ปฎิรูป-ถอยอย่างไรไม่ให้ล้ม*** WHITESPACE.CO.LTD

whitespace
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




เมื่อไม่มีสิ่งใดจริง จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
.....อ่านเรื่องพุทธบารมี
.....ลีลาสมเด็จพุฒาจารย์โต
.....ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา-หลวงปู่มั่น

Google..
.....................พ่อของแผ่นดิน...
Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
3 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add whitespace's blog to your web]
Links
 

 
โอม มหา.. พญาครุฑา

*

มิ ต ร ภ า พ ต่ า ง มิ ติ ... หรือเปล่า ??


โอม ... มหา .. พญาครุฑา
อวกาศสีขาว


... โ ด ย ป ก ติ การแขวนพระนั้นก็เพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัย เพื่อการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามพระสัมมาสัมพุทธะและครูบาอาจารย์ต่างๆ แต่คนที่แขวนส่วนใหญ่กลับแขวนเพื่อให้คุณพระคุ้มครอง แคล้วคลาดปลอดภัยบ้าง มีบารมีมหานิยมด้านต่างๆ แล้วแต่ความเชื่อ

ส่วนการแขวนองค์เทพเทวาต่างๆ เหมือนจะง่ายกว่า หากต้องการบารมีหรือการช่วยเหลือจากเทพ เพราะท่านยังข้องอยู่ในโลกสมมุติอย่างเราๆ ...อย่าหาว่ามาแปลกเลยค่ะคราวนี้ คือมันมีเหตุนำพามาให้เล่า ไม่ใช่จู่ๆ ก็ไป search เรื่องพญาครุฑ มาแปะให้อ่านกันเฉยๆ ..

เรื่องพญาครุฑนี่ไม่เคยอยู่ในหัวสมองมาก่อน จนไม่กี่วันนี้ จู่ๆ ก็ฝันว่ามีคนในฝันเป็นผู้หญิงมาทักว่า มีองค์ครุฑมาอยู่ด้วย ไอ้ที่เคยฝันแม่นน่ะก็พอมีค่ะ แต่ที่ฝันเลอะเทอะก็มีไม่น้อย แต่ฝันใกล้เช้า จำได้แม่นยำแบบนี้ ก็พอมีเค้าลางให้เดาว่าจะจริง ? หรือฟุ้งซ่านเรื่องอื่นๆ แล้วปรุงให้กลายมาเป็นเรื่องนี้ไปได้อย่างไร ท่าจะเป็นเอามากแล้วซิเรา ทั้งที่ไม่เคยคิดเรื่องครุฑมาก่อนเลยก็ตาม

ก็เกิดอาการงงค่ะ.. แต่ก็ลองไปเดินหาดูครุฑว่าจะพอมีให้บูชาหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าอยากได้นัก เพราะเกรงจะฝันเป็นตุเป็นตะมากกว่า แล้วที่สำคัญ.. เคยได้ยินว่าครุฑนี้แรงนัก จะมีไว้ตามสถานที่ราชการ หรือสถานสำคัญของประเทศ ก็เลยดูเล่นๆ ชมเพลินๆ ไม่ได้ถูกใจ ไม่กล้าเอาเข้าบ้าน กลัวเดี้ยง...ง่ะ

... แต่วันที่ไปเดินหาครุฑ พอกลับมาบ้าน ไหงไปเอาเหรียญเสด็จพ่อ (รัชกาลที่ 5) ที่เพิ่งได้มาไม่กี่วันมาดูก็ไม่ทราบ คือเหรียญนี้เห็นแล้วชอบมาก เป็นเหรียญชุบเงิน น่าเสียดายที่ไม่ใช่เงินแท้ ได้มาหลายวันก่อน... ก็ไม่ได้คิดอะไร.. วางเอาไว้เฉยๆ ความที่ตลับเปิดยาก เลยทำเหรียญกระดอนตกมาเห็นด้านหลังเหรียญเป็นพญาครุฑค่ะ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ยักจะเคยสังเกตว่าด้านหลังเป็นครุฑ ทั้งที่ดูหน้าหลังหลายครั้งแล้วก็ตาม มาเห็นเอาวันที่ตามหากันนี่เอง หรือจะติงว่า เรานี่... มันไม่เคยสังเกตอะไรกะเขาบ้างเลย เลยดลใจให้รู้ว่าท่านไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่หลังเหรียญเสด็จพ่อนี่แหละ แสดงว่ามากะเสด็จพ่อ.. แหงม... ป้าดโธ่... - - “

