+ + + + + + คำตอบของเขา + + + + + + : GTW (รุริกะ ft. GTW) ชายหนุ่มยังไม่ตอบคำถามนั้นในทันที ยิ้มให้กับคำถาม ยิ้มให้กับตัวเอง และยิ้มให้กับภาพบนจอมอนิเตอร์ ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะถูกตั้งคำถามด้วยประโยคง่ายๆ แต่ว่าการตอบคำถามแบบนี้ดูจะเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด และต้องระมัดระวังคำพูดพอสมควร คำถามง่ายไปหรือเปล่าครับ ถ้าผมตอบได้ แปลว่าหลังจากนี้คุณจะเชื่อที่ผมพูดแล้วสินะครับ เขาย้อนถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองมากขึ้น ลองบอกมาสิคะ ดูท่าทางเธอฉลาดพอที่จะไม่ตอบคำถามนั้นตรงๆ เช่นกัน แต่ภาพของหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาในจอคอมพิวเตอร์ดูเหมือนนั่งทอดอารมณ์แบบสบายๆ ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายหายใจหายคอสะดวกขึ้นมาบ้าง รูปร่างคุณดูดีเชียวล่ะ ผมยาว ผิวขาว เขาเริ่มต้นอธิบายอย่างช้าๆ และตั้งใจ จะว่าไปคุณไม่ใช่คนสวยชนิดบาดตาบาดใจแบบนางเอกหนัง แต่คุณมีเสน่ห์บางอย่างทำให้น่ามองน่าสนใจ มันก็แปลกดีนะ ผมอธิบายเรื่องแบบนี้ไม่เก่งหรอกครับ พูดจบแล้วก็หยุดเงียบสังเกตท่าทางของหญิงสาว กลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรผิดๆออกไป แล้วค่อยรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเธอยิ้มเล็กน้อยแล้วบอกว่า เป็นอันว่าใช่ เพื่อนฉันก็บอกอย่างนี้เหมือนกัน ขอบคุณนะคะ เพื่อน...? ค่ะ...เพื่อนเคยบอกว่าฉันมีรูปร่างหน้าตาแบบนั้น ฉันคิดว่าเขาคงแค่ปลอบใจ พอคุณยืนยันอีกเสียง ก็เลยสบายใจขึ้นมาหน่อย เอ้อ.... คนอะไร รูปร่างหน้าตาตัวเองแต่ต้องให้คนอื่นบอก เขานึกในใจขำๆ ว่าแต่คุณถามแบบนี้ทำไมครับ...หมายถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเอง แล้วทำไมเรื่องแค่นี้ต้องขอบคุณด้วย เขาถามอย่างรู้สึกแปลกใจในคำพูดของหญิงสาว อยากรู้ว่าหน้าตาตัวเองเป็นยังไงไม่เห็นจะยาก แค่เดินไปส่องดูในกระจกเท่านั้นก็สิ้นเรื่อง ไม่ต้องมาขอบคุณเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ ก็ฉันไม่เห็นหน้าตัวเองมาตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนเป็นเรื่องปรกติธรรมดาเหลือแสน ไม่มีกระจกเหรอครับ ถามออกไปแล้วรู้สึกว่าเป็นคำถามฟังดูโง่ๆชอบกล กระจกมี แต่ไม่เคยเห็นหน้าตัวเองในกระจก หมายความว่ายังไงครับ เอ๋...ฉันคิดว่าคุณรู้อยู่แล้วเสียอีก หญิงสาวทำเสียงประหลาดใจ และทำให้เขางุนงงสงสัยมากขึ้นไปอีก รู้อะไรครับ รู้ว่าฉันมองไม่เห็นอะไรมานานแล้ว พูดง่ายๆก็คือตาบอดนั่นล่ะค่ะ หา....! เขาอุทานเสียงหลงอย่างแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ความรู้สึกตกใจแปลกใจมึนงงชาค้างไปพักหนึ่ง นี่มันเรื่องอะไรกัน...