Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
26 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
นิยายรัก ตอนที่ 2 วีรสตรีผู้โดดเดี่ยว


COPY WRIGHT : สงวนลิขสิทธิ์ทั้ง ปกหนังสือ และ เนื้อหาค่ะ


ดวงใจดล

ผู้เขียน : วรรณรวี

พิมพ์ครั้งแรก : มีนาคม ๒๕๕๗

copy.jpgสงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ ๒๕๓๗

ไม่อนุญาตให้คัดลอกเนื้อหาส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดเพื่อสร้างฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเอกสารรูปเล่ม หรือเพื่อการใดๆเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์เท่านั้น

ISBN : ๙๗๘ - ๖๑๖ - ๓๔๘ - ๗๖๕ - ๐

ราคา ๓๐๐ บาท


************************************************************************
ตัวอย่างค่ะ

.

วีรสตรีผู้โดดเดี่ยว !

“เราจะเก็บเด็กไว้นะพ่อ !!!”

ริมฝีปากบางเปิดฉากก่อนอย่างรวดเร็วราวกับกลัวพลาดในบางสิ่งสำคัญที่ต้องทำก่อนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต เหตุผลมากมาย หลักคำสอนศาสนาที่เธอไม่เคยศึกษาอย่างจริงจังพรั่งพรูออกจากปากที่เจ้าตัวคิดว่าเสมือนกับกำลังยืนกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีอันยิ่งใหญ่ที่ไหนสักแห่ง คำพูดโน้มน้าวหว่านล้อมและเกลี้ยกล่อม ที่ต้องจบลงอย่างดีที่สุดชนิดที่ต้องได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวทั่วฮอลล์และพลาดไม่ได้เพราะนั่นอาจหมายถึงการทำลายชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดมา

ณ เวลานี้ทุกคำพูดที่พี่เงาะได้เตือนสติเอาไว้ถูกส่งต่อทุกคำไม่ตกหล่นไปยังบิดา จนเธอเองนึกขอบคุณสมองน้อยๆที่ทำหน้าที่จดจำคำพูดทุกถ้อยคำได้อย่างดีเยี่ยม

ร่างบางนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตัวเขื่องที่มีพนักพิงหลังสูงเลยศีรษะไปเล็กน้อยมือเรียวกุมโทรศัพท์แนบหูเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะหลุดหายไป เสียงเล็กหากกังวานเจือสะอื้นเอ่ยอย่างยากลำบากทิชชูม้วนโตซึ่งวางอยู่หน้าโต๊ะทำงานคงจะไม่พอเสียแล้ว และถ้าหากใครได้มาเห็นภาพนี้คงจะพากันสงสัยที่นักออกแบบสาวแกร่งประจำออฟฟิศมีดวงตาเต็มไปด้วยม่านน้ำใสๆ จมูกแดงคล้ายกับสีของมะเขือเทศสุก หรือจะนิยามกับสภาพนี้ของเธอได้ว่า‘ยับยู่ยี่จนเกือบเยิน’ พวกเขาคงจะตีความจากภาพที่เห็นได้ว่าเธอคงจะทะเลาะกับใครสักคนที่อยู่ในสายแล้วมันก็จะกลายเป็นข่าวลือเพียงไม่กี่นาทีเหมือนเช่นกรณีอื่นๆ

‘นี่เธอๆคุณปัญย์ทะเลาะกับแฟนเมื่อเช้า ร้องไห้ตาปูดตาบวม ฉันเห็นกับตา’ นั่นคือเนื้อหาของข่าวลือที่เธอสามารถคาดเดาได้ไม่ยาก

บทสนทนาระหว่างบิดาผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนพูดน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยในยามปกติมาวันนี้ท่านก็ยังคงเป็นผู้ฟังที่ดีและน่ารักเหมือนเช่นทุกครั้ง โดยเธอยึดตำแหน่งผู้พูดได้อย่างดีแม้จะกระท่อนกระแท่นด้วยเสียงสะอื้นแต่แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีจนได้ข้อสรุปราวกับใช้สมองและหัวใจดวงเดียวกัน

‘เราจะเก็บเด็กคนนี้เอาไว้นะพ่อเราพร้อมจะช่วยกันเลี้ยงหลานตัวเล็กๆ ที่กำลังจะเกิดมาให้ดีที่สุด’

“เจ้าปัญย์ความจริงแกไม่ต้องร่ายยาวเป็นบทละคร ดึงเหตุผลมากมายแล้วชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมพ่อหรอกหลานคนเดียวทำไมพ่อจะเลี้ยงไม่ได้ล่ะ เลี้ยงพวกแกมาจนโตท้องโย้ได้ขนาดนี้ เด็กเล็กๆอย่างหลานตามันจะกินมากสักเท่าไหร่กันเชียวหา!”

เสียงทุ้มหากเรียบของคนปลายสายที่คนเป็นลูกรู้ดีว่าตอนนี้มีรอยยิ้มฉาบเต็มใบหน้าของชายสูงวัยผิวคล้ำแดดที่เกิดจากการทำงานหนักมาเกือบตลอดชีวิตซึ่งดวงตาหลังกรอบแว่นหนาคู่นั้นคงจะปริ่มไปด้วยน้ำตาของลูกผู้ชายตัวเล็กร่างผอม หากหล่อเหลายิ่งกว่าใครสำหรับลูกสาวอย่างเธอ

“แล้วทำไมพ่อไม่บอกปัญย์แต่แรกล่ะจ๊ะว่ามีคำตอบในใจอยู่แล้วปัญย์จะได้ไม่ต้องร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ตอนนี้ใครๆ ก็มองเข้ามาที่ห้องทำงานของปัญย์กันทั้งนั้นคงอยากรู้ว่าปัญย์เป็นอะไร จะได้เอาไปเม้าต์กันต่อให้สนุกปากกันไปเลย โธ่พ่อนะพ่อ!”

