ปฎิรูป-ถอยอย่างไรไม่ให้ล้ม*** WHITESPACE.CO.LTD

whitespace
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




เมื่อไม่มีสิ่งใดจริง จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
.....อ่านเรื่องพุทธบารมี
.....ลีลาสมเด็จพุฒาจารย์โต
.....ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา-หลวงปู่มั่น

Google..
.....................พ่อของแผ่นดิน...
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2549
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
27 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add whitespace's blog to your web]
Links
 

 
เมื่อมนุษย์คิด มนุษย์จึงทำ(เอง)ไม่ได้

บ่นเป็นเรื่องกับอวกาศสีขาว


โห ใครเห็นหัวข้อบทความบทนี้ คงงงแย่ว่าอวกาศสีขาวคราวนี้ จะมาไม้ไหน??
เพราะมีแต่จะคิดกันว่า มนุษย์เจ้าแห่งนักคิดนักจินตนาการ แถมยังมีความสามารถเพียงพอที่จะสร้างสรรค์ให้สิ่งที่จินตนาการออกมาเป็นจริง เพราะมนุษย์นั้นฉลาดล้ำเลิศกว่าสัตว์ใดๆ บนโลก (แต่กลัวมนุษย์ต่างดาวอิ๋บอ๋าย) มีความรู้และพัฒนาการทางสมองอย่างที่ไม่มีสัตว์ใดๆ เทียบเท่า ก็เพราะมีมันสมองล้ำเลิศที่จะคิดนั่นเอง (แล้วทำไมบอกว่าตัวเองมาจากลิง??เอากับเค้าซิ.. แถมเอาสมองลิงมากินเป็นเมนูเปิบพิสดาร ฆ่าบรรพบุรุษกิน ทำแบบนี้อนันตริยกรรมกันพอดี..-_-“)

ความนึกคิดนั้นน่าอัศจรรย์ ความคิดที่เป็นระเบียบจะนำพาให้มนุษย์เราหาหนทางของการเข้าไปค้นพบถึงสิ่งที่คิดนึกตรึกตรองอยู่ ที่เรียกว่าค้นพบหรือประจักษ์แจ้ง(intuition) เส้นทางความรู้ซึ่งแตกแขนงออกมาจากการเริ่มคิดเริ่มสังเกต ไม่ว่าจะเป็นด้านดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ แพทยศาสตร์ ไปถึง สังคมการเมือง เศรษฐศาสตร์ สภาพแวดล้อม จิตวิทยา ฯลฯ ถูกถ่ายทอดสืบต่อกันมา ความคิดต่อยอดจากคนรุ่นหนึ่งมายังคนอีกรุ่นหนึ่ง โดยเฉพาะการค้นพบทางด้านวิทยาศาสตร์นั้น เปิดเผยความลึกลับและเงื่อนงำที่มาของมวลหมู่มนุษยชาติได้อย่างน่าฉงน ที่ว่ามนุษย์เรามาจากลิงนั่นแหละ จำได้บ่.. -_-“

จนกระทั่งถึงวันที่ศาสตร์ต่างๆ นานัปการมาพบกันในยุคโลกาภิวัตน์ (โลกไร้พรมแดน) ไม่ใช่โลกาพินาศนะ เอ๊ะ.. หรือว่าใช่.. ฮั่นแน่.. รู้นะว่าคิดอะไรอยู่!! โดยเฉพาะหลังการปฏิวัติอุสาหกรรมเป็นต้นมา ทำให้มนุษย์ค้นพบกรรมวิธีถลุงทรัพยากรทางธรรมชาติมาใช้ ความรู้ต่างๆ ถูกนำมาใช้เพื่อการพัฒนาความเจริญ วิทยาการสมัยใหม่ก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว และกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพราะทรัพยากรทางธรรมชาติถูกนำมาใช้อย่างไร้ขีดจำกัด กว่าจะค้นพบว่ามันมีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ ทั้งยังก่อภัยพิบัติเพราะโลกต้องปรับสภาพให้อยู่รอดโดยรักษาสภาวะสมดุลของตัวเองที่สูญเสียไปเอาไว้ มนุษย์ก็รักความสบายจนเกินจะยอมถอยหลังกลับไปอยู่ในจุดที่ควรอยู่ รอรับความหายนะท่ามกลางความสบายทางวัตถุที่ทิ้งไม่ลง เพราะนับถือวัตถุและเงินยิ่งกว่าพระเจ้าไปซะแล้ว *^_^*