ผู้หญิงที่เขาแอบหลงใหลได้ปลื้มอยู่ในจอคอมพิวเตอร์มาจนถึงตอนนี้เป็นคนตาบอด เรื่องแบบนี้เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยคิดว่าจะมาชอบพอคนตาบอดมาก่อนเลยในชีวิต ในความคิดของเขาแล้ว โลกของคนตาบอดเป็นโลกน่าเวทนาสงสาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอาชีวิตที่เหลือทั้งหมดของเขาเข้าไปร่วมรับผิดชอบต่อสภาพการณ์แบบนั้น ต้องคอยดูแลเธอแทบทุกฝีก้าวราวไข่ในหิน ภาระหน้าที่ดูแลคนตาบอดน่าจะเป็นงานของพวกนางพยาบาลมากกว่าคนใช้ชีวิตตามปกติทั่วไปอย่างเขา ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปพักหนึ่งอย่างคนปรับอารมณ์ไม่ทัน นี่เขาแอบสนใจคนตาบอดอยู่อย่างนั้นหรือ
ความคิดแค่วูบแต่จินตนาการวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนต่อไหน...เขาเห็นภาพตัวเองกำลังประคองหญิงสาวตาบอดเดินไปบนท้องถนน ท่ามกลางความวุ่นวาย ลำพังตัวเองก็เอาตัวแทบไม่รอด ภาพหญิงสาวหมุนคว้างอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความสับสนของสังคมเมือง เป็นภาพคนซึ่งต้องการดูแลเอาใจใส่ยิ่งกว่าเด็กอนุบาล เขารู้สึกเหมือนเป็นเรื่องตลกร้ายที่ทำให้หัวเราะไม่ออกเลยสักนิด ผมเห็นคุณนั่งดูทีวี ทำกับข้าว เดินไปเดินมาเหมือนคนปกติ น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม เหมือนคนกำลังอยู่ในห้วงแห่งความสับสนไม่แน่ใจกับตัวเอง ผมเห็นคุณปิดไฟนอน เห็นคุณ... เขาชะงักคำว่า เข้าห้องน้ำ ไว้ทัน พูดออกไปคงดูเป็นพวกจิตวิปริตโดยไม่ตั้งใจ รอยยิ้มของหญิงสาวค่อยๆจางลง ขณะพยายามอธิบาย ที่นี่เป็นห้องพักของฉันนะคะ อยู่แบบนี้มาหลายปีจนนึกได้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน พ่อกับแม่มาจัดสถานที่ให้เหมือนในห้องที่บ้านของฉันก่อนตาบอดแทบทุกตารางนิ้ว ฟังดูเหมือนหลอกตัวเอง ฉันฟังทีวีแทนที่จะดูทีวีอย่างคนทั่วไป ฉันปิดไฟนอนทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด จริงๆ ไม่ต้องเปิดไฟก็ได้ด้วยซ้ำในห้องนี้ ดูเผินๆ การที่คนตาบอดอย่างฉันยังสามารถทำอะไรๆ เหมือนคนปกติเขาทำกันมันก็คงเป็นการปลอบใจตัวเองวิธีหนึ่งได้มั้งคะ ว่าแต่...... หญิงสาวหยุดพูด ราวกับกลายเป็นคนรับฟังจินตนาการของเขาที่เตลิดไปไหนต่อไหน พอเขาได้สติและหันกลับมาฟังเธอบ้าง หญิงสาวค่อยเอ่ยปากแบบเน้นคำช้าๆว่า คุณคงไม่อยากคุยกับฉันแล้ว ปะ เปล่าครับ
