Bloggang.com : weblog for you and your gang
ปฎิรูป-ถอยอย่างไรไม่ให้ล้ม
***
WHITESPACE.CO.LTD
whitespace
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [
?
]
เมื่อไม่มีสิ่งใดจริง จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
.....อ่านเรื่องพุทธบารมี
.....ลีลาสมเด็จพุฒาจารย์โต
.....ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา-หลวงปู่มั่น
Google..
.....................พ่อของแผ่นดิน...
Group Blog
บ่นเป็นเรื่องกับอวกาศสีขาว
*if *U* lonesome
ห้องรับแขก
ไปทำเกษตรกันเต๊อะ
.. ธรรมะที่ไม่ควรมองข้าม
...รักษาจิตฟื้นพลังชีวิต
.. ลู ก แ ก้ ว .. ลู ก หิ น ..
O_o* พูดคุยทักทาย *o_O
เรื่องสั้นเรื่อยเปื่อย
เรื่องสั้นรักระหว่างหญิง
เรื่องชุด เทวดาประจำกาย
เรื่องชุด Without Love-Scene
นิยาย The PraYer
<<
ตุลาคม 2551
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
28 ตุลาคม 2551
มรรคแห่งการภาวนา โพธิปักขิยธรรม 37
All Blogs
มรรคแห่งการภาวนา โพธิปักขิยธรรม 37
นิพพานธาตุ นามธรรมที่ไม่มีอารมณ์
ธรรมกาย พุทธภาวะแห่งนิพพาน
นิพพานที่ไหน
ธรรมกาย สภาวธรรมของกายผู้ดับขันธ์ห้า(พระอรหันต์)
เหตุแห่งความจริงสองประการ
กรรมในการล่วงเกินพระอริยะเถระ
มรรควิถีของพระอริยะ
ชั่วโมงเดียวก็บรรลุธรรมได้
พระอริยะเป็นอย่างไร.. พระอรหันต์เป็นอย่างไร.. ??
ปัจจุบันเป็นเวลาต้องคำนึงถึงที่สุด
มาถอดกายทิพย์กันดีกว่า
เป็นหมอมือเปล่า ด้วยพลังกายทิพย์
= พ ลั ง ก า ย ทิ พ ย์ =
การส่งจิตออกนอกตัวเป็นอย่างไร
อย่างไร จึงชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรม
มโนภาพจริง ..รับรู้ด้วยภาพภายในใจหรือภาพในผนังตา..
ไม่ต้องมีฌาน ก็มีปาฏิหาริย์รู้ใจคนได้
ฤทธิ์ทางใจ เหตุใดแพ้อุปาทาน
. . . กำลังสมาธิในการบรรลุธรรม
* * * การทรงฌาน
นิมิตที่ต้องการให้เกิดในสมาธิ และนิมิตที่เกิดเองขณะมีสมาธิ
กสิณและนิมิตยอดนิยม
นิมิตภาพพระ พุทธานุภาพสุดหยั่งคาด
ว่าด้วยกสิณ 10 และนิมิตต่างๆ
ศรัทธา ปัญญา จริตผลต่อการฝึกฝนสมาธิ
ตอนจบกันสักที เรื่องเหรียญที่ระลึกพระราชพิธีสมโภชน์รัชมังคลาภิเษก
เหรียญที่ระลึก เนื่องในวาระพระราชพิธีสมโภชรัชมังคลาภิเษก
โศกนาฏกรรม พระนางเรือล่ม
โอม มหา.. พญาครุฑา
พลานุภาพแห่งคำว่า "พอเพียง"
แสงสีของดวงจิต (aura)
ทดสอบพลังออร่าของตัวเอง
ออร่า บอกโรคภัย
Friends' blogs
suparatta
อัญชา
กาแฟสอง
วลีวิไล
สีน้ำฟ้า
สายลมอิสระ
Johann sebastian Bach
เจ้าชายไร้เงา
เมื่อตื่นขึ้นมาหัวใจก็ยังมีรัก
lcelcy
คนตาพิการ
คนเลวที่แสนดี
tu111
วชิรา
puyka
Webmaster - BlogGang
[Add whitespace's blog to your web]
Links
โรงเรียนสัตยาไสของดร.อาจอง
www.sala-sara.net
เดิน :: วิถีแห่งสติ
putushon.blogspot
ฟังเพลงพระราชนิพนธ์
jitwiwat.org/index.htm
ทำอย่างไรเมื่องานเขียนถูกลอก
BlogGang.com
มรรคแห่งการภาวนา โพธิปักขิยธรรม 37
มรรคแห่งการภาวนา โพธิปักขิยธรรม 37
อวกาศสีขาว
. . . . . ห ล า ย ค น ที่เข้ามาสนใจธรรมะ ไม่ว่าจะโดยเหตุใดก็ตาม ต้องเรียนรู้เรื่องอริสัจสี่ คือ ทุกข์-เหตุแห่งทุกข์-ความดับทุกข์-และหนทางของการดับทุกข์
