแข็ง ประกอบด้วยความเพียรและปัญญาไปสู่ความหลุดพ้น ตามขั้นตามภูมิของตน บนแนวทางของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สมบัติใดจะดีไปกว่านี้อีกเล่า :)
เมื่อเรายื่นใบลาพักผ่อน มีคนถามว่าเราจะไปไหน เราตอบซื่อๆง่ายๆ ว่าไปกราบสรีระหลวงตามหาบัว หลายคนพยักหน้า บางคนคิดในใจว่า ถ้าไปแล้วได้หวยก็คงจะดี บางคนคิดว่า เราทำตามแฟชั่น เขาแห่แหนกันไปเราก็ไป ^^ แต่ใครจะคิดอย่างไรก็ช่างเถิด เราได้ไปกราบพระผู้ประเสริฐ ผู้มอบสมบัติล้ำค่าให้ชาติ ให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย และที่จริงกราบหลวงตา กราบที่ไหนก็กราบได้ เพราะธรรมะของหลวงตาอยู่ในทุกที่ แต่ที่เราเดินทางคราวนี้ เพราะอยากไปกราบสรีระของหลวงตาจริงๆประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งคือได้แวะวัดสำคัญๆอีก 2 จุดระหว่างทาง ที่กำลังจะเล่าให้คุณฟังนี่อย่างไรเล่า
เอารูปรถคันที่นั่งไปมาอวดก่อนค่ะ =^_____^= (แต่งด้วย PhotoScape มาเรียบร้อย)
+ + + + + + + + + + + + + ฉบับที่ 2 (แวะริมทาง-ไปวัด) 12 ก.พ. 54 + + + + + + + + + + + + +
วันนี้เราออกเดินทางกันตั้งแต่ตีห้าครึ่งค่ะ นัดรวมพลกันที่กทม. เราเลยต้องรวบรวมเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ไปนอนกับน้องสาวทางธรรมที่อนุสาวรีย์ (งานนี้เป็นน้องอุปการะพี่ ^^ นอนด้วยกัน นั่งในรถตู้ด้วยกัน ง้องแง้งกันไปทั้งทริป) โปรแกรมวันนี้ เราให้คนขับขับอ้อมไปมหาสารคามเพื่อจะเข้าสกลนครกันก่อนค่ะ เลยได้แวะร้านอาหารอร่อยขึ้นชื่อของมหาสารคามเขา ร้านนี้มีชื่อว่าร้าน "แจ่วฮ้อน ท่าขอนยาง" ค่ะ มีรูปบรรยากาศร้านมาฝากเป็นรูปเล็กๆ :)
ส่วนทางนี้เป็นรูปใหญ่ขึ้นนะคะ เป็นรูปที่เก็บมาได้มากกว่าอาหาร (ลืมบอกไปว่าตากล้องส่วนใหญ่ไม่ใช่เราค่ะ โดยเฉพาะรูปสวยๆ ให้อนุมานได้เลยว่าเป็นฝีมือพี่ท่านหนึ่งที่ร่วมทริปไปด้วยกัน แต่ท่านไม่อยากให้เปิดเผยชื่อค่ะ) นั่นคือรูปดอกไม้ทั้งหลายที่ทางร้านปลูกไว้นะคะ สวยงามมากๆ ชมกันเพลินเลยทีเดียว :)
กลับมาที่เนื้อหาสาระบ้างนะคะ จุดมุ่งหมายจริงๆเราอยู่ที่นี่ค่ะ :) วัดดอยธรรมเจดีย์ที่หลวงตาเคยกล่าวถึง...