เสียงบ่นเล็กๆอย่างไม่จริงจังเรียกเสียงหัวเราะของทั้งคู่ แล้วลูกสาวก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากเสียงหัวเราะจบลงไม่นานนัก

“พ่อจ๋า พ่อผิดหวังเสียใจ โกรธปัญย์ไหมที่ปัญย์ดูแลน้องไม่ดีปล่อยให้น้องท้องโย้ทำเสียชื่อเสียงแบบนี้ ถ้าพ่อโกรธปัญย์พ่อยกโทษให้ปัญย์ได้ไหมจ๊ะ” เสียงเล็กแผ่วเบาบอกคนปลายสายโดยไม่ปัดความรับผิดชอบ รู้ดีว่าความผิดพลาดของน้องสาวในครั้งนี้เธอเองก็มีส่วนไม่น้อย

“ไม่หรอกเจ้าปัญย์ แกทำดีที่สุดแล้วคนเราเกิดมาก็ต้องทำสิ่งผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น พ่อเองตอนหนุ่มๆ ก็ทำผิดพลาดมาแล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นยังไงมากกว่าพ่อภูมิใจมากนะที่แกสองคนมีจิตใจสำนึกรับผิดชอบ ไม่ผลักภาระและเห็นแก่ตัว จนคิดจะทำลายชีวิตเด็กคนนึงเพียงแค่นี้ก็ยิ่งใหญ่สำหรับพ่อมากแล้ว พ่อภูมิใจที่ได้เป็นพ่อของพวกแกทั้งสองคน เมื่อเด็กเขามีบุญจะมาอยู่กับเราเราก็ต้องรับเอาไว้ ถือว่าเป็นของขวัญจากเบื้องบน ดีเสียอีกนะเจ้าปัญย์ จะให้พ่อรออุ้มหลานจากลูกสาวคนโตอย่างแกสงสัยจะหมดหวังได้หลานจากเจ้าปุณก็ดีเหมือนกันจะได้โตทันใช้”

เสียงทุ้มกลั้วเสียงหัวเราะแสดงความสดใสให้ได้ยินชัดเจนหญิงสาวเดาใบหน้าอิ่มเอมของบิดาได้ดี เวลาที่เธอหรือน้องสาวทำเรื่องเล็กๆหากมันยิ่งใหญ่และเป็นความภาคภูมิของท่านเสมอมาเหมือนครั้งหนึ่งที่เธอชนะการประกวดวาดรูป ที่แม้จะได้เพียงรางวัลชมเชย หากท่านก็ยังทำอาหารมื้อใหญ่เลี้ยงกันเองในครอบครัวและยังเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนบ้านใกล้ๆราวกับฉลองเหรียญทองโอลิมปิกเลยทีเดียว ภาพแห่งรอยยิ้มนั้นลอยเข้ามาในห้วงความคิดจนคนเป็นลูกสาวอดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

และข้อสรุปในยกนี้ก็คือ ปุณทริกจะคลอดแล้วกลับมาเรียนต่อให้จบน้องสาวของเธอจะต้องคว้าปริญญามาให้บุพการีได้ภาคภูมิใจเพื่อเป็นการทดแทนในสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมของคนเป็นพี่สาวที่คอยลุ้น ผลักดันอยู่เบื้องหลัง และคอยให้กำลังใจอย่างเงียบๆเช่นเดียวกับทุกเรื่องเสมอมา…

ทุกเย็นวันศุกร์กันย์จะมาค้างที่คอนโดฯด้วยกันเป็นปกติ เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องมาสามปีแล้ว และคงจะดีในความคิดของเธอถ้าจะปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ปรึกษากันตามลำพังหลังจากที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตกลงเลี้ยงหลานที่กำลังจะเกิดมาเอาไว้และจะจัดงานแต่งงานตามประเพณีอย่างสมเกียรติอีกครั้งเมื่อทั้งคู่จบการศึกษา ‘บางทีลูกเล็กๆอาจจะทำให้หนุ่มสาวคู่นี้ ไปถึงเป้าหมายของตัวเองได้เร็วขึ้น’ นั่นคือสิ่งที่ปัญชลีย์ คาดหวังอย่างที่สุดในเวลาเช่นนี้

“แน๊ตตี้ ฉันดราม่า ออกมาดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยที่เดิมไม่ต้องหิ้วกิ๊กแกมา”

หญิงสาวส่งข้อความสั้นๆไปหาเพื่อนหนุ่มสุดหล่อ ที่มีรูปร่างหน้าตาค่อนไปทางเกาหลี และมีรสนิยมชอบเคี้ยวหนุ่มๆเป็นงานอดิเรก ซึ่งเขาเป็นเพื่อนรักของเธอตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันมือเล็กกดส่งข้อความ ไม่ถึงสองนาทีก็ได้รับข้อความตอบกลับมา“เออ ที่เดิมสามทุ่มคนเดียว”

แน๊ตตี้ หรือ ณัฐ ประกายพฤกษ์ส่งข้อความตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะเขาคือเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเธอ รู้ดีกว่าใครว่าถ้าหากปัญชลีย์ชวนไปดื่มคงจะ ‘ดราม่า’ ระดับที่จะต้องถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อย่างแน่นอน ‘ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ออกไปเหล่หนุ่มๆ บ้าง’ ณัฐคิดอย่างครึ้มอกครึ้มใจ

เมื่อตกลงนัดกันได้เรียบร้อย คนที่ส่งข้อความไปนัดก็ทำเช่นเดียวกันหากเปลี่ยนคนรับเป็นน้องสาวของเธอ

“ปุณ ไม่ต้องคอยนะ พี่มีนัดกับแน๊ตตี้กลับดึกไม่ต้องห่วง” ปัญชลีย์กดส่งข้อความและได้รับข้อความสั้นๆ ตอบกลับมาเช่นกัน...

