เกมพิศวง (Level 20: ชีวิตใหม่)


+ + + + + + +
ชีวิตใหม่
+ + + + + + +

: รุริกะ (รุริกะ ft. GTW) 



“ผมมาแล้ว...ที่รัก”

เสียงนั้นดังแว่วอยู่ไม่ไกล เป็นเสียงแรกที่ได้ยินในเช้าวันรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง หลังจากคืนที่ผ่านมา สโรชินต้องถูกย้ายจากผู้ป่วยห้องพิเศษมาอยู่ในห้องไอซียู เพราะอาการปวดศีรษะและกระบอกตาอย่างรุนแรง หญิงสาวร้องโหยหวนและคร่ำครวญจนลั่นห้อง อาการปวดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแทรกซึมเข้ามาเป็นจังหวะอย่างไม่ยอมหยุดพัก หญิงสาวเจ็บปวดจนหมดเรี่ยวแรงและหมดสติไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาใหม่ก็ปวดขึ้นมาอีกซ้ำๆ พออาการทวีขึ้นเป็นครั้งที่สาม แพทย์จึงตัดสินใจฉีดยาระงับประสาทและส่งเข้าไปติดตามอาการอย่างใกล้ชิดในห้องผู้ป่วยไอซียูก่อนจะเตรียมผ่าตัดดวงตาในวันรุ่งขึ้น

เพิ่งรุ่งสาง หมอยังไม่มา พยาบาลเพิ่งผลัดเปลี่ยนเวรกัน สโรชินได้ยินเสียงบดของล้อเลื่อนเล็กๆ แม่บ้านคงกำลังเข็นรถเข้ามาทำความสะอาด ได้กลิ่นฉุนของน้ำยาฆ่าเชื้อ เสียงปี๊บของอุปกรณ์ภายในห้องรักษาพยาบาล และเสียงนั้นยังคงลอยมา

“คุณเป็นอย่างไรบ้างครับ... วันนี้ รู้สึกดีขึ้นไหม”

ท่วงทำนองของประโยคนั้นคุ้นหู... ไม่ใช่เพราะเป็นน้ำเสียงของคนที่เธอรู้จัก แต่ด้วยสัมผัสอ่อนโยน และเปี่ยมด้วยความรัก ที่เธอเคยได้ยินจากเขา

สักกะหรือ... คุณอยู่ที่ไหน

อาการปวดศีรษะหายไปแล้ว ความง่วงซึมจากฤทธิ์ของยายังมีอยู่บ้าง แต่ที่น่าอัศจรรย์คือเวลานี้ สโรชินกลับมามีเรี่ยวแรงยันกายลุกขึ้น พอขยับตัว ก็รู้สึกว่าผ้าปิดตานั้นเริ่มมีบางส่วนหลุดลงมา คงเพราะอาการดิ้นรนอย่างรุนแรงของเธอเมื่อคืนนั่นล่ะ

“วันนี้ผมมีเพลงใหม่มาให้คุณฟัง เช้าๆอย่างนี้ คุณลองฟังเพลงนี้ดูนะครับ เผื่อจะรู้สึกสดชื่นขึ้น”

เสียงนั้นยังคงพูดกับใครสักคนหนึ่งต่อไป เมื่อจับทิศทางของเสียงได้ สโรชินจึงรู้ว่า เป็นบทสนทนาที่ผู้พูด พูดอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่เคยปริปากตอบโต้ คู่สนทนานั้นอยู่ในตำแหน่งเตียงถัดจากเธอไปเพียงหนึ่งเตียงเท่านั้น

อยากเห็น... ว่าเขาคุยอะไรกัน

รู้ว่าคาดหวังทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ แต่สโรชินก็ลืมตาขึ้น ผ้าพันแผลที่ปิดตาปรากฏเป็นม่านตาข่ายสีขาวอาบด้วยแสงแดดในยามเช้า เป็นประกาย เจิดจ้า ไม่มีร่องรอยของสุริยปราคาหรือฝ้ามัวใดๆปรากฏ