ชายหนุ่มรีบตอบออกไปเหมือนคนเพิ่งถูกปลุกให้ตื่น มือกำหูโทรศัพท์แน่นจนรู้สึกถึงเหงื่อเปียกชื้น เป็นครั้งแรกที่นึกดีใจว่าเขาเป็นฝ่ายมองเห็นเธออยู่ข้างเดียว เพราะสีหน้าท่าทางของตัวเองขณะนี้คงดูไม่จืดเป็นแน่แท้ บอกตรงๆ ก็ได้ค่ะ อยู่มาจนป่านนี้แล้ว ฉันว่าฉันรับได้... แล้วกัน ไม่ใช่สักหน่อย..... เขาพูดออกไปได้แค่นี้จริงๆ นึกหาข้อแก้ต่างแต่กลับพูดอะไรต่อไปอีกไม่ได้ ทุกอย่างดูรวดเร็วกะทันหันเกินไป ทำให้แม้แต่คำพูดก็คั่งค้างคาอยู่ในลำคอ คำว่า นั่นเป็นผู้หญิงน่ารักน่าสนใจที่สุดคนหนึ่งในชีวิต กับคำว่า นั่นเป็นผู้หญิงตาบอด ได้มาเป็นเจ้าของก็คงมาเป็นภาระไม่รู้จบไม่รู้สิ้น เกม..... เขาคำรามในใจ นี่มันเป็นเพียงเกมเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริง จะตาบอดพิการหรือว่าอะไรก็ตาม ไม่เกี่ยวข้องกับเราเลยสักนิด ทำไมต้องไปใส่ใจด้วย ปิดคอมพิวเตอร์แล้วเดินออกไปจากห้องนี้ ลืมเรื่องบ้าบอพวกนี้ให้หมด ไม่ต้องรับรู้รับผิดชอบอะไรอีกต่อไปออกไปหาร้านอาหารดื่มกินให้เมาสักคืน เงินยังพอมี ใช่... ควรทำตั้งแต่ตอนนี้เลย แค่วางหูโทรศัพท์ลง ยืนมือออกไปกดเมาส์คลิ๊ก Shut down เท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งวุ่นวายมาหลายวันก็จะจบสิ้นลง แล้วไม่ต้องกลับเข้ามาเล่นเกมนี้อีกตลอดชีวิต บอกกับตัวเองเช่นนั้น แต่มือกับยกหูโทรศัพท์ชะงักค้างคา เหม่อมองจ้องภาพในจอคอมพิวเตอร์นิ่งอยู่เช่นนั้นเหมือนคนอับจนปัญญา หญิงสาวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอนั่งจ้องมองไปเบื้องหน้าท่าทางเหมือนคนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ นี่เขากำลังพยายามทำอะไรอยู่กันแน่... ทันใดนั้น หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็กลับกลายเป็นความมืดดำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปรากฏตัวหนังสือสีขาวขนาดมองเห็นชัดเจนถนัดตาขึ้นมากลางจอ คุณสามารถแบ่งปันการมองเห็นให้เธอได้ แต่การมองเห็นของตัวคุณเองต้องลดลงตามอัตราส่วนนั้นด้วย มันอะไรกันอีกนี่.....ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจแกมโมโห..เจ้าเกมบ้าๆนี้กำลังพยายามเล่นตลกอะไรกันแน่ ความสามารถในการมองเห็นของตัวละครในเกมจะมาแบ่งความสามารถในการมองเห็นของคนเล่นได้อย่างไร บ้าชัดๆ ข้อความยังปรากฏขึ้นมาอีกราวกับรอจังหวะให้ตัดสินใจ กด 1 เพื่อยอมรับเงื่อนไข กด 2 เพื่อปฏิเสธเงื่อนไข จะบ้า
เขาร้องในใจอย่างฉุนเฉียว คนดีๆใครเขาจะยอมรับข้อเสนอบ้าๆ แบบนี้ได้ ขืนรับเงื่อนไขถ้าเกิดเป็นจริงขึ้นมาก็มีแต่ทางขาดทุน ไม่ได้อะไรดีขึ้นมากับชีวิตเลยสักนิด นี่เขามีตัวตนจริง ๆ นั่นมันเป็นเพียงเกม ไม่มีทางโว้ย...ไอ้เกมปัญญาอ่อน ไปหลอกคนอื่นเถอะ ว่าพลางกระแทกแป้นพิมพ์หมายเลข 2 เพื่อปฏิเสธเงื่อนไข อย่างหงุดหงิดโมโห ข้อความทั้งหมดหายวูบไป ฉากค่อยๆตัดฉากกลับมายังห้องนั่งเล่นของหญิงสาวอีกครั้ง นั่นเธอวางโทรศัพท์ไปแล้ว กำลังนั่งก้มหน้านิ่ง ...