ร่างบางมาถึงร้าน Music Long Play ซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งผับของรุ่นพี่ที่เธอเคารพมากคนหนึ่งโดยเธอมาถึงก่อนเวลานัดหนึ่งชั่วโมง หากมันไม่เป็นปัญหาเพราะเธอคุ้นเคยกับร้านนี้เป็นอย่างดี

หญิงสาวกวาดตามองหามุมที่นั่งของตัวเองและได้ที่นั่งสำหรับสองคนด้านในของร้าน เธอตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาเพื่อนรักแต่แล้วกลับเห็นข้อความสั้นๆ ของณัฐบนหน้าจอโทรศัพท์ “งานเข้า เลตสักชม.กินดื่มก่อนฉันจ่าย”

แล้วมือเล็กก็กดตอบข้อความสั้นๆ ไม่แพ้กันราวกับเป็นการประกาศศึกแห่งความสั้นที่จะต้องมีใครสักคนเป็นผู้ชนะในศึกครั้งนี้ว่า“เออ”

การรอคอยหนึ่งชั่วโมงผ่านไปกับจินโทนิกห้าแก้วโดยคนดื่มคงจะลืมไปแล้วว่าตัวเองท้องว่างมาตั้งแต่เที่ยงวัน หากมือเรียวยังคงยกขึ้นเพื่อเรียกบริกรมารับออร์เดอร์แก้วที่หกโดยบนโต๊ะมีเพียงของขบเคี้ยวเล่นนั่นคือขาไก่แบบโบราณกับถั่วโก๋แก่ที่ทางร้านเสิร์ฟฟรีให้ลูกค้าเท่านั้นซึ่งมันแทบจะไม่พร่องไปจากถ้วยเซรามิคใบเล็กเลยสักนิดเดียว

คนที่กำลังจะเมาหรืออาจจะเมาไปแล้วเพิ่งจะได้รับโทรศัพท์อีกครั้งจากเพื่อนรักบอกว่าเขากำลังจะออกจากออฟฟิศในตอนนี้และจะมาถึงร้านในอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง ถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า “นังแน๊ตตี้แก่สายชั่วโมงครึ่งเชียวนะว้อยยยย!” คนรับสายโวยวายเสียงดังและไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะเวลานี้เธอโดน‘ผีจินโทนิก’ สิงร่าง

มือเรียวกดวางสายแล้วเริ่มร้องไห้ฟูมฟายแสดงอาการงอแงราวกับเป็นเด็กเล็กๆ อย่างที่ไม่เคยปรากฏในยามปกติ โดยมืออีกข้างยกขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆจากสาเหตุที่เพื่อนรักมาช้าไปเป็นชั่วโมง

เหตุผลหลักของนัดในคืนนี้ เธอเพียงแค่ต้องการใครสักคนที่นั่งเป็นเพื่อนกันเงียบๆในยามที่จะสามารถร้องไห้ออกมาได้อย่างไม่อายด้วยความอัดอั้นภายในใจมาแล้วหลายวันหากจะแสดงความอ่อนแอเช่นนี้ให้น้องสาวเห็น เป็นสิ่งที่เธอทำไม่ได้และณัฐก็เป็นคนนั้นของเธอเสมอมา

“ขอวิสกี้ โซดาครับ!”

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวอมเหลืองในชุดลำลองนั่นก็คือกางเกงยีนสีซีดพอดีตัวกับเสื้อโปโลสีขาวซึ่งมีสัญลักษณ์คุ้นตาปักที่กระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกด้านซ้ายเสียงนุ่มของเขาบอกบริกรหนุ่มหลังจากได้มุมที่นั่งของตัวเองเป็นโซฟาเล็กๆด้านในสำหรับนั่งได้สองคน และโซนนี้มีลูกค้าเพียงแค่หนึ่งโต๊ะนั่นคือหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่คนเดียว เธอนั่งถัดไปจากด้านหน้าเขาสองโต๊ะ

‘อกหัก ร้องไห้ ผู้หญิง’แม้แต่ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้นี้ ในความคิดของเขาก็ประหยัดถ้อยคำ มันสั้นพอๆ กับข้อความที่ถูกส่งไปมาตลอดทั้งวัน

เมื่อหญิงสาวร้องไห้ฟูมฟายจนหนำใจสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็สะกิดเธอขึ้นมาได้ว่าถ้าหากเพื่อนรักมาเห็นเธอในสภาพเช่นนี้เขาคงต้องโทษตัวเองที่ปล่อยให้เธอรอเกือบสองชั่วโมง รู้ดีว่าถึงอย่างไรณัฐก็ไม่ต้องการมาช้าแต่เพราะมีงานด่วนสำคัญซึ่งเธอเข้าใจได้เป็นอย่างดี และอีกเหตุผลสำคัญนั้นคือผีจินโทนิกทั้งห้าตัวที่เธออันเชิญเข้าสู่ร่างด้วยตัวเอง ทำให้ต้องรีบลุกไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในของร้านเพื่อขับไล่และปลดปล่อยวิญญาณมันออกเสียโดยเร็วเพราะมันคงอยากจะออกไปจากตัวเธอเต็มทีแล้วในเวลานี้