สโรชินค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาแกะผ้าพันแผลออกด้วยตัวเอง เหมือนพันธนาการค่อยๆถูกปลดออกทีละชั้น พยาบาลที่ทำหน้าที่ดูแลคงเห็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติจึงตรงเข้ามาหา

“แกะผ้าออกไม่ได้นะคะ คุณ...”
สโรชินหันไปตามต้นเสียง ผ้าปิดตาถูกดึงออกจนหมดแล้ว เธอจึงเห็นหน้าพยาบาลที่เดินเข้ามาหาอย่างชัดเจน ต่างฝ่ายต่างมองกันอย่างตกตะลึงด้วยความพิศวงงงวย

“คนไข้... มองเห็นดิฉันด้วยเหรอคะ”
สโรชินพยักหน้า อาการงุนงงของตัวเองยังไม่เท่าอาการตื่นเต้นยินดีของพยาบาลสาวตรงหน้า

“พี่ภา ตามหมอเร็ว คนไข้เตียงสาม ตามองเห็นแล้ว”

พยาบาลสาวก้าวเดินฉับๆกลับไปที่เคาน์เตอร์ ทำไม้ทำมือบอกให้เธออยู่เฉยๆ สโรชินก็ไม่ได้คิดจะขยับตัวไปไหน ได้แต่หันไปมองที่เตียงข้างๆ

บนเตียงนั้นเป็นร่างของหญิงสาววัยกลางคน ใส่เครื่องช่วยหายใจนอนรวยรินอยู่อย่างสงบนิ่ง ดูคล้ายจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ส่วนข้างกายเป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง มือหนึ่งกุมมือร่างที่นอนแน่นิ่งนั้นไว้ อีกมือหนึ่งประคองเครื่องเล่นเทปขนาดพอเหมาะวางตั้งไว้ข้างหมอน อุปกรณ์นั้นกำลังเล่นเพลงที่มีท่วงทำนองสดใส เนื้อเพลงพอจะจับใจความได้ ว่าจะจดจำวันเวลาที่อยู่เคียงข้างกัน ไม่ห่างไปไหน

แค่เราเคยได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ความสุขนั้นคงอยู่นิรันดร์ ไม่จางหาย...

สโรชินได้ฟังเนื้อความท่อนนั้นก็คลี่ยิ้มและน้ำตารินไหลอย่างไม่เข้าใจในเหตุผล อาจเพราะบรรยากาศของคู่รักที่ดูแลกัน อาจเพราะเนื้อเพลงที่ฟังแล้วลึกซึ้งในความหมาย ชายหนุ่มคนนั้นเหมือนจะรู้สึกตัวว่ามีคนนั่งมองอยู่จึงเหลียวมามองดูเธอครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าทักทาย สโรชินค้อมศีรษะเล็กน้อย คิดจะอ้าปากตั้งคำถาม แต่ชายหนุ่มเพียงหันมาทักทายตามมารยาทเท่านั้น ก่อนจะหันไปพูดคุยกับร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงนั้นต่อ

“ผมยังรออยู่นะครับ... ที่รัก...”

เสียงหมอและพยาบาลเดินตึกตักเข้ามาห้อมล้อมรอบๆเตียง ต่างยืนบังร่างของชายหนุ่มหญิงสาวคู่นั้นจนมองไม่เห็น ดูท่าจะเป็นเรื่องฮือฮาและกลายเป็นกรณีศึกษาใหม่ที่ ‘คนไข้หายก่อนผ่าตัด’ และทำเอาแพทย์ทั้งโรงพยาบาลประหลาดใจไปตามๆกัน
สโรชินต้องเข้ารับการตรวจร่างกายและตอบคำถามอีกหลายคำถาม ขณะที่ความสนใจของเธอยังอยู่ที่คู่รักข้างเตียงคู่นั้น บทเพลงไพเราะจับใจ และอีกทาง... เมื่อเธอกลายเป็นคนมองเห็นทุกอย่าง ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แล้วสักกะทำอะไร...เกิดอะไรขึ้นกับเขา

เธอจะเอาคำตอบมาจากไหน?