แต่ความที่ยังกลัวว่าจะเป็นเรื่องอุปาทาน ก็เลยไปค้นพระเครื่องทั้งหมดและเหรียญที่ระลึกต่างๆ ที่มีในบ้านทั้งหมดมาดู ว่าจะมีด้านหลังเหรียญเป็นภาพครุฑบ้างหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีค่ะ อ้าว.. แบบนี้ก็ลางๆ แล้ว ว่าองค์ครุฑในฝันเป็นท่านใด แล้วท่านก็คงอยากให้รู้ว่าท่านอยู่ไหนหรือเปล่า จะได้ไม่ต้องไปเดินตามหาอีก... ให้เมื่อยตุ้ม

เหรียญค่อนข้างใหญ่ ใหญ่กว่าเหรียญสิบปัจจุบัน ชอบที่รัชกาลที่ 5 สวยมาก เห็นแล้วถูกใจ ไม่ได้คิดว่าจะนำมาใส่ค่ะ เพราะไม่ชอบใส่พระหรือเหรียญองค์ใหญ่ พอมาฝันแบบนี้ ก็เลยร้อยลงสร้อยไหมมาไว้ใส่บ้างเป็นบางครั้ง เผื่อท่านอยากไปร่อนกะเราบ้าง... บางวันที่ไม่ได้ไปไหนๆ เอง

เรื่องแบบนี้ ไม่ควรงมงายค่ะ ฟังแล้วต้องพิจารณา คงจะเล่ากันไม่มาก เพราะแค่เรื่องพญาครุฑที่หาก็อปมาให้อ่านก็ค่อนข้างมากอยู่ ให้ความรู้ไม่น้อย เกี่ยวกับพญาครุฑ-ตราราชการ-และวัฒนธรรมความเชื่อตามศาสนาฮินดูของไทยแต่โบราณกาล ผู้เขียนเดิมคงไม่ว่ากันที่ก็อปมา ขอขอบคุณที่ให้ความรู้ ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการตอบจากกระทู้ที่มีคนถามเข้ามาค่ะ ไม่ก็อปมาก็อาจถูกลบไปตามกาลเวลาได้ ลิงค์ไปเหลือแต่หน้าต่างว่างเปล่า เดี๋ยวคนอ่านจะยิ่งหงุดหงิด

..................

ครุฑ : พญานกแห่งเวหา สัญลักษณ์แทนองค์พระมหากษัตริย์
ม.ค. ๔๘


* ข้อมูลจาก คุณอมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

.....แม้คนส่วนใหญ่จะได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับครุฑมาบ้างแล้ว แต่เชื่อว่าคงมีคนอีกไม่น้อยที่ยังไม่ค่อยทราบประวัติของครุฑ ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่องของ “ครุฑ” จากส่วนหนึ่งในสารานุกรมของเสฐียรโกเศศ ปราชญ์เอกของไทยมาเล่าให้ฟัง ดังนี้

ครุฑ เป็นสัตว์หิมพานต์ในเทพนิยายที่เราค่อนข้างคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะเป็นสัญลักษณ์ที่เราพบเห็นกันอยู่เสมอตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าธนาคาร ห้างร้านบางแห่ง บนธนบัตร บนเรือพระที่นั่ง ฯลฯ โดยเฉพาะในสถานที่หรือทรัพย์สินทางราชการ วรรณกรรมหลายเรื่องก็มีการกล่าวถึงครุฑ เช่น เรื่องอุณรุท แต่ที่คนไทยรู้จักกันดีก็คือครุฑในเรื่องกากี

ครุฑ เป็นพญานกที่มีรูปครึ่งมนุษย์ ครึ่งนกอินทรีย์ เป็นเทพพาหนะของพระวิษณุ เป็นโอรสของพระกัศยปมุนีและนางวินตา พระกัศยปมุนีเป็นฤษีที่มีอำนาจมากตนหนึ่ง นอกจากนางวินตาแล้ว ก็ยังมีนางกัทรู ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาเป็นภริยาอีกคน โดยนางกัทรูได้ขอพรจากสามีให้มีลูกจำนวนมาก และต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวินตาขอลูกเพียงสององค์และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา ต่อมานางได้คลอดลูกออกมาเป็นไข่สองฟอง คือ อรุณ และ ครุฑ ซึ่งต่อมาอรุณได้ไปเป็นสารถีของสุริยเทพ ส่วนครุฑเมื่อแรกเกิดว่ากันว่า มีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกระพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกทีใด ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ

ครั้งหนึ่งนางกัทรูและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าที่เกิดคราวกวนเกษียรสมุทร โดยว่าใครแพ้ต้องเป็นทาสอีกฝ่ายห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าม้าสีขาวแต่นางกัทรูทายว่าสีดำ ซึ่งความจริงม้าเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรูใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแซมอยู่เต็มตัวม้า นางวินตาไม่ทราบในอุบายเลยยอมแพ้ ต้องเป็นทาสและถูกขังอยู่ในแดนบาดาลถึงห้าร้อยปี ทำให้ครุฑและนาคต่างก็ไม่ถูกกันนับแต่นั้น ครั้นต่อมาครุฑได้ทราบความจริงถึงอุบายของนางกัทรู แต่เพื่อช่วยแม่ให้เป็นอิสระ ครุฑจึงได้ทำความตกลงกับพวกพญานาคที่ต้องการเป็นอมตะว่าจะไปนำน้ำอมฤตที่อยู่กับพระจันทร์มาให้

ครั้นแล้วก็บินไปสวรรค์ คว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์และทวยเทพติดตามมา และเกิดต่อสู้กันขึ้น แต่ทวยเทพทั้งหมดแพ้ครุฑ ยกเว้นพระวิษณุเท่านั้นที่ไม่แพ้ แต่ก็แย่ไปเหมือนกัน ดังนั้นต่างจึงทำความตกลงหย่าศึก โดยพระวิษณุหรือพระนารายณ์สัญญาว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะและให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าขอเป็นพาหนะของพระวิษณุ และเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอันเป็นที่สูงกว่า นี่เองจึงเป็นที่มาว่าเหตุใดครุฑจึงเป็นพาหนะของพระวิษณุ

ส่วนหม้อน้ำอมฤตนั้น พระอินทร์ได้ตามมาขอคืน ครุฑก็บอกว่าตนต้องรักษาสัตย์ที่จะนำไปให้นาคเพื่อไถ่มารดาให้พ้นจากการเป็นทาส และให้พระอินทร์ตามไปเอาคืนเอง เมื่อครุฑเอาน้ำอมฤตไปให้นาคก็วางไว้บนหญ้าคา (และว่าได้ทำน้ำอมฤตหยดบนหญ้าคา ๒-๓หยด ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคล ใช้ประพรมน้ำมนต์ ส่วนงูเมื่อเห็นน้ำอมฤตบนหญ้าคาก็ไปเลียกิน ด้วยความไม่ระวัง จึงถูกคมหญ้าคาบาดกลางเป็นทางยาว งูจึงมีลิ้นแตกเป็นสองแฉกสืบมาจนทุกวันนี้) ส่วนนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดีปล่อยนางวินตาแม่ครุฑให้เป็นอิสระ ขณะพากันไปสรงน้ำชำระกายเพื่อจะมากินน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็นำหม้อน้ำอมฤตกลับไป ทำให้นาคไม่ได้กิน และยิ่งเพิ่มความเป็นศัตรูกับครุฑยิ่งขึ้น

และจากการที่พระอินทร์ได้ให้พรครุฑจับนาคเป็นอาหารได้นั้น ทำให้พญานาควาสุกรีเกรงว่านาคจะสูญพันธุ์ จึงตกลงจะส่งนาคไปให้ครุฑกินที่ชายหาด วันหนึ่งถึงคราวของนาคหนุ่มชื่อสังขจูทะ จะต้องไปเป็นเหยื่อ แม่ก็ตามมาด้วยความรักและอาลัย ขอรัองอย่างไรก็ไม่ยอมกลับ วิทยาธรตนหนึ่งชื่อว่า ชีมูตวาหน เป็นผู้มีใจบุญสุนทานตัดแล้วซึ่งโลกียวิสัย ได้มาพบ ก็สอบถามได้ความแล้ว จึงเสนอตัวเองปลอมเป็นนาคให้ครุฑกินแทน ปรากฏว่าขณะที่ครุฑกำลังกินนาคปลอม แทนที่จะแสดงความเจ็บปวด ชีมูตวาหนกลับแสดงความปลื้มใจจนครุฑผิดสังเกตว่าต้องผิดตัวแน่ แต่สอบถามก็ไม่ยอมรับ ขณะนั้นเองนาคสังขจูทะก็ได้มาแสดงตัวว่าตนคือเหยื่อของครุฑ