ร่างบางในชุดทำงานคล้ายๆเดิมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอันน้อยนิด เธอพยายามจ้องไปยังสัญลักษณ์รูปการ์ตูนเด็กผู้หญิงนั่งและเด็กผู้ชายยืนจนแน่ใจว่าถ้าเดินตรงไปทางนั้นก็จะถึงสถานที่ซึ่งสามารถทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณ‘ผีจินโทนิก’ ในร่างเธอออกไป

“อุ๊ยยยยยยยย! ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ คุณเจ็บไหม”

หญิงสาวละล่ำละลักเอ่ยขอโทษเสียงอ้อแอ้เพราะปริมาณแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในเลือดมากกว่าปกติออกฤทธิ์ หากยังมีสติพอจะรู้ว่ามันเป็นความผิดของเธอเองที่เดินเซล้มลงไปกองบนตักของใครบางคน เธอพอที่จะมองเห็นภาพเบลอๆ ของร่างนี้ที่กำลังมองตรงมาในมือของเขาถือเครื่องดื่มอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็รีบวางมันลงบนโต๊ะทันทีเมื่อเห็นว่าเธอไม่ไหว

มือเรียวจับบ่าล่ำสันของใครบางคนที่นั่งอยู่บนโซฟาแน่นเพื่อพยุงตัวก่อนเงยหน้าขึ้นถามในขณะที่เขาก้มมองลงมาด้วยสายตาเรียบเฉย จนระยะห่างของใบหน้าเกือบชิด

ชั่วขณะนั้นเองที่ดวงตาคมเฉียบของเขาสบกับดวงตากลมโตสีนิลเนื้อดีวาววับราวกับตากวางคิ้วดกดำเรียวโค้ง ใบหน้างดงามกระจ่างตา เพราะผมของเธอถูกรวบเอาไว้หลวมๆ เผยให้เห็นหน้าผากนูนเหนือจมูกเล็กเชิดอย่างเด็กรั้นริมฝีปากบางได้รูป ประกอบลงบนใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวนวลที่ถูกปกปิดเอาไว้เพียงเครื่องสำอางบางๆริมฝีปากระบายด้วยลิปกลอสสีชมพูระเรื่อซึ่งจางลงเล็กน้อยเพราะสัมผัสกับแก้วเครื่องดื่มหากยังคงมีร่องรอยหลงเหลือให้เขาได้เห็นจนอยากจะก้มลงไปประกบเสียเดี๋ยวนี้

เธอคนนี้หอมเหมือนกลิ่นดอกไม้หลายชนิดผสมกันอ่อนๆหากไม่คุ้น ฟุ้งกระจายไปทั่วรูปร่างบอบบางหากซ่อนรูป ที่รู้ก็เพราะมือแกร่งของเขาทำหน้าที่ได้ดีอย่างไม่เจตนาโดยการรวบรอบเอวบางของหญิงสาวเอาไว้เพื่อพยุงเธอ และในเวลานี้มือของเขาอยู่สูงขึ้นจนเหนือเอวบางของคนบนตักขึ้นมามากจนน่าหวาดเสียวด้วยประสบการณ์โชกโชนของเขาก็สามารถประเมินขนาดของเธอได้ไม่ยาก

ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนแววตาเรียบเฉยแต่แรกเป็นการมองอย่างเป็นมิตรก่อนที่จะค่อยๆ เพิ่มความหวานฉ่ำราวกับรสชาติของเครื่องดื่มไหมไทย ( Maithai Cocktail ) ที่หวานนำ เจือกลิ่นและรสชาติเฝื่อนลิ้นของแอลกอฮอล์เขาส่งยิ้มหวานให้คนบนตักที่กำลังจ้องดวงตาซึ่งส่องประกายสีน้ำตาลวาววับ หากใสราวกับก้อนน้ำแข็งที่ถูกเติมวิสกี้บางๆและโซดาลงไปในแก้ว คล้ายเครื่องดื่มสุดโปรดของเขา ก่อนที่เสียงนุ่มเสียยิ่งกว่านุ่มจะผ่านริมฝีปากหยักได้รูป

“ไม่เป็นไรครับผมตัวคุณเล็กนิดเดียวเอง คุณกำลังจะไปไหน ไปห้องน้ำใช่ไหมครับ ให้ผมไปเป็นเพื่อนนะครับ”

ทันทีที่เขาพูดคำว่า ‘เพื่อน’ ร่างของคนบนตักก็เริ่ม‘ดราม่า’ อีกครั้งราวกับโดนจี้จุดอ่อนอารมณ์อ่อนไหวเกินกว่าปกติเพราะความเมา และสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดในยามนี้ก็คือ‘เพื่อน’ ที่ยังเดินทางมาไม่ถึงเสียที

“ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

หญิงสาวร้องไห้โฮออกมาเสียงดังจนคนที่สละตักตกใจแกมกังวล เพราะสายตาแทบทุกคู่ของคนที่เดินผ่านมาในโซนนี้กำลังมองตรงมาที่เขาราวกับตั้งคำถามว่าเขาทำอะไรเธอ

“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ” บริกรหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาถามอย่างร้อนรนหากยังคงความสุภาพ

“ไม่มีครับ เธอแค่ดื่มมากไปหน่อยเท่านั้นผมจะพาเธอไปห้องน้ำก่อน ขอบคุณมากครับ”