วิทยาศาสตร์ตอบสนองวิทยาการได้จริงเสียด้วยซิ เมื่อมนุษย์บินไม่ได้เองก็ต้องมีเครื่องบิน เมื่อโทรจิตกันไม่เป็นผลก็ต้องมีมือถือ เมื่อหายตัวไปไหนไม่ได้สักทีก็ท่องไปในเน็ตนั่นแหละดี ^0^ เมื่อสุขในฌาน(บรมสุข)ไม่ได้ก็เสพตัณหาจากรอบๆ ตัวเอาก็แล้วกัน ฯลฯ แต่จะได้จริงแบบที่เป็นจริงอย่างที่มนุษย์ควรเป็นอยู่จริงหรือเปล่า นี่เป็นสิ่งที่ศาสนามีคำตอบอยู่แล้ว ไม่ว่าศาสนาไหนก็บอกว่าสิ่งเหล่านี้มนุษย์ทำเองได้โดยไม่ต้องพึ่งวัตถุด้วยซ้ำ พุทธศาสตร์เรียกสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ว่าอภิญญา ซึ่งความสามารถทางฤทธิ์เป็นเพียงเรื่องปกติไม่ใช่เรื่องพิสดารอันใด เพียงแต่เข้าใจว่ามันไม่ใช่สิ่งพ้นทุกข์ แม้จิตเราทำได้จริงแต่ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่.. หากไร้ปัญญากลับจะเป็นโทษไม่ต่างจากวิทยาการเหล่านั้น

พอเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่อวกาศจะสื่อขึ้นมาบ้างแล้วมังคะ อวกาศกำลังหมายถึงว่า เพราะการคิดนอกตัว แน่นอนทำให้เราตอบสนองความต้องการทางกายได้จริง แต่เป็นจริงชนิดที่ทำให้มนุษย์ลืมความสามารถเดิมของจิตตัวเองไปด้วย เคยสงสัยกันไหม ว่าทำไมมนุษย์ต้องการแสงสว่าง ต้องการการสื่อสารอย่างรวดเร็ว แม่แต่การไปหากันก็ทำได้เพียงคิด ฯลฯ หรือสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราทำได้อยู่ก่อนแล้ว ไม่ได้มีจินตนาการใหม่อะไรหรอก จิตเราเองมีแสงสว่างอย่างประมาณไม่ได้อยู่แล้ว มีตาที่สามที่มีศักยภาพในการมองเห็นชนิดตาหยาบเทียบไม่ได้แม้กะผีก มีการสื่อสารที่เร็วกว่าแสง ฯลฯ แต่แทนจะทำได้เอง ก็กลับคิดๆๆ คิดโดยใช้วัตถุเข้ามาแทนจิตทุกอย่าง และในที่สุด เราก็กลายเป็นทาสวัตถุห่างจากตัวตนตัวเดิมๆ ของเราออกไปทุกที สิ่งที่เคยทำได้ ก็ทำไม่ได้อีกต่อไป เพราะมาจากรากฐานการคิดออกนอกตัวตลอดเวลา อ้าว ไม่ได้มาแบบไสยศาสตร์นะคะ จริงๆ เรื่องของจิตก็เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ดีๆ นี่เอง ทั้งเรื่องการคิดและการหยุดคิด(ปรุงแต่ง)นั้น เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง

และเพราะการคิดของเหล่านักวิชาการผู้มีความรู้ ทั้งยังเป็นการคิดซึ่งยังไม่ถึงที่สุด แต่กลับถูกขโมยมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของนักลงทุน สุดท้ายโลกก็ลงเอยเป็นอย่างนี้ ความคิดที่เกิดขึ้นหนึ่งคิดย่อมกระทบอีกความคิดหนึ่งๆ ต่อไปไม่หยุดหย่อน ทุกความคิดมีสองด้านเสมอ อยู่ที่เราจะนำความรู้นั้นมาใช้ในด้านดีหรือร้าย ทุกศาสนาไม่ปฏิเสธวิทยาการความเจริญ หากนำมาใช้ในด้านบวกย่อมเป็นประโยชน์ แต่กลับมีคัมภีร์พยากรณ์ถึงความหายนะต่อสังคมที่เจริญ นั่นคงเพราะทราบอยู่แล้วว่ากิเลสของมนุษย์สุดจะควบคุมได้ ยิ่งมีโอกาสคิดหาผลประโยชน์ส่วนตัวไม่ใช่ส่วนรวม ความเลวร้ายก็ยิ่งออกมาเริงร่า และถึงกาลอวสานด้วยความเจริญทางวัตถุที่เสื่อมทางด้านจิตใจ

เรื่องความคิดนี่ หากคิดเป็นมันก็จะเข้าสู่กระบวนการหยุดคิดและค้นพบความจริงในระดับต่างๆ ได้เหมือนกัน หลายคนอาจแปลกใจว่าสิ่งที่กังวลคิดไม่ออก บางทีทำไมไปคิดออกตอนจิตสงบ การคิดออกในสภาวะแบบนั้น อวกาศขอยืนยันว่าดีกว่าการคิดออกในขณะที่ยังเต็มไปด้วยกิเลสอย่างมาก เช่นคิดว่าจะชนะคู่แข่งอย่างไร การคิดออกแบบทำลายคู่แข่งด้วยกลวิธีต่างๆ นั้นเป็นการคิดออกแบบไม่ถูกทาง แต่หากจิตสงบลงสักหน่อย การคิดออกจากความคิดซึ่งถูกระบบไปถึงหลักความจริงที่ควร ว่าการชนะแบบใสสะอาดนั้นจะต้องทำอย่างไร ทั้งยังเคารพในสิทธิต่อกันอีกต่างหาก ซื้อใจกันได้เลยก็มี... อธิบายเป็นนามธรรมไปหรือเปล่า.. เอาเป็นพอเข้าใจนะคะ

แล้วถ้าหากมนุษย์เจริญทั้งทางด้านวิทยาการและด้านจิตใจด้วยควบคู่กันไปด้วยล่ะ?? น่าคิด(อีกแล้ว)ว่า การคิดที่มีศักยภาพแม้จะยังไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการหยุดคิด(ในระบบความจริงไม่มีการคิดแบบปรุงแต่ง) แต่โลกสมมุติคงจะตระการตาไม่น้อย เอ๊ะ.. หรือว่าจะเป็นยุคพระศรีอาริย์..??-_-“ (แต่ใครจะรู้การหยุดคิดนั้นมหัศจรรย์กว่ามาก เป็นการรับรู้ความจริงตรงหน้าโดยตัดกระบวนการปรุงไปเองจากการคิดนึก เอ้ยยย.. นี่ไม่ใช่บทความเชิญชวนให้ไปนั่งสมาธิหน้ายอดผาสูง หากไม่ได้บรรลุธรรมจะยอมตายแบบโยคี นะจ๊ะ.. ค่ะ อย่าเข้าใจผิด..)

สรุปกันแบบฉบับเต็มนะคะ เมื่อมนุษย์คิด มนุษย์จึงทำเองไม่ได้ และเพราะมนุษย์คิดปรุงแต่งออกไปนอกตัวตลอด จึงจมอยู่ในโลกจินตนาการแห่งสมมุติที่ตัวเองสร้างขึ้นมา ไปไม่ถึงโลกแห่งความจริงเสียที และถึงแม้จะอยู่ในโลกวิทยาการที่ก้าวหน้าขนาดไหน ก็ล้วนเป็นการพึ่งพิงวัตถุที่มีแต่จะหมดไป พร้อมกับจุดจบของเหล่ามนุษย์เอง

30 ม.ค.49

......................................

ถ้าหายไปนาน แสดงว่าอยู่โรงพยาบาล(บ้า)
จะใกล้วาเลนไทน์ ต้องมาเขียนเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับเขาเสียหน่อย จะทำได้หรือเปล่า??



Create Date : 27 พฤษภาคม 2549
Last Update : 5 ตุลาคม 2549 17:46:03 น. 0 comments
Counter : 453 Pageviews.
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.