เมื่อทราบความจริง ครุฑก็เกิดความสำนึกบาป และซาบซึ้งในความเสียสละของชีมูตวาหน จึงวิ่งเข้าไปในกองไฟหมายจะฆ่าตัวตายเพื่อชำระบาป แต่ชีมูตวาหนได้ร้องห้าม และว่าหากจะหยุดทำบาปก็ให้เลิกกินนาคเป็นอาหารต่อไป ครุฑก็เชื่อและได้เหาะไปนำน้ำอมฤตมาประพรมกระดูกนาคที่ตนเคยจิกกินมาแต่กาลก่อน จนนาคทั้งหมดได้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่

ครุฑมีชายาชื่ออุนนติหรือวินายกา โอรสชื่อ สัมปาติหรือสัมพาที และชฎายุ ตามวรรณคดีพุทธศาสนากล่าวว่าครุฑมีขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ ๑๕๐ โยชน์ เวลากระพือปีกสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่ เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นไปได้


ที่อยู่ของครุฑเรียกว่าสุบรรณพิภพ เป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ครุฑมีชื่อเรียกหลายนาม เช่น * กาศยปิ และเวนไตย อันเป็นชื่อสืบมาจากกัศยปและวินตาผู้เป็นบิดามารดา * สุบรรณ หมายถึงผู้มีปีกอันงาม * ครุตมาน เจ้าแห่งนก * สิตามัน มีหน้าสีขาว * รักตปักษ์ มีปีกแดง * เศวตโรหิต มีสีขาวและแดง * สุวรรณกาย มีกายสีทอง * คคเนศวร เจ้าแห่งอากาศ * ขเคศวร ผู้เป็นใหญ่แห่งนก * นาคนาศนะ ศัตรูแห่งนาค * สุเรนทรชิต ผู้ชนะพระอินทร์ เป็นต้น

นอกจากตำนานข้างต้นแล้ว ครุฑยังมีความเกี่ยวข้องกับคนไทยอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะการถือว่าครุฑเป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยก็มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ ดังนั้น ครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น ซึ่งจากการที่เราใช้ “ตราครุฑ” เป็นพระราชลัญจกรสำหรับประทับหนังสือราชการแผ่นดินที่เป็นพระบรมราชโองการ และใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประทับหนังสือราชการแผ่นดินมาแต่โบราณกาล

ต่อมาจึงได้มีการใช้ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วๆไปด้วย เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ ส่วนรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่า “ธงมหาราช” เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ธงมหาราชนี้เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใดแสดงว่าพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น

สำหรับครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงก็มีอยู่ ๓ ลำ * คือเรือครุฑเหินเห็จ เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีแดงยุดนาค * เรือครุฑเตร็จไตรจักรเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีชมพูยุดนาค * และเรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ ๙ เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน

นอกเหนือจากการที่ “ตราครุฑ” ปรากฏในส่วนราชการต่างๆแล้ว ในภาคเอกชนก็สามารถรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราครุฑหรือตราแผ่นดินในกิจการได้ด้วย โดยเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ ๕ ซึ่งเดิมเป็นตราอาร์ม โดยมีข้อความประกอบว่า “โดยได้รับพระบรมราชานุญาต” ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ได้เปลี่ยนตราแผ่นดินเป็นตราพระครุฑพ่าห์

การพระราชทานตรานี้ แต่เดิมถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานตามพระราชอัธยาศัย ผู้ได้รับนอกจากจะเป็นช่างหลวง เช่น ช่างทอง ช่างถ่ายรูป เป็นต้นแล้ว ก็มักจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้ากับราชสำนัก และเป็นประโยชน์ต่อราชการงานแผ่นดิน ปัจจุบันการขอพระราชทานตราตั้งนี้ต้องยื่นคำขอต่อสำนักพระราชวัง เพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ซึ่งตราตั้งนี้ถือเป็นของพระราชทานเฉพาะบุคคล สิทธิรับพระราชทานและการใช้เครื่องหมายนี้จะสิ้นสุดเมื่อสำนักพระราชวังเรียกคืนเนื่องจากบุคคล ห้างร้าน บริษัทที่ได้รับพระราชทานฯตาย หรือเลิกประกอบกิจการหรือโอนกิจการให้ผู้อื่น หรือสำนักพระราชวังเห็นสมควรเพิกถอนสิทธิ

.............................