ชายหนุ่มตอบอย่างสุภาพหากหนักแน่นด้วยมาดซีอีโอจนคลายข้อสงสัยของใครๆ กับความจริงที่ว่าทั้งคู่ไม่ได้มาด้วยกัน แล้วบริกรหนุ่มก็พยักหน้ารับก่อนเดินกลับไปทำงานของตัวเอง

“คุณเดินไหวไหม ให้ผมช่วยพยุงคุณไปห้องน้ำนะครับ” เสียงนุ่มของคนที่สละตักก้มลงมาถามจนเกินความหมายของคำว่าชิดราวกับเขาตั้งใจให้ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงบนใบหูเล็กๆ ของเธอ

หญิงสาวไม่ตอบเพราะยังสะอื้น และอารมณ์อ่อนไหวเกินไปด้วยฤทธิ์ของเครื่องดื่มในปริมาณมากเมื่อท้องว่างเธอจึงเมาเร็วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเป็นเพราะคนที่เธอนัดคือณัฐ รู้ดีเสมอมาไม่ว่าเธอจะเมาเละเทะแค่ไหนเธอก็จะปลอดภัย...

คนบนตักซุกใบหน้ามอมแมม เลอะคราบน้ำตากับอกแกร่งของชายหนุ่มและตอนนี้เสื้อโปโลแบรนด์เนมสีขาวของเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาอุ่นๆ จนเจ้าของเสื้อรู้สึกได้และในวินาทีนั้นเองชายหนุ่มถึงกับชะงักไปเพราะความรู้สึกแปลกใหม่บางอย่างกำลังวิ่งเข้ามาสัมผัสที่ตรงหัวใจของเขาอย่างจังมันรุนแรงและรวดเร็วมาก

เขากับเธอเป็นแค่เพียงคนแปลกหน้าหากทำไมตัวเขาถึงได้รู้สึกเกินความหมายของคำว่าดีมากและมีความสุขเช่นนี้ที่เธอหล่นลงมาบนตักแล้วสะอื้นซบอกแกร่งของเขาแนบชิด ความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในใจเงียบๆซึ่งมันมีพลังมหาศาลอย่างที่ตัวเขาเองไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกของพลังเช่นนี้มาก่อน

มือแกร่งลูบหลังเธอเพื่อปลอบประโลมช้าๆโดยไม่รู้สาเหตุที่เธอเสียใจ อาจเพราะอกหักอย่างที่เขาคิดสั้นๆ ในตอนแรกหากมันไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะถามในเมื่อมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ

คนที่สละตักกว้างยังคงทำหน้าที่คอยลูบหลังเพื่อปลอบประโลมเธอไปเรื่อยๆจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงเสียงสะอื้นค่อยๆ เบาลง เบาลง เบาลงและเบาลง

“ขะ ขะ ขอบคุณมากค่ะ ฉันไม่เป็นไรแล้วเสื้อของคุณเลอะหมดเลย”

แม้สติยังไม่ครบร้อย หากเธอเองยังคงมารยาทที่ดีเสมอเมื่อมีใครช่วยเหลือหรือแสดงความมีน้ำใจ การพูดขอบคุณคือมารยาทที่พึงกระทำเสียงเล็กที่เคยกังวานกลับเบาราวกระซิบ เพราะเกรงใจที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้เสื้อของเขาเปียกชุ่มเพราะน้ำตามากมายแม้เธอเองยังไม่รู้มาก่อนว่ามาจากไหน

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเองถ้าคุณอยากจะเล่าที่มาของความเสียใจ ผมเป็นผู้ฟังที่ดีนะครับ” คนที่ตั้งใจจะไม่ถามในตอนแรกต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นดวงตาดำขลับคู่งามเปลี่ยนเป็นแดงช้ำและเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่เพิ่งจะหยุดไหลไม่ปฏิเสธว่าในวินาทีนี้เขาอยากจะรู้ต้นเหตุแห่งความเสียใจของเธอ หวังเพียงว่าบางทีตัวเขาอาจจะพอช่วยถ่ายเทให้มันเบาบางหรือทุเลาลงไปได้บ้าง

“ขอบคุณมากค่ะที่คุณกรุณา ฉันมีเรื่องผิดหวังเสียใจนิดหน่อยและคงจะทำใจได้เร็วๆนี้” เสียงเล็กเพิ่มระดับความกังวานขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง หากเทียบไม่ได้กับช่วงเวลาปกติเธอบอกเขาเพียงแค่นั้นเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องในครอบครัว และเพื่อนรัก คนที่กำลังเดินทางมาคือคนที่เธอควรจะเล่าให้ฟังมากกว่าชายหนุ่มรูปงามกลิ่นกายหอมและแปลกหน้าคนนี้

“ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน ฉันจะไม่ไหวแล้วจริงๆคงไม่ดีแน่ ถ้าเพื่อนจะมาเห็นฉันในสภาพมอมแมมแบบนี้” เธอเงยหน้าบอกเขาเกือบชิด

“ผมกำลังคิดว่าจะไปห้องน้ำอยู่พอดีเราเดินไปด้วยกันนะครับ ให้ผมช่วยพยุงคุณ” เขาก้มลงมาบอกเธอเกือบชิดเช่นกัน

ร่างบางพยักหน้าแทนคำตอบ เพราะสภาพของเธอในเวลานี้การมีใครสักคนเดินไปด้วยคงจะดีกว่าอย่างแน่นอน ซึ่งเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเซล้มลงตรงไหนหรืออาจจะต้องทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณ ‘ผีจินโทนิก’ ออกจากร่างบนตักของใครสักคนเป็นแน่