และกำลังร้องไห้ หัวใจของชายหนุ่มเหมือนตกวูบลงทันที ไม่ๆๆๆ... พยายามตอกย้ำความคิดว่ามันคือเกมลงไปในหัวจนนับครั้งไม่ถ้วน นี่ไม่ใช่เรื่องจริง สมองสั่งการว่าไม่แต่มือกลับยื่นออกไปกดเบอร์ล่าสุดโทรออกไปราวกับไม่ใช่มือของตัวเอง เธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัว รับสายสิ.....เขาร้องในใจอย่างรุ่มร้อนขุ่นเคืองแบบไม่มีเหตุผล ถ้าไม่รับผมจะวางหูและปิดเครื่อง เดินออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้ ไม่เชื่อลองดูก็ได้ เดี๋ยวจะหาว่าไม่แน่ เรื่องอะไรผมจะมานั่งรอง้อเกมขนาดนี้...ไม่มีทาง แต่ก็ยังเบิ่งตาจ้องมองรอคอยต่อไปไม่สนใจอาการโวยวายทางความคิดนั่นเลยสักนิด ในที่สุดเธอก็ยกหูโทรศัพท์ ไชโย... คราวนี้เขาเผลอร้องเสียงดังด้วยความดีใจออกมาจริงๆ แต่ยังไม่มีคำพูดของเธอให้ได้ยินจนเขาเองต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นถามขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงอ่อยๆอย่างน่าแปลกใจ ผมขอโทษ ขอโทษทำไมคะ เสียงนั้นสะกดอาการสะอื้นเอาไว้ไม่มิด ก็... ผมทำให้คุณร้องไห้ บ้าเอ๊ย ก็เพิ่งบอกตัวเองว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเราสักหน่อย สำนึกฝ่ายชั่วคัดค้าน แต่สำนึกฝ่ายไหนไม่รู้ล่ะ ทำให้เขาพล่ามไปอีกแบบ ผมยอมรับ ว่าผมตกใจ ละล้าละลัง ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับคุณต่อ ก็ผม...เอ้อ ผมไม่เคยตาบอด พูดออกไปแล้วแทบอยากกัดปากตัวเองให้เลือดไหล ความสับสนในใจทำให้เขาหาคำดีๆกว่านี้ไม่ได้แล้ว เปล่าเลย
เธอเช็ดน้ำตาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปรกติที่สุด เอาเถอะ ในเมื่อคุณบอกว่าคุณไม่เคยตาบอด ถ้าอย่างนั้นฉันจะเล่าความสามารถพิเศษของคนตาบอดให้คุณฟัง คนเรามีประสาทสัมผัสห้าอย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บางที เคราะห์กรรมอาจทำให้บางอย่างหายไป แต่แล้วก็กลับทำให้ประสาทสัมผัสที่เหลือดีขึ้นอย่างเกินคาด เชื่อไหมว่าฉันจับพิรุธการโกหกของคุณจากน้ำเสียงได้ชัดเจน จนแทบจะเดาสีหน้าท่าทางของคุณได้โดยไม่ต้องเห็นหน้าด้วยซ้ำ คุณรังเกียจฉันขนาดนั้น เรายังจะต้องคุยกันอีกทำไมคะ เธอทำท่าจะวางหูโทรศัพท์ ไม่....อย่าเพิ่งครับ ได้โปรดฟังผมก่อน เขาร้องเสียงดังจนตัวเองตกใจ และคำพูดต่อไปของเขายิ่งทำให้ตกใจกับตัวเองมากขึ้น ผมไม่ได้รังเกียจคุณจริงๆ คุณอ่านใจผมผิดเพราะระยะทางแน่ๆ เอาอย่างนี้ไหม ผมจะให้คุณพิสูจน์กันต่อหน้าว่าผมไม่ได้รังเกียจคุณเลยสักนิด บอกมาสิครับว่าคุณอยู่ที่ไหน ผมจะไปหาคุณ เพื่อยืนยันคำพูดของผมด้วยตัวผมเอง.!!
|