ครุฑมีจุดกำเนิดเดิมในศาสนาฮินดู เป็นเทพพาหนะของพระนารายณ์

* ข้อมูลจากคอลัมน์ คุณถาม-พายัพตอบ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
พายัพ วนาสุวรรณ เขียนเมื่อ 23 มี.ค. 48

ตำนานครุฑ เป็นคำสอนในส่วนโมกษะธรรม สะท้อนอิทธิพลของพระนารายณ์

จริง ๆ แล้ว ครุฑเป็นเทพที่มีเดชเกินหยั่งถึง แต่ไม่เคยแสดงอิทธิฤทธิ์สูงสุดของตน ด้วยยังไม่เคยพบคู่ศึกที่เหนือกว่า แม้ไร้ศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์ประจำกาย แต่เปี่ยมศิลปะแห่งการเอาชัย รุกรบได้ทุกภพภูมิ อิทธิเวทย์อันหลากหลายมาจากที่แห่งใด และแสงจรัสจ้าเมื่อยามแรกกำเนิดนั้น ขนาดพระอัคนียังต้องยอมรับตลอดมาว่าเดชศักดาแห่งครุฑนั้นเทียมตน

เหตุการณ์เมื่อครั้งบุกขึ้นสวรรค์ช่วงชิงน้ำอมฤต เพื่อนำมาไถ่อิสรภาพให้นางวินตา มารดาจากเหล่านาคนั้น เป็นกระบวนความที่สรุปรวบยอดพญาครุฑได้อย่างดี

กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงถอดความเป็นภาษาไทย ตอนหนึ่งว่า...
“ส่วนการรบแย่งอมฤตครั้งนั้น เหล่าเทพยาดาเตรียมต่อสู้พร้อมแล้ว ไม่ช้าพญานกก็ไปถึง เหล่าเทพยดาเห็นพญานกบินมาแต่ไกล ก็ตกใจอลหม่าน จนเกิดสู้รบกันขึ้นในพวกเดียวกัน ฝ่ายพญาครุฑครั้นบินไปถึงก็กระพือปีกพัดให้ฝุ่นตระหลบไปทั้งอากาศ แล้วเข้าทำร้ายเหล่าเทพยดาด้วยเล็บด้วยปากและด้วยปีก จนเทพยดาได้รับความเจ็บปวดสิ้นฤทธิ์ไปเป็นอันมาก ฝ่ายพระอินทร์เมื่อเห็นฝุ่นตระหลบไปจนไม่เห็นตัวศัตรู ก็ตรัสแก่พระพายว่า ท่านจงพัดให้ฝุ่นกระจายไปโดยเร็วเถิด...

“พระพายได้ยินพระอินทร์ตรัสดังนั้น ก็พัดพาฝุ่นไปหมด เหล่าเทพยดาเห็นตัวพญานกก็พากันเข้าต่อสู้ด้วยอาวุธต่าง ๆ พญานกรบสู้ด้วยอาวุธซึ่งมีอยู่ในตัว คือเล็บ แลปากแลปีก เทพยดาทั้งหลายสู้ไม่ได้ ก็หนีไปตามทิศต่าง ๆ

“ฝ่ายพญานก ครั้นเทพยดาเปิดทางให้แล้ว ก็ตรงเข้าไปยังที่เก็บอมฤต เห็นเพลิงกองล้อมอยู่รอบ เพลิงนั้นมีเปลวร้อนเหมือนหนึ่งจะไหม้พระอาทิตย์เป็นผงได้ พญาครุฑเห็นดังนั้นก็จำแลงกายเป็นนกใหญ่มีปากเก้าสิบเก้าสิบ (8,100) ปาก แล้วบินไปอมน้ำในแม่น้ำซึ่งมีจำนวนเท่าจำนวนปาก กลับมาดับไฟที่ล้อมอมฤตอยู่นั้นได้

“ครั้นไฟดับแล้ว พญานกก็แปลงกายเป็นนกสีทอง ตรงเข้าจะไปถือเอาอมฤต พบจักร ๆ หนึ่งซึ่งคมเหลือหาที่เปรียบ จักรนั้นหมุนอยู่มิได้หยุด แลย่อมจะตัดกายผู้พยายามจะลักอมฤตให้ขาดไปได้ พญานกแลเห็นดังนั้น ก็แปลงกายเห็นนกตัวเล็กที่สุด แล้วโจนลอดช่องซึ่งเห็นในจักรนั้นเข้าไปด้วยความเร็ว ครั้นลอดพ้นจักรไปแล้ว ยังพบนาคสองตัวมีแสงเหมือนแสงไฟ มีลิ้นเหมือนฟ้าแลบ พ่นไฟพิษออกจากปาก แลมีตาอันไม่กระพริบ ผู้ใดเข้าไปให้นาคทั้งสองเห็นได้ด้วยตา ผู้นั้นย่อมจะเสียชีวิตไปในทันที พญาครุฑเมื่อเข้าไปพบนาคก็กระพือปีกให้เกิดฝุ่นเข้าตานาคทั้งสอง แล้วเข้าฉีกนาคเป็นท่อนเล็กท่อนน้อยไป”