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ช่วงเวลาให้คำปรึกษาก่อนจำหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล(Discharge counseling) ดำเนินไปตามขั้นตอนของโรงพยาบาล สโรชินพยักหน้ากับทุกเนื้อความที่คู่สนทนาบอกเล่า แต่ไม่มีอะไรซึมซับเข้าไปในสมองอันว่างเปล่า หมอพูดจบแล้วค่อยถามเบาๆ

“คนไข้มีอะไรสงสัยและอยากถามหมออีกมั้ยคะ”
“ค่ะ...”
สโรชินพูดออกมาเป็นคำแรก

“ฉัน...อยากรู้เกี่ยวกับ... คนไข้เตียงนั้น”

สโรชินบอกพร้อมกับบ่ายหน้าไปยังเตียงเดิม ที่บัดนี้ชายหนุ่มคนนั้นหายไปแล้ว เหลือแต่ร่างบางนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง และไม่มีวี่แววจะขยับเขยื้อน

“จะไปถามถึงคนไข้คนอื่นทำไมคะ ทำไมไม่สนใจตัวเอง หืม”
คนหมอคนนี้ท่าทางใจดี สโรชินยิ้มบางๆอย่างอ้อนวอน

“ก็... คุณหมอบอกว่า ตาฉันหายแล้วนี่คะ แต่ขอความกรุณาเถอะค่ะ ฉันไม่รู้จะไปถามใคร คุณหมอพอจะบอกได้ไหมคะ ว่าคนไข้เตียงนั้น เธอเป็นอะไร”
“อืม...”

แพทย์หญิงที่ให้การดูแลผู้ป่วยสาวใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ที่จริงผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็อยู่ในความดูแลของเธอทั้งสิ้น รวมทั้งผู้ป่วยหญิงที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงที่สโรชินเอ่ยถึง ก็ถูกพาตัวมาให้รักษาเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าไม่น่ามีอะไรเสียหายจึงได้ออกปากเล่า

“คนไข้รายนี้ ประสบอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ เธอไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ร่างก็เลยกระเด็นอยู่ในรถนะคะ อาการสาหัสมาก เพราะร่างกายบอบช้ำและสมองส่วนท้ายไปกระแทกกระจกหลัง ร่างกายหลายแห่งมีบาดแผล แต่เพราะสมองตาย ป่านนี้ก็เลยยังไม่ฟื้น...”

“แย่จริง ทำไมถึงไม่คาดเข็มขัดนิรภัยล่ะคะ”

“เธอท้องน่ะค่ะ ไม่แน่ใจว่าไม่คาดเข็มขัดเพราะกลัวจะรัดลูกในท้องหรือเปล่า คุณแม่มือใหม่ก็อย่างนี้ เพิ่งแต่งงานกับสามีได้ไม่ครบปี วันที่ประสบอุบัติเหตุคือวันที่เธอรู้ข่าวการตั้งครรภ์แล้วขับรถกลับบ้าน ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ ระยะทางแค่ไม่ไกล เพียงแต่เธอขับไปในเส้นทางที่วัยรุ่นกำลังแข่งรถมอเตอร์ไซค์กัน แล้วก็มีมอเตอร์ไซค์วิ่งตัดหน้า เธอหักหลบทั้งที่ขับด้วยความไวไม่มาก แต่รถก็หมุนคว้าง ไถลไปตามขอบทาง”

“แล้วลูกของเธอ... เป็นยังไงบ้างคะ”