กางเกงตัวใหม่ก็ไม่มีติดมือมาเปลี่ยนเพราะมันไม่อยู่ในแผนที่เธอคาดการเอาไว้ และพิสูจน์คำพูดที่ว่า‘out of control’ นั้นเป็นเช่นไร กระทั่งสติไม่ครบสมบูรณ์เช่นนี้สมองของหญิงสาวยังคงรอบคอบ เธอห่วงทั้งตัวเองและสวัสดิภาพของคนอื่นได้อย่างน่าชื่นชม

แล้วร่างสูงใหญ่ก็เดินประคองร่างบางที่มีความสูงเพียงแค่อกของเขาแนบชิดทั้งคู่เดินตามหาสัญลักษณ์เด็กผู้หญิงนั่งและเด็กผู้ชายยืนเพื่อทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณพร้อมกันแต่ทว่าเหตุผลแท้จริงแล้วเขาเพียงแค่เดินมาเป็นเพื่อนเธอเท่านั้นโดยเขายืนรอที่หน้าห้องน้ำผู้หญิงอยู่นาน จนกระทั่งเห็นเธอเดินกลับออกมาด้วยใบหน้าที่ดีว่าตอนเข้าไป

“เรียบร้อยแล้วนะครับ คุณโอเคหรือยัง”ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้แล้วก้มลงถามเสียงนุ่ม

“ฉันโอเคแล้วค่ะ ขอบคุณคุณมากๆคุณคงจะไม่ถือสาฉันในคืนนี้” ร่างบางเงยหน้ามองตอบเขาเสียงเบา เธอเห็นรอยยิ้มและประกายจากดวงตาที่เธอสาบานได้ว่าเห็นความหวานเกินความหมายของคำว่าหวานไปไกลลิบของเขาแล้วได้ยินเสียงนุ่มอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีมาก”

ชายหนุ่มตอบเพียงแค่นั้นก่อนที่ทั้งคู่จะเดินกลับมายังโต๊ะของตัวเองโดยไม่มีบทสนทนาใดๆ อีกเลย

“ไอ้ปัญย์ โทษทีว่ะฉันสายเกือบสองชั่วโมง ประชุมติดพัน”

ณัฐขอโทษขอโพยเพื่อนรักก่อนเป็นอันดับแรกเมื่อมาถึงร้านหลังจากที่ปัญชลีย์กลับมานั่งลงบนที่นั่งของตัวเองได้ไม่ถึงห้านาที เขาวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ

“หกแก้วเชียวเหรอวะปัญย์ แล้วนี่แกกินอะไรรองท้องแล้วหรือยังแกเมามากแล้วแน่ๆ แล้วเราจะคุยกันรู้เรื่องไหมล่ะวะเนี่ย” ชายหนุ่มรูปหล่อผิวขาวซีดบ่นเพื่อน

“รู้เรื่องสิวะฉันไม่ได้มาว สักหน่อยก็แกมาช้าฉันดื่มรอแก เก๋จินอีกแก้ว!”

คนเมาบ่นพลางตะโกนเรียกบริกรหนุ่มคนสนิทเสียงอ้อแอ้ซึ่งความจริงแล้วอาการเมาไม่ได้หายไป หากเพียงแค่หยุดการทำงานไปชั่วขณะเท่านั้น โดยตอนที่เธอได้รับการปลอบโยนจากใครคนหนึ่งซึ่งเธอลืมแม้กระทั่งถามชื่อเสียงเรียงนามของเขา แล้วเบอร์โทรศัพท์บ้านหรือเบอร์มือถือที่สามารถติดต่อได้สะดวกเธอลืมไปหมดเลย คนที่ตอนนี้เธอเห็นว่ายังคงนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิม และมองตรงมายังโต๊ะของเธออย่างตั้งใจด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก หากสามารถทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบ เสียวสันหลังวาบ เพราะเห็นสายตาคมเฉียบสีน้ำตาลคู่นั้นส่งแรงอาฆาตและอำมหิตเขาจ้องเขม็งไปยังแผ่นหลังเพื่อนรักของเธอ

‘แน๊ตตี้...แกกำลังจะโดนฆาตกรรมแน่แล้ววว!’นั่นคือสายตาที่เธออ่านออกในเวลานี้แม้จะนั่งห่างกันแค่เพียงสองโต๊ะ

“พอแล้วแก ฉันแบกแกกลับไม่ไหวนะโว้ยปัญย์ถึงฉันจะตัวโตมาดแมนและรูปหล่อแค่ไหน แต่แกก็รู้ดีนี่วะว่าฉันไม่ชอบแบกชะนี”

เสียงทุ้มของณัฐห้ามเพื่อนดื่มต่อ โดยใช้วิธีปากคอเราะร้ายและถ้าหากจะต้องแบกปัญชลีย์กลับออกไปในสภาพนี้จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาเพราะคนเป็นเพื่อนออกจะรูปร่างเล็กและเบา

เมื่อโดนเพื่อนห้าม หญิงสาวก็เริ่มดราม่าอีกครั้งหลังจากลืมการร้องไห้ไปแล้ว

“แกไม่รักฉันแล้วแน๊ตตี้ แกไม่รักฉันฮือๆๆๆๆๆๆๆ โฮๆๆๆๆๆๆๆๆ”

“นั่นยังไงล่ะทีนี้ก็เพราะฉันรักแกไงปัญย์ ฉันถึงห้ามแกดื่ม แล้วคืนนี้เราจะคุยกันรู้เรื่องไหมวะ เดี๋ยวไอ้ปุณมันบ่นฉันอีกที่พาพี่สาวมันมาเมาเละเทะแบบนี้”