ผู้เห็นทุกข์ในทุกข์ที่เป็นอยู่ ย่อมแสวงหนทางดับทุกข์ ทางดับทุกข์นั้นอาจมีกรรมฐานหรือการปฏิบัติให้เลือกตามจริต เพื่อให้เข้าถึงอริยมรรคอย่างถ่องแท้ ซึ่งมีทั้งสมถะวิปัสสนากรรมฐาน คือฝึกสมาธิเพื่อยกเข้าสู่ภูมิวิปัสสนา หรือวิปัสสนากรรมฐานเพื่อเจริญอินทรีย์ห้าพละห้าและอริยมรรคไปพร้อมกันทั้งหมด
วิปัสสนาหรือการภาวนา ที่นิยมเรียกว่าการเจริญสติภาวนาโดยสติปัฏฐานสี่ กาย-เวทนา-จิต-ธรรม คือ การตามรู้รูปนามตามความเป็นจริง การรู้เรื่องภายในนี้ จึงจะเข้าใจการทำงานของกายและจิต ว่าแท้จริงเป็นอย่างไร มีเหตุปัจจัยสืบเนื่องกันอย่างงไร ทุกข์ที่เกิดจากขันธ์ห้าที่เวียนว่ายในสังสารสามารถสิ้นสุดลงโดยอริยมรรคได้อย่างไร
เหตุเพราะร่างกายมนุษย์เรามีแค่กายกับจิต แม้จะใช้ฐานสี่เป็นที่เกาะของสติ แต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้ก็คือเรื่องจิตนี่เอง ถึงร่างกายจะมีส่วนที่ทำงานโดยอัตโนมัติก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ก็ทำงานโดยจิต ล้วนมีผลมาจากจิต เมื่อแยกการทำงานของรูปกับนามได้ ก็สามารถทราบกลไกการทำงานของจิตได้ ว่ากายนี้ประดุจซากศพที่ทำงานอยู่ได้ก็เพราะมีจิตครอง แม้นนักปฏิบัตจะเห็นว่ากาย(รูปขันธ์)นี้ไม่ใช่เรา แต่การจะทราบว่าจิตสังขาร(นามขันธ์สี่ เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ) นี้ไม่ใช่เรา ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคุ้นเคยกับ อารมณ์-ความจำ-ความนึกคิด-ความรู้สึก อันเป็นนามธรรมที่เป็นเหตุแห่งตัวตนเป็นเราเป็นเขามาตลอด
ถึงกระนั้นเมื่อมีปัญญาทราบว่าจิตสังขารไม่ใช่เรา เป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ปรุงแต่งสร้างภพชาติเพราะมีธรรมชาติความคิดนึกของอัตตาจึงก่อให้เกิดอาสวะกิเลส นักปฏิบัติที่เพียรปฏิบัติจึงพยายามจะปฏิบัติการภาวนาให้ถูกวิธี เพื่อจะเข้าใจการทำงานของจิตโดยไม่ให้หลงทิศหลงทาง เพราะหากเป็นดังนั้น นอกจากไม่ทำให้สิ้นทุกข์ ยังเพิ่มทุกข์ใหม่ๆ เข้ามาเสริมอัตตาให้มากขึ้นไปอีก โดยการตามรู้รูปและนามด้วยการเจริญสติ เพื่อให้เห็นการทำงานของจิตตามจริงว่ามีธรรมชาติแท้อย่างไร
แต่ก็มักมีคนสงสัยว่า ตามที่ตนเจริญสติภาวนาอยู่นั้นถูกทางหรือผิดทางอย่างไร แล้วการภาวนาที่ถูกทางเป็นอย่างไร เพราะบางคนยิ่งภาวนายิ่งเห็นตนคล้ายคนวิกลจริต บ้างก็หลงลำพองกับธรรมจนรู้สึกคนรอบข้างนั้นสู้ตนไม่ได้ บ้างก็รู้สึกตนมีความสุขกับการภาวนาโดยการทึกทักเอา พอเจอสถานการณ์บางอย่าง ก็จะไม่สามารถโกหกตนได้อีก เพราะทุกข์นี้รุมเร้า จนกว่าจะยอมเผชิญกับมันอย่างจริงจัง ไม่เสแสร้งหลอกตัวเอง ขนาดตกเป็นทาสกิเลสไปถึงไหนต่อไหนแต่ยังเข้าใจว่าตนมีสติ เป็นหุ่นเชิดของกิเลสลำพองตัวว่าเป็นผู้สูงไปโดยไม่เห็นเท่าทัน ไม่รู้ตัวว่าหลุดจากความไม่มีอคติตัวตนหรือใจที่เป็นกลางไปเสียแล้ว
การภาวนา หรือเจริญสติตามหลักสติปัฏฐานสี่ ให้เห็นรูปนามตามจริงนั้น ยากหรือง่ายอย่างไร จะทราบได้อย่างไร ว่าการเจริญสติตามรู้รูปนามหรือเห็นกายเห็นความคิดนั้นปฏิบัติถูกหรือผิดหลัก