“ก็ตกเลือด ช่วยไว้ไม่ได้ หมอเองก็อับจนหมดหนทาง อย่าว่าแต่จะเก็บเด็กไว้ จะทำยังไงให้เธอฟื้น ยังหาทางกันไม่ได้”

“แล้วสามีเธอ... ใช่ผู้ชายที่มาเยี่ยมแต่เช้าคนนั้นหรือเปล่าคะ”

“ใช่ค่ะ เขามาเยี่ยมทุกวัน มาด้วยร่างกายและหัวใจที่เปี่ยมด้วยความหวัง ว่าซักวัน ภรรยาของเขาจะลืมตาขึ้นมาพูดคุยกับเขาใหม่ เขาเทียวไปเทียวมาระหว่างที่ทำงาน บ้าน โรงพยาบาล ทำอย่างนี้มาสองปีแล้ว”
“สองปี...”

ที่ไม่เคยได้รับการตอบกลับจากคนรัก ที่เฝ้าวนเวียนทำเรื่องเดิมๆซ้ำๆ โดยมีความหวังแค่ริบหรี่ รอเพียงปาฏิหาริย์จะดลบันดาลเท่านั้น

“เขาทำได้อย่างไรคะคุณหมอ”

“นั่นน่ะสิ แต่จริงๆสองปี ก็ไม่นานนะ ปีแรก เป็นช่วงเวลาที่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงต้องตัดสินใจ เพราะเราได้พยายามหลายวิธีการแล้ว แต่ก็จนปัญญารักษา ได้แต่ใส่ท่อช่วยหายใจเอาไว้ ทางการแพทย์เรามีวิธีการที่เรียกว่า ‘เมอร์ซี่ คีล’ หรือ ‘การุณฆาต’ คือการถอดเครื่องช่วยหายใจออก เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าสมองตาย และญาติผู้ป่วยยินยอม แต่สามีของเธอยืนยัน จะต้องพาเธอกลับมาได้ในสักวันหนึ่ง”

“เขาก็เลยเทียวมาปลุกเธออย่างนี้ ทุกวัน น่ะเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ ทุกวันนี้เขาก็มาเรียนวิธีการดูแลผู้ป่วย ครบสองปีเมื่อไร คงจะพากลับไปดูแลเองที่บ้านได้”

แค่เราเคยได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ความสุขนั้นคงอยู่นิรันดร์ ไม่จางหาย...

บทเพลงที่เขานำมามอบให้ สายตาที่เขามองเธออันเป็นที่รัก สายตาที่ไม่เหลียวแลใครที่ไหน สองปีที่อยู่ภายใต้แรงกดดันและคัดค้านการเพรียกหาภรรยาให้กลับคืนมา

“แต่เวลาที่มาดูแลภรรยา เขาก็ดูมีความสุขนะคะ”

“ใช่ค่ะ หมอเองก็ไม่เข้าใจ น่าทึ่งเหมือนกันนะ ถ้าหมอเป็นคนที่นอนอยู่ตรงนั้น ก็คงไม่มีใครมาดูแลเอาใจใส่ได้ขนาดนี้ เอ้อ...เผอิญหมอก็ยังไม่มีสามีด้วยน่ะนะ ต่อให้หาได้ ก็ไม่รู้จะได้อย่างนี้หรือเปล่า”
แพทย์หญิงพูดด้วยเสียงเจือหัวเราะและผ่อนคลาย สโรชินยิ้มน้อยๆอย่างพลอยเออออไปด้วย

ถ้าสักกะเป็นฝ่ายตาบอด เธอจะยอมมอบความสามารถการมองเห็นให้เขาไหม...