เท่านั้นเองเมื่อณัฐเอ่ยชื่อน้องสาวซึ่งเป็นต้นเหตุของนัดครั้งนี้ เธอก็เริ่มร้องไห้หนักกว่าในครั้งแรกอีกครั้ง

เหมือนภาพถูกฉายซ้ำเหมือนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่เมื่อณัฐเดินอ้อมไปนั่งฝั่งเดียวกับคนที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก เขานั่งลงบนที่ว่างเพียงน้อยนิดแล้วดึงตัวเพื่อนรักเข้ามากอดลูบหลังเธอเบาๆ ปลอบโยน แล้วเธอก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เพื่อนรักฟัง ณัฐพยักหน้ารับรู้ก่อนพูดปลอบอย่างตั้งใจและอ่อนโยนผิดกับช่วงเวลาปกติ เขาลูบผม ลูบไหล่แล้วผละร่างของหญิงสาวออกเช็ดน้ำตาให้เธอ เพราะเขาเข้าใจถึงหัวอกของความผิดหวังที่พี่สาวคนหนึ่งพึงจะรู้สึกได้ในสถานการณ์เช่นนี้เขาเข้าใจเธอดีทุกอย่างเพราะเป็นเพื่อนรักกันมานานหลายปี

หากใครเลยจะรู้ว่าภาพนั้นทำให้ใครอีกคนที่นั่งถัดไปและไม่ใกล้มากพอที่จะได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ว่าเป็นเพียงแค่เพื่อนปลอบเพื่อนเท่านั้นเพราะเสียงเพลงบรรเลงสุดคลาสิคของศิลปินเอก Wolfgang Amadeus Mozart (โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท )ที่เปิดคลออยู่ในร้านจะตีความจากภาพที่เขาเห็นสั้นๆ เหมือนการพิมพ์ข้อความที่ถูกประลองความสั้นและต้องการเป็นผู้ชนะ

‘งอนแฟน แฟนง้อ อ้อนแฟน ดีกัน’เมื่อตีความไปเองสั้นๆ เขาก็โกรธจัดจนทนดูภาพบาดตาบาดใจตรงหน้าแทบไม่ได้ทำให้เขาเผลอพูดกับตัวเองเบาๆ โดยไม่เข้าใจแม้กระทั่งตัวเอง

“เธอทำให้เราโกรธ เธอต้องรับผิดชอบ”

และไม่ทันที่ความกรุ่นโกรธจะจางไปกับกลุ่มคนที่เบาบางดวงตาคมเฉียบของเขาต้องทนดูหนุ่มสาวคู่หนึ่งประคองกันออกไปด้วยท่าทางซึ่งใครๆ ก็คงจะมองออกและตีความได้ว่าเป็นคู่รักกัน

ไวเท่าความคิด ร่างสูงใหญ่และสง่างามยกมือแกร่งเรียกบริกรหนุ่มมาเช็คบิลเขาวางธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทสองใบลงบนถาดโดยไม่รอรับเงินทอน ทั้งที่เขาดื่มแค่วิสกี้โซดาไปเพียงสองแก้วเท่านั้นเพราะมัวแต่นั่งมองภาพหนุ่มสาวตรงหน้าตลอดเวลา ชายหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตรก่อนก้าวขายาวๆ ออกไปหน้าร้าน หากเขายังทันเห็นภาพบาดตาบาดใจ ซึ่งชายหนุ่มร่างสูงเพรียวผิวขาวซีดคนนั้นดันหลังหญิงสาวของเขาขึ้นรถยนต์ญี่ปุ่นคันเล็กสีดำอย่างทุลักทุเลแล้วเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับ จากนั้นก็ขับรถยนต์ออกไปอย่างรวดเร็ว

‘เธอไปแล้วววววว’

นั่นคือประโยคที่อยู่ในใจของเขา ราวกับภาพยนตร์ในซีนสโลโมชั่นที่จะต้องกดรีเพลย์ดูภาพซ้ำหลายๆครั้ง ในใจของเขาตอนนี้อยากจะเปลี่ยนตัวแสดง โดยเขาจะเป็นผู้กำกับและเขียนบทเสียเองเปลี่ยนตัวคนที่ดันหลังเธอจากไอ้หนุ่มรูปหล่อที่กระแดะไปทางเกาหลีคนนั้นแล้วแทนที่ด้วยชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ลูกครึ่งไทยฮ่องกงอย่างเขา...

“ปุณ พี่ปัญย์ค้างคอนโดฯ พี่คืนนี้นะเมามาก เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นแล้วจะไล่กลับ ไม่ต้องเป็นห่วง”

ณัฐโทรบอกปุณทริกตามความต้องการของปัญชลีย์ที่ยังมีสติมากพอและกลัวว่าน้องสาวจะเป็นห่วง

“ค่ะพี่ณัฐ ฝากดูแลพี่ปัญย์ด้วยนะคะพี่ณัฐคงรู้แล้วว่าที่พี่ปัญย์เป็นแบบนี้ก็เพราะปุณ” ปุณทริกเอ่ยเสียงเบาผ่านโทรศัพท์

“ไม่หรอกปุณ อย่าคิดมากน่า พี่ปัญย์แค่อยากหาเพื่อนดื่มที่ไว้ใจได้เวลาเมาเละเท่านั้นเองคงหาโอกาสฉลองที่จะมีหลานไง” ณัฐซึ่งวันนี้ต้องทำหน้าที่เป็นผู้ปลอบสองพี่น้องเอ่ยเสียงนุ่มหากร่าเริงเพราะเขาไม่ต้องการให้คนปลายสายเปลี่ยนโหมดกลายเป็นดราม่าเช่นเดียวกับพี่สาวของเธอ