กระทั่งพระนารายณ์ต้องมาร่วมต้าน และตรงเข้าขวางปิดทาง ขณะเดียวกันก็ฉงนว่า เหตุใดครุฑซึ่งชิงอมฤตได้แล้วกลับไม่กลืนกินทันที ความข่มใจที่หนักแน่นนั้นเพื่อจุดประสงค์ใด เมื่อได้รู้ความจริง จึงสรรเสริญประทานพร

พรที่ครุฑต้องการคือ
“ข้าพเจ้าขออยู่สูงกว่าพระองค์ ขอเป็นผู้ไม่มีเวลาตาย แลไม่มีเวลาเจ็บ แม้ไม่ได้กินอมฤต และข้าพเจ้าขอถวายพรแก่พระองค์พรหนึ่งเช่นกัน”

พระนารายณ์จึงตอบว่า
“ขอให้ท่านเป็นพาหนะของข้า ร่วมแบกรับภารกิจอันยิ่งใหญ่ ขอให้ท่านสถิตย์อยู่ที่ยอดเสาธงของข้า เพื่อที่ท่านจะได้อยู่สูงกว่าข้า”

เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นพันธกิจชั่วนิรันดร์ระหว่างครุฑกับพระนารายณ์

มีการใช้รูปครุฑแทนองค์พระมหากษัตริย์ของไทยมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามความเชื่อในลัทธิเทวราชที่ว่าพระมหากษัตริย์คือพระนารายณ์อวตารลงมาในโลกมนุษย์ โดยมีครุฑเป็นราชพาหนะ

หากมองผ่านรายละเอียดทางรูปธรรมของตำนาน จนเห็นเพียงเงาร่างของนกแล้ว จะพบว่าทุกอารยธรรมในโลกมีตำนานสูงส่งด้วยความหมายทางเดียวกันของนกอยู่ด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับพันธกิจโดยตรงจากพระเจ้า เป็นผู้นำสาร หรือเป็นผู้นำพา

เป็นไปได้ว่า ความคิดของผู้คนไม่ว่ายุคสมัยใด ล้วนเทิดค่าต่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน จนในด้านกลับเสมือนเป็นการลดทอนสิ่งที่อยู่ต่ำและใช้ชีวิตติดดินหรือใต้ดินไป

วิถีที่อยู่ติดพื้นคือ “โลกียะ” การบินได้คือ “โลกุตระ” เปรียบเสมือนการปฏิเสธโลกียวิสัย
และ “ปีก” คือเครื่องมือในการเชื่อมโยงระหว่างภพเป็นจริง เป็นลักษณะพิเศษพื้นฐานของเทพ เหนือธรรมชาติมนุษย์
ครุฑจึงเป็นสัญลักษณ์ของเทพสูงส่งผู้พิทักษ์ความถูกต้องในโลกทุกยุคทุกสมัย

........................

ตํ า น า น พ ญ า ค รุ ฑ

* ข้อมูลจากหลายเว็บซึ่งเหมือนกันหมด ตัดเฉพาะบางส่วนมาเท่านั้น ...ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เขียน เพราะคงไม่ได้เข้าไปในเว็บต้นเรื่อง

ครุฑเป็นสัตว์กึ่งโอปปาติกะ หรือกึ่งพวกกายทิพย์คล้ายชาวลับแลและพวกพญานาคอยู่อีกมิติหนึ่งจากโลกของเรา ผู้ที่จะสามารถพบเห็นครุฑได้ต้องเคยมีบุญร่วมกับพวกเขามาจึงสามารถรับรู้ถึงกันและกันได้ เหมือนกับผู้ที่สามารถติดต่อกับพญานาคได้ก็เช่นกันล้วนต้องเป็นผู้ที่มีวาสนาต่อกันมาตั้งแต่อดีตทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องสาธารณะที่จะรู้กันได้ทั่วไปเช่นเรืองสามัญ

พลังอำนาจที่เทียบเท่า พระผู้เป็นเจ้า

อำนาจของพญาครุฑนั้นท่านว่าลึกลับมากนัก ในตำนานของฮินดูกล่าวว่าตั้งแต่แรกเกิดมานั้นพญาครุฑก็มีรัศมีกายที่สว่างไสวเป็นที่อัศจรรย์ ส่อให้รู้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ มีอานุภาพเป็นอเนกอนันต์ มีฤทธิ์วิชาผาดโผนพิสดาร