หากจะตอบง่ายๆ เข้าใจกันได้ง่ายๆ การภาวนาให้ถูกหลัก ก็คือ ภาวนาแล้วสามารถทำให้เกิดความรู้แจ้งได้หรือบรรลุธรรมได้นั่นเอง
การภาวนาอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ต้องเลือกสถานที่ เวลา แต่จงมีสติอยู่กับตัวให้ต่อเนื่องได้มากที่สุด เมื่อสติสัมปชัญญะบริบูรณ์เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เสมือนการเก็บกักน้ำในโอ่ง หากเก็บแล้วรั่วมากก็ไม่มีวันเต็ม หากเก็บได้มากกว่าที่รั่วมันก็เต็มได้
หรือหากตอบตามขั้นตอนธรรมอันเกิดขึ้นกับผู้เจริญสติปัฏฐานสี่อย่างถูกวิธี ก็คือ การเกิดธรรมตามหลักโพธิปักขิยธรรม 37
ธรรมที่เป็นมรรคของการภาวนา คือธรรมอันเป็นฝ่ายในทางให้เกิดความรู้แจ้ง
โพธิปักขิยธรรม 37 มรรคแห่งการภาวนา
ด้วยธรรม 37 ประการนี้ ในพระวินัยปิฎกได้แสดงไว้โดยจำกัดความว่าเป็นมรรคของการภาวนา คือการหมั่นเจริญในทางที่ทำให้หลุดจากอาสวะกิเลส ทำให้เกิดความรู้แจ้งในโลกุตตรธรรม โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประกอบด้วย สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘
ถ้าหากเกิดมีความสงสัยว่า การภาวนาที่เจริญมานั้นถูกทางไหมหนอ ง่ายๆ เลย คนที่ภาวนาถูกทางตามหลักสติปัฏฐานสี่แล้ว สัมมัปปธานสี่ ต้องเกิดตามทันทีทุกขณะการภาวนา คือรู้ว่าจิตนี้มีอกุศลมีกุศลอย่างไรแล้ว กิเลสต้องหมั่นละและกุศลต้องหมั่นกระทำ ศีลห้าจึงตั้งมั่นอยู่ได้ และถ้ามีอิทธิบาทสี่พร้อมด้วย อินทรีย์ห้าพละห้าย่อมมีกำลัง เรียกว่ากระทำโพชฌงค์เจ็ดให้บริบูรณ์ รอแต่ให้อริยมรรคเจริญพร้อมสมังคีได้ทุกที่ทุกเวลา ..การเจริญสติปัฏฐานก็คือการเจริญอริยมรรคนั่นเอง หากกำหนดสติได้ต่อเนื่องได้มากเท่าใด อริยมรรคก็พร้อมสมังคีได้มากเท่านั้น
การภาวนาหากทำไม่ถูกหลัก แทนที่จะลดละกิเลสอัตตา กลับเพิ่มกิเลสอัตตาขึ้นมา ต้องมีความเข้าใจว่าการตามดูจิต คือรู้จิตที่มี ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มีสติรู้พร้อมในจิต หากยังไม่สามารถหยุดความคิดแต่ก็สามารถหยุดวาจาที่ไม่ควร หากยังไม่สามารถหยุดวาจาก็สามารถหยุดการกระทำที่ไม่ควร ไม่ใช่การตามรู้เฉยๆ แล้วปล่อยให้มันออกมาเป็นวาจาและการกระทำที่ไม่ควร รู้แบบนั้นไม่เรียกว่ารู้ตัวรู้สติ ไม่ถูกหลักภาวนา ดีไม่ดีคิดว่าตนรู้ธรรมมากจนเทียวสั่งสอนคนอื่นในสิ่งที่ตนทำไม่ได้ แบบนี้นับว่ายังไม่เป็นไรนัก แต่หากถ้าขนาดหนักก็สอนธรรมผิด จนก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อส่วนรวมได้
โพธิปักขิยธรรม 37 ธรรมอันเป็นฝ่ายแห่งการตรัสรู้ คือ
สติปัฏฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
สัมมัปปธาน 4
สังวร ปะหาน ภาวนา อนุรักษ์
อิทธิบาท 4
ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
อินทรีย์ 5
สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา (เป็นใหญ่)
พละ 5
สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา (มีพลัง)
โพชฌงค์ 7
สติ ธรรมวิจัย วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
อริยมรรคมีองค์ 8
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
สติปัฏฐาน 4