(คัดลอกจากหนังสือ "ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่าชาติสุดท้าย" เป็นหนังสือที่ศิษยานุศิษย์ร่วมกันจัดทำ เห็นว่ามีแจกในงานประทายข้าวเปลือกฯ เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 54 ค่ะ)
"อันนี้ก็ 9 ปี ไม่ใช่เล่นๆ นะ ออกปฏิบัติ 16 พรรษา นั่นละฟ้าดินถล่ม 16 พรรษา วันที่ 15 พฤษภา 2493 เราไม่ลืม นั่นละปีฟ้าดินถล่ม กิเลสขาดสะบั้นลงจากใจ ใจนี้สว่างจ้าเลย นั่นเป็นเวลา 9 ปีปฏิบัติ คือจริงจังมาก ถ้าลงได้หมุนใส่อะไรแล้วต้องเอาให้จริง เอาให้ได้อย่างใจ นี่ก็จะเอานิพพานให้ได้อย่างใจ ฟาดเสีย 9 ปี ฟ้าดินถล่มในวันที่ 15 พฤษภา 2493 หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา 5 ทุ่มพอดี นั่นละฟ้าถล่ม คว่ำวัฏจักรได้ในคืนวันนั้น จิตนี้สว่างจ้าเลยเทียวฯ"
"เพราะฉะนั้นวัดนี้เราจึงลืมไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมาจิตก็สว่างจ้า บอกให้ตรงไปตรงมาเลย คือหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์นี้เอง เป็นที่สงบสงัด บิณฑบาตก็ไปบ้านนาสีนวล เดินบิณฑบาตลงไปนี้ดูเหมือนชั่วโมงกับ 25 นาทีหรือไงผมก็ลืมๆ คือเดินลงไปนี่ทั้งไปทั้งกลับดูเหมือนชั่วโมง 25 นาที ถ้าจำไม่ลืม ไกลอยู่นะ จากนี้ไปวัดนาสีนวล ดูเหมือน 3 กิโล เดินตัดเขาลงไป
นี่ละที่ว่าวัดนี่เป็นที่ระลึกไม่ลืมก็คือวัดดอยธรรมเจดีย์ บนหลังเขาวัดดอย กระต๊อบเล็กๆ เรามาทีไรเราต้องขึ้นไปที่นั่น เดี๋ยวนี้กระต๊อบนั้นดูเหมือนจะรื้อไปแล้วมั้ง เล็กๆอยู่ที่หน้าพระยืน พระอยู่ข้างบน กระต๊อบเล็กๆหันหน้ามาทางพระ เรามาอยู่ที่นั่น นั่นก็เวลา 5 ทุ่มพอดี กิเลสขาดสะบั้นลงไปเป็นเวลา 5 ทุ่ม วันที่ 15 พฤษภาคม 2493 เพราะฉะนั้นจึงเป็นวัดที่ลืมไม่ได้เลย การบำเพ็ญนี้สะดวกมาก ทั้งคืนทั้งวันสงัดเงียบเลย ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาจริงๆ มาอยู่ที่นี่ฯ"
ไปเห็นของจริงๆ บรรยากาศแบบนี้... ก็น่ามาภาวนาสักครั้งนะคะ =^_____^=
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + ฉบับที่ 3 (ไข่กระทะ-ภูสังโฆ-วัดป่าบ้านตาด) 13 ก.พ. 54 + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
สวัสดีค่ะคุณแพรวดาว
วันนี้พวกเราตื่นแต่เช้าเพื่อจะรับรู้ว่า มีฝนตกหนักมากอยู่ด้านนอก (เราพักโรงแรมกันค่ะ ชื่อโรงแรมอติกานต์ ห้องใหญ่ เตียงกว้าง ในราคาสบายกระเป๋า ยิ่งเข้าไปเพื่ออาบน้ำและนอนอย่างเดียวยิ่งคุ้ม ^^)
ฝนที่ตกลงมาช่วยลดอุณหภูมิในแถบนี้ลงได้ในชั่วข้ามคืน อากาศเย็นฉ่ำยิ่งทำให้คณะเดินทางพากันลัลลาอย่างออกนอกหน้า เช้าวันนี้ เราไปทานไข่กระทะกันมาค่ะ :) (จำชื่อร้านไ่ม่ได้ แต่จำได้ว่าขับจากโรงแรม เลียบไปตามถนนใหญ่ ไม่กี่กิโลก็เจอนะคะ)
หน้าตาอาหารเช้าของพวกเรา เป็นแบบนี้ค่ะ =^____^=
อิ่มแล้วก็เดินทางกันต่อเลยนะคะ... :) |