ครั้งหนึ่ง พญาครุฑเคยลองฤทธิ์กับองค์พระนารายณ์มหาเทพหนึ่งในสามของทางศาสนาพราหมณ์ การรบกันนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั้งสามโลกธาตุ พญาครุฑสามารถต่อสู้ด้วยความสามารถ รบกันไปเท่าใดก็หาแพ้ชนะกันไม่ จนในที่สุดพระนารายณ์และพญาครุฑจึงตกลงกันว่าขอให้เสมอกันในการรบระหว่างเราและท่าน พระนารายณ์อนุญาตให้พญาครุฑสามารถอยู่เหนือเศียรตนได้ และพญาครุฑก็นอบน้อมโดยการยินยอมให้พระนารายณ์สามารถนำตนเป็นพาหนะไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้เช่นกัน

จึงถือกันในหมู่ครูบาอาจารย์กันแต่โบราณว่า “พญาครุฑ” เป็นเทพเดรัจฉานที่มีอานุภาพอิทธิฤทธิ์เทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าอย่างพระนารายณ์ อานุภาพของครุฑจึงเป็นที่อัศจรรย์ของทั่วโลกธาตุ นอกจากนี้ยังมีประวัติอีกว่ารพระอินทร์เองก็เคยลองฤทธิ์กับพญาครุฑใช้วัชระฟาดพญาครุฑ แต่องค์พญาครุฑเป็นกายสิทธิ์หาได้เป็นอันตรายแต่อย่างใดไม่ พระอินทร์พยายามอยู่หลายทางก็ไม่สามารถทำอันตรายแก่องค์ครุฑได้ จนพระอินทร์มีความเคารพในอานุภาพของพญาครุฑว่ามีฤทธิ์เดชเทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าจริง ในที่สุดพญาครุฑจึงได้สลัดขนตนเองออกามาหนึ่งเส้นให้แก่พระอินทร์เพื่อเป็นเกียรติแก่พระอินทร์ด้วยเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าตามตำนานที่กล่าวมา “พญาครุฑ” เป็นเทพเดรัจฉานที่มีฤทธิ์ที่ไม่ธรรมดา ๆ เลยมีอานุภาพมาก ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์ที่รู้จักศาสตร์ของครุฑเป็นอย่างดีจึงนำเอาสัญลักษณ์เกี่ยวกับครุฑ รูปครุฑต่าง ๆ มาทำสมาธิบูชาเพื่อให้เกิดอิทธิพลังงานอันลี้ลับ ทั้งนี้เพื่อการปกป้องคุ้มครองบ้าง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองบ้าง ดังที่เราจะได้เล่าให้ท่านทราบต่อไป

พญาครุฑเครื่องหมายแห่งสิทธิอำนาจและความเป็นมงคล

ครุฑนั้นเป็นเครื่องหมายของทางราชการอยู่แล้ว เอกสารทางราชการฉบับใด ๆ ก็ล้วนต้องมีเครื่องหมายพญาครุฑประทับอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าเป็นเครื่องสำคัญเป็นตราแผ่นดิน เป็นตราของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เชื่อว่าหากข้าราชการผู้ใดให้ความเคารพนับถือในองค์พญาครุฑ และซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตนเอง ข้าราชการผู้นั้นจะมีความสุขความเจริญทั้งชีวิตและหน้าที่การงานสืบไป คุณไสย์อันตรายใด ๆ ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้เพราะเครื่องหมายของพญาครุฑนี่สำคัญมากผู้ที่รู้เขาจะไม่ข้ามไม่เหยียบย่ำ ไม่นำไว้ที่ปลายเท้าเลยเพราะเป็นของสูง ของศักดิ์สิทธิ์ หากเคารพนับถือให้ดีอำนาจพญาครุฑที่มีอยู่ในเอกสารราชการจะคุ้มครองผู้นั้นไม่ให้มีวันอับจน แต่คนสมัยนี้ไม่ใคร่เชื่อถือกันเท่าใดนัก เรื่องพญาครุฑจึงดูล้าสมัยไปเสีย ไม่เหมือนในสมัยก่อนที่ไหนว่ากันว่าผีแรง ผีเฮี้ยน เอาตราพญาครุฑไปติดไว้ความอาถรรพ์ของสถานที่นั้น ๆ ก็จะหายไปในทันที