คือการกำหนดฐานที่ตั้งของสติ พิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามจริง ตามธรรมชาติที่มันเป็นอยู่จริง ด้วยการตามรู้อาการต่างๆ ที่แสดง โดยไม่เข้าไปคิดปรุงจนหลุดจากสภาวะเดิมของมัน
1.พิจาราณากาย (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) มีสติรู้เห็นตามจริงว่าเป็นแต่เพียงร่างกาย เมื่อไม่เข้าไปยึดความเป็นเราเขา สัตว์บุคคลตัวตนก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น กำหนดลมหายใจหรืออานาปานสติ กำหนดรู้ทันอิริยาบถหรือการเคลื่อนไหว หรือพิจารณาเห็นร่างกายของตนโดยสักว่าเป็นธาตุ พิจารณาซากศพในระยะเวลาต่างๆ ให้เห็นสภาพร่างกายว่ามีความเน่าเปื่อยผุพังไปอย่างไร (นวสีวถิกา)
2.พิจารณาเวทนา (เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน) มีสติรู้ชัดเวทนาอันเป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆก็ดี ทั้งที่เป็นสามิส และเป็นนิรามิสที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ
3.พิจารณาจิต (จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน) มีสติรู้ชัดจิตของตนว่ามีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมอง หรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่าน หรือ เป็นสมาธิ ฯลฯ ตามที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ
4.พิจาณาธรรม (ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน) คือ มีสติรู้ชัดธรรมทั้งหลายอาทิ นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 อายตนะ12 ธาตุ18 โพชฌงค์ 7 อริยสัจจ์ 4 ว่าเป็นอย่างไร เกิดขึ้น เจริญขึ้น และดับไปได้อย่างไร ตามที่เป็นจริงของมันอย่างนั้นๆ
สัมมัปปธาน 4
1.สังวรปธาน เพียรระวังหรือเพียรปิดกั้น ในบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
2.ปหานปธาน เพียรละ หรือเพียรกำจัด ในบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
3.ภาวนาปธาน เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด ในกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น
4.อนุรักขนาปธาน เพียรรักษา ในกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่น และให้เจริญยิ่งขึ้นไป
อิทธิบาท 4
1.ฉันทะ ความพอใจใฝ่ใจจะทำสิ่งนั้น ต้องการหรือปรารถนาจะทำให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้นไป
2.วิริยะ ความขยันหมั่นเพียรในสิ่งนั้นด้วยความมุ่งมั่น เอาธุระ ไม่ย่อท้อกับอุปสรรคที่เกิดขึ้น
3.จิตตะ การดำเนินไปด้วยความตั้งมั่นในสิ่งที่ทำ ไม่ฟุ้งซ่าน ตั้งจิตอุทิศตัวอุทิศใจให้แก่สิ่งที่ทำ
4.วิมังสา ความแยบคายไตร่ตรอง ใช้ปัญญาพิจารณาหาเหตุผล และตรวจสอบในสิ่งที่ทำนั้นว่าหนักหรือเบาเกินไป มีการวัดผล ปรับปรุงแก้ไข
อินทรีย์ 5 พละ 5
1.ศรัทธา 2.วิริยะ 3.สติ 4.สมาธิ 5.ปัญญา
ส่วนที่เรียกว่า อินทรีย์ เพราะความหมายว่าทำให้แก่กล้า เป็นใหญ่ในการกระทำหน้าที่แต่ละอย่างของตน คือ สัทธินทรีย์หรืออินทรีย์คือศรัทธา วิริยินทรีย์หรืออินทรีย์คือวิริยะ สตินทรีย์ หรืออินทรีย์คือสติ สมาธินทรีย์หรืออินทรีย์คือสมาธิ ปัญญินทรีย์หรืออินทรีย์คือปัญญา