คำถามใหม่ลอยเข้ามาในห้วงความคิดคำนึง สโรชินกลับไปเงียบงันและหมดคำถามใดๆอีกคราวหนึ่ง คุณหมอใจดีจึงเอ่ยคำล่ำลา บิดามารดาของเธอมารับแล้ว ทั้งสองโผเข้ามาสวมกอดลูกสาวสุดที่รักด้วยความปลาบปลื้มยินดี

“หมอที่นี่เก่งจังเลยนะคุณ ลูกเรามานอนโรงพยาบาลแค่สองวันก็หายเป็นปลิดทิ้ง”
คุณหมอที่ยังปลีกตัวออกไปไม่ไกลได้แต่หันมายิ้มเขินๆ
‘จริงๆหมอไม่เกี่ยวอะไรสักหน่อย’

สโรชินยิ้ม ปล่อยให้คำชมนั้นตกเป็นความดีความชอบของหมอต่อไป
“เป็นอย่างไรบ้างลูก เห็นหน้าพ่อแม่ชัดไหม”

“ชัดค่ะ คุณพ่อดูแก่ลงนิดหน่อย แต่คุณแม่ยังสาว ยังสวยเหมือนเดิมเป๊ะ ตามภาพเดิมที่บัวจำได้ตั้งแต่ก่อนบัวจะตาบอด”
“ฟังสิพ่อ ลูกเรา หายดีแล้วยังปากหวานอีก”
บิดาหัวเราะ ขณะที่มารดาของเธอยังปลื้มไม่หยุด สโรชินก็พลอยยิ้มรื่นอย่างอารมณ์ดี

“แม่คะ”
“ว่าไงลูก”

ระหว่างนอนโรงพยาบาล หญิงสาวได้รู้ ได้เห็น และได้ทบทวนอะไรหลายอย่าง สิ่งที่ผ่านเข้ามาในห้วงความคิด ทำให้สโรชินตัดสินใจอะไรได้อย่างหนึ่ง เธอจะตามหาเขา จะไขปริศนาของเกมพิศวงด้วยตัวเธอเองให้ได้ จะต้องทุ่มเทเพียงไหน และไม่ว่าจะใช้เวลาสักเท่าไรก็ตาม

“บัวหายแล้ว พ่อจ๋า แม่จ๋า ให้บัวเรียนต่อนะคะ”
“เอาสิลูก ตอนที่ตาบอด เราก็เรียนก็สอบกศน.จนผ่านแล้วนี่นา บัวอยากจะเรียนอะไรล่ะ จะไปเมืองนอกไหม ไปดูโลกกว้างๆ พ่อจะหาทางส่งให้”
ผู้เป็นบิดาใจป้ำ

“ไม่ค่ะพ่อ บัวจะเรียนเมืองไทยนี่ล่ะ”
อีกห้าปีข้างหน้า สักกะจะถูกรถชน และต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล...

“บัวอยากเรียนพยาบาลค่ะแม่”

บิดาและมารดาต่างงงงันกับคำขอของลูกสาว ทั้งสองคนมองหน้ากัน แต่แล้วแม่ไหมก็เป็นฝ่ายพยักหน้า ตกลงปลงใจ ก็ไหนๆได้ลูกสาวคืนมาทั้งคน เรื่องเท่านี้ ทำไมจะตามใจอีกสักทีไม่ได้ล่ะ

“เอาสิลูก ชุดขาวกับหมวกพยาบาล น่าจะเข้ากันกับหนูดีเหมือนกัน”
“ขอบคุณค่ะแม่...”

สโรชินยิ้มอย่างตื้นตันใจและสวมกอดมารดาอีกคราหนึ่ง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




 

Create Date : 15 มีนาคม 2554
1 comments
Last Update : 15 มีนาคม 2554 16:50:35 น.
Counter : 782 Pageviews.

 

แง ๆ ดีใจกะสโรชิน แต่สงสารสักกะ
แถมมีคู่รักน่าสงสารมาให้ลุ้นอีกคู่นึง
อ่านไม่ทันไรจบซะแระ

 

โดย: pompom IP: 125.27.7.155 16 มีนาคม 2554 2:40:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
15 มีนาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.