อำนาจพญาครุฑ

สิทธิอำนาจพญาครุฑสัตว์กายสิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าให้ตายได้มีอายุยืนเสมือนว่าเป็นอมตะนั้น นับเป็นเรื่องลี้ลับที่ผู้รู้พยายามค้นคว้า และเสาะหาที่มาแห่งพลังอำนาจดังกล่าว จนเกิดการสร้างเครื่องรางต่าง ๆ ขึ้น อำนาจพญาครุฑสามารถจำแนกได้ถึง ๘ ประการ โดยนับเอาอำนาจหลัก ๆ ได้ดังนี้คือ
๑. เป็นมหาอำนาจอันยิ่งใหญ่ เป็นสิทธิอำนาจอันเฉียบขาด
๒. สามารถลบล้างอาถรรพ์และคุณไสย์ทั้งปวง ภูติผีปิศาจกลัวไม่กล้าเข้าใกล้
๓. เป็นสื่อนำความเจริญรุ่งเรือง ยศถาบรรดาศักดิ์มาสู่ชีวิตหน้าที่การงาน
๔. ปกป้องคุ้มครอง ป้องกันภัยเป็นคงกระพัน
๕. เป็นเมตตามหานิยม
๖. นำความร่มเย็นเป็นสุขมาให้
๗. ทำมาค้าขายดีเป็นสื่อนำโชคลาภนานาประการ
๘. สัตว์ร้าย เขี้ยวงาสารพัด งูเงี้ยวเขี้ยวขอ อสรพิษไม่กล้ากล้ำกรายเข้าใกล้ เพราะเกรงตบะบารมีขององค์พญาครุฑเป็นที่สุด

ยังมีคาถาพญาครุฑซึ่งเมื่อกล่าวพระคาถานี้งูพิษรวมไปจนถึงตะขาบแมงป่องและสัตว์ร้ายต่าง ๆ ทั้งหลายจะหลบหนีไปสิ้นโดยพระคาถาพญาครุฑท่านว่าดังนี้
“โอมพญาครุฑจะเห็นผล หลีกไปให้พ้น พญาหนจะเดินทาง เคาะงอ เคาะงอ”
ก่อนว่าพระคาถานี้ให้นมัสการพระรัตนตรัยเสียก่อนด้วยนะโม ๓ จบและท่องพระคาถานี้ก่อนออกเดินทางตั้งสติส่งจิตไปถึงพญาครุฑจะปลอดภัยทุกประการ

สักการะให้ถูกวิธี

การบูชาพญาครุฑประกอบกับพญาปักษาชาติอันมีฤทธิ์ทั้งหลายนั้น ท่านให้สักการะคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จากนั้นให้ตั้งจิตระลึกถึงพญาครุฑท่าน ด้วยการทำสมาธิภาวนาเป็นสื่อถึงองค์พญาครุฑว่า “ครุฑโธ” จนจิตสงบหรือระลึกชื่อ พญาวายุภักษ์ หรือ ท่องคำว่า “การะวิโก” อันเป็นคาถาหัวใจพญาการเวกก็ว่าได้ จากนั้นเมื่อเห็นว่าจิตสงบลงบังเกิดเสียงนกร้องระงม จากบริเวณที่มีนกอยู่ใกล้ ๆ จนบางครั้งอาจมีนกมาบินเวียนวนอยู่เป็นทักษิณาวัตรอย่างน่าอัศจรรย์ หรือมีฝูงนกมาทานอาหารที่เราเซ่นไหว้ อาการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเป็นศุภมงคลอย่างประเสริฐแล้ว สื่อให้เห็นว่าจิตเราพิธีกรรมเราที่ตั้งถึงองค์พญาครุฑและเหล่าพญาปักษาชาติทั้งหลายอันมีฤทธิ์นั้นท่านรับรู้แล้ว และท่านทั้งหลายจะช่วยเหลือเราอย่างสุดวามสามารถโดยตลอด

.................................

ป.ล. ขอนอกเรื่องสักหน่อย ที่เห็นประเทศไทยต้องรับปีใหม่ด้วยการถูกลอบวางระเบิด 8 จุด มีคนตายและบาดเจ็บ ที่สำคัญ ประเทศชาติเสียหายอย่างหนัก ทั้งด้านภาพพจน์และเศรษฐกิจ กรรมที่ไอ้พวกอกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดนี้สร้าง ขอส่งผลให้พวกมันฉิบหายโดยไวๆๆๆๆๆ เทอญ
นี่เป็นการพัฒนาจิตอีกรูปแบบหนึ่งค่ะ คือการไม่อยู่ข้างคนหนักแผ่นดิน ... สาบแช่งมันเลย..



Create Date : 03 มกราคม 2550
Last Update : 4 มกราคม 2550 11:35:21 น. 0 comments
Counter : 33429 Pageviews.
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.