ส่วนที่หมายถึงพละ เพราะหมายถึงว่าเป็นพลัง ทำให้เกิดความมั่นคง คือ สัทธาพละ วิริยะพละ สติพละ สมาธิพละ และ ปัญญาพละ
โพชฌงค์ 7
1.สติสัมโพชฌงค์ ความระลึกได้ รู้พร้อมอยู่
2.ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ ความสอดส่องค้นธรรมพิจารณาโดยแยบคาย
3.วิริยะสัมโพชฌงค์ ความเพียรพยายามไม่ท้อถอย
4.ปิติสัมโพชฌงค์ ความอิ่มเอมใจ พอใจ
5.ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ความสงบนิ่งเย็นผ่อนคลายกายใจ
6.สมาธิสัมโพชฌงค์ ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วแน่ในอารมณ์
7.อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ความมีใจเป็นกลางปล่อยวางเพราะเห็นตามเป็นจริง
อริมรรคมีองค์ 8 (มัชฌิมาปฏิปทา)
หนทางอันจะนำไปสู่ความดับทุกข์ (ทุกฺข-นิโรธคามินีปฎิปทา-อริยสจฺจ) เรียกว่า "ทางสายกลาง (มชฺฌิมา ปฏิปทา) เพราะงดเว้นจากข้อปฏิบัติที่สุดโต่ง 2 ประการ นั่นคืออริยมรรคมีองค์แปด(อริยอฏฐคิกมคฺค) โดยข้อปฎิบัติขวาสุดอย่างแรก ได้แก่ การแสวงหาความสุขด้วยกามสุข อันเป็นของต่ำเป็นของธรรมดา เป็นทางของสามัญชน ข้อปฎิบัติซ้ายสุดอีกอย่างหนึ่ง คือการแสวงหาความสุขด้วยการทรมานตนเองด้วยการบำเพ็ญทุกกรกิริยาในรูปแบบต่างๆ อันเป็นการทรมานร่างกาย เป็นโทษและไม่เกิดผลดี
อริยมรรค ฝ่ายปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ฝ่ายศีล คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ฝ่ายสมาธิคือ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
1.สัมมาทิฏฐิ
เห็นชอบ แจ้งในสัจธรรมต่างๆ ตามจริง มีโยนิโสมนสิการ เป็นประดุจหางเสือของอริยมรรค หากมีการพิจารณาเห็นชอบในธรรมทั้งหลายได้ลึกซึ้งมากเท่าใด อริยมรรคที่เหลือก็ยิ่งเป็นสัมมามากเท่านั้น
2 สัมมาสังกัปปะ
คิดชอบ คิดในเรื่องกุศล คือ 1.ความตรึกปลอดจากกาม 2.ความตรึกปลอดจากพยาบาท ประกอบด้วยจิตเมตตา ไม่ขัดเคืองเพ่งโทษ 3.ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียนด้วยกรุณาไม่คิดร้ายประทุษร้าย
3.สัมมาวาจา
วาจาชอบ มีวจีสุจริต 4 คือ 1.ไม่พูดเท็จ 2.ไม่พูดส่อเสียด 3.ไม่พูดหยาบ 4. ไม่พูดเพ้อเจ้อ
4.สัมมากัมมันตะ
การงานชอบ มีกายสุจริต 3 คือ 1.ไม่ฆ่าสัตว์ 2.ไม่ลักทรัพย์ 3.ไม่ประพฤติผิดในกาม
5.สัมมาอาชีวะ
อาชีพชอบ ประกอบอาชีพสุจริตไม่เป็นมิจฉาอาชีพ (ค้าขายไม่ชอบธรรม 5 อย่าง) 1.ค้าขายเครื่องประหาร 2.ค้าขายมนุษย์ 3.ค้าขายสัตว์สำหรับฆ่าเพื่อเป็นอาหาร 4.ค้าขายน้ำเมา 5.ค้าขายยาพิษ
6.สัมมาวายามะ
เพียรชอบ คือเพียรในสัมมัปปธานสี่ รวมไปถึงมีอิทธิบาทสี่
7.สัมมาสติ
สติชอบ สามารถเจริญสติปัฏฐานสี่ได้
8.สัมมาสมาธิ
สมาธิชอบ จิตตั้งมั่นเข้าถึงฌานได้โดยไม่หลงทาง สามารถเจริญปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน
ภาวนาสูตร
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=2593&Z=2628&pagebreak=0
[๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่หมั่นเจริญภาวนา แม้จะพึงเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า