“พรุ่งนี้พอปัญย์สร่างเมาเดี๋ยวพี่ไล่กลับบ้านเอง”

“ค่ะพี่ณัฐ”

คนที่ทำหน้าที่ปลอบบอกน้องสาวเพื่อนก่อนวางสายไป

เพียงชั่วครู่รถยนต์ญี่ปุ่นคันเล็กก็มาถึงคอนโดฯหรูของณัฐ ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านที่ทั้งคู่เพิ่งออกมา

“ปัญย์ๆ ถึงแล้ว แกเดินดีๆ สิยะ ไหนบอกว่าไม่เมาไงรู้ไหมฉันเหนื่อยนะ แกอย่าทิ้งน้ำหนักตัวลงมาสิวะ มันหนักฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ชอบแบกชะนี ดีนะที่ฉันไม่ขับรถไป ไม่งั้นให้ขับกลับมาสองคัน กับแบกชะนีขี้เมาอีกหนึ่งนางฉันต้องตายแน่ๆ ฉันไม่ถนัด” ระหว่างที่หิ้วปีกเพื่อนรักขึ้นคอนโดฯ อย่างทะลักทุเล คนที่สติครบร้อยเพราะไม่ได้ดื่มก็บ่นจนน้ำลายแห้งไปหมดแล้ว

“แน๊ทตี้ ฉันปวดฉี่” คนที่ดื่มจัดเอ่ยเสียงอ้อแอ้บอกเพื่อน

“เดี๋ยวสิวะ ลิฟต์มาแล้ว แกอั้นก่อนอย่าราดตรงนี้นะโว้ย อายเขา หูย..มีหนุ่มหล่อน่ากินมากๆ กำลังมองตรงมาทางนี้พอดีแกๆ เขาอาจจะสนใจฉันก็ได้นะ ดูสิวะจ้องตาเขม็งเลย!”

ณัฐพูดไปพลางทั้งลากทั้งหิ้วปีกร่างบางของเพื่อนรักแต่ไม่วายชม้ายชายตามองหนุ่มหล่อซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ กำยำ สง่างาม และมีรัศมีโดดเด่นอย่างผู้นำแม้จะอยู่ในชุดลำลองก็ตามแล้วเขาก็ตั้งใจส่งสัญญาณเพื่อบ่งบอกอะไรบางอย่างไปทางนั้น หากทำไมไม่มีสัญญาณใดๆที่เขาคาดหวังไว้ตอบกลับมาหรือว่าฝีไม้ลายมือของเขาจะตกเสียแล้วคราวนี้

“หรือว่าเขาจะชอบไอ้ปัญย์วะ ในสภาพนี้อ่ะนะ”ณัฐถามเองตอบเองเบาๆ

“มาต่อกันที่นี่ซะด้วยที่แท้ก็อยู่คอนโดฯ เดียวกับเรานี่เอง”

ชายหนุ่มตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกโกรธจัดและไม่พอใจมากกับภาพที่เห็นเช่นนี้เขากำลังรู้สึกเหมือนเห็นภาพตำตาว่าภรรยาสุดที่รักกำลังไประเริงกับชู้รักของเธอ โดยคนเป็นสามีอย่างเขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการยืนมองอยู่ห่างๆ ด้วยอารมณ์ที่เกินความหมายของคำว่าเดือดและโกรธจัดจนเขาอยากจะเข้าไปกระชากแขนเธอออกมา ยกเธออุ้มพาดบ่าพาเข้าห้องแล้ววางเธอลงบนเตียงของเขาเท่านั้น !!!

คืนนั้นทั้งคืนชายหนุ่มที่กลับมาถึงห้องนอนไม่หลับเพราะภาพนางฟ้าขี้เมาซึ่งตกลงมาบนตักของเขา เธอกอดและซบหน้าร้องไห้อยู่กับอกแกร่งของเขาแล้วสลับกับภาพที่เธอทำเช่นเดียวกันกับชายหนุ่มอีกคน และชายหนุ่มคนนั้นก็เป็นคนพาเธอมาค้างที่คอนโดฯแห่งนี้ เขาเองพยายามเดินตามไปด้วยซ้ำ เหมือนกำลังกลายร่างเป็นนักสืบ แต่ไม่ทันจะได้รู้ว่าทั้งคู่ไปพลอดรักกันอยู่ที่ห้องไหน...

“ถึงจะรู้แล้วยังไงวะ ก็แค่ผู้หญิงขี้เมาแล้วชอบให้แฟนเอาใจ”

ชายหนุ่มคิดและตัดสินจากภาพเอาเองด้วยอารมณ์ปั่นป่วนเขากรุ่นโกรธอย่างไม่มีเหตุผลและไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน หากมันคงจะไม่ใช่อาการ ‘Love at first sight’ หรือรักแรกพบ ที่ทำให้เขากำลังหึงหน้ามืดอยู่ตอนนี้อยู่หรอกนะ!


************************************************

มีวางจำหน่ายแล้วในรูปแบบ E-BOOK ค่ะ ตามลิ้งก์ค่ะ

//www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=9020


ส่วนรูปเล่มรอฉบับรีปริ้นครั้งที่ 3ใครสนใจอยากได้เล่ม "ดวงใจมัท" ในรูปเล่ม แจ้งเข้ามาได้ที่ E-Mail : wikky7ster@gmail.com ค่ะ

หรือแฟนเพจ 





Create Date : 26 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 3 ธันวาคม 2557 16:45:02 น. 0 comments
Counter : 555 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wikky_78
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add wikky_78's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.