" โอหนอ ขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น " ก็จริง แต่จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่หลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่นข้อนั้นเพราะเหตุไร กล่าวได้ว่า เพราะไม่ได้เจริญ เพราะไม่ได้เจริญอะไร เพราะไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
เปรียบเหมือนแม่ไก่มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่เหล่านั้น แม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ดี แม่ไก่นั้น แม้จะเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่าโอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปากเจาะกะเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดี ก็จริง แต่ลูกไก่เหล่านั้นไม่สามารถที่จะใช้ปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปากเจาะกะเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะแม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ดี ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนา แม้จะไม่พึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ก็จริง แต่จิตของภิกษุนั้นย่อมหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร พึงกล่าวได้ว่า เพราะเจริญ เพราะเจริญอะไร เพราะเจริญสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เปรียบเหมือนแม่ไก่มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่เหล่านั้นแม่ไก่กกดี ให้ความอบอุ่นเพียงพอ ฟักดี แม้แม่ไก่นั้น แม้จะไม่ปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปากเจาะกะเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดี ก็จริง แต่ลูกไก่เหล่านั้นก็สามารถใช้เท้าหรือจะงอยปากเจาะกะเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะไข่เหล่านั้นแม่ไก่กกดี ให้ความอบอุ่นเพียงพอ ฟักดี ฉะนั้น ฯ
เปรียบเหมือนรอยนิ้วมือ รอยนิ้วหัวแม่มือที่ด้ามมีด ย่อมปรากฏแก่นายช่างไม้หรือลูกมือนายช่างไม้ แต่เขาไม่รู้อย่างนี้ว่า วันนี้ด้ามมีดของเราสึกไปเท่านี้เมื่อวานสึกไปเท่านี้ หรือเมื่อวานซืนสึกไปเท่านี้ ที่จริง เมื่อด้ามมีดสึกไปเขาก็รู้ว่าสึกไปนั่นเทียว ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนาอยู่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้จะไม่รู้อย่างนี้ว่า วันนี้ อาสวะของเราสิ้นไปเท่านี้ เมื่อวานสิ้นไปเท่านี้ หรือเมื่อวานซืนสิ้นไปเท่านี้ แต่ที่จริง เมื่ออาสวะสิ้นไป ภิกษุนั้นก็รู้ว่าสิ้นไปนั่นเทียว ฯ
เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่เขาผูกหวาย ขันชะเนาะแล้วแล่นไปในน้ำตลอด ๖ เดือน ถึงฤดูหนาว เข็นขึ้นบก เครื่องผูกประจำเรือตาก ลมและแดดไว้ เครื่องผูกเหล่านั้นถูกฝนชะ ย่อมชำรุดเสียหาย เป็นของเปื่อยไปโดยไม่ยาก ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนาอยู่ สังโยชน์ย่อมสงบระงับไปโดยไม่ยาก ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
(จบสูตรที่ ๗)
Create Date : 28 ตุลาคม 2551
Last Update : 28 ตุลาคม 2551 19:14:56 น.
0 comments
Counter : 2187 Pageviews.
Share
Tweet
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.