บางคนทำดีเหมือนปิดทองหลังพระ
บางคนทำดีแบบผักชีโรยหน้า
เรื่องต่อไปนี้เป็นอุทาหรณ์สอนคติธรรมได้อย่างดี
คราวหนึ่ง
พระมหากัสสปเถระอยู่ที่กุฎีในป่าเขตเมืองราชคฤห์
ครั้งนั้น
ภิกษุหนุ่มสองรูปเป็นอุปฐาก(ผู้ปฏิบัติ) แก่พระเถระ
ในภิกษุสองรูปนั้น
รูปหนึ่งเป็นผู้ว่าง่าย ซื่อตรง สุจริตใจ ตั้งใจปฏิบัติพระเถระด้วยดี
อีกรูป ว่ายาก คดโกง ทำดีเอาหน้า อย่างเช่น
เมื่อภิกษุผู้ซื่อตรงวางน้ำใช้น้ำฉันไว้ให้พระเถระเสร็จแล้ว
ภิกษุผู้ว่ายากก็จะเข้าไปเรียนนิมนต์พระเถระว่า
น้ำบ้วนปาก น้ำล้างหน้าได้ตั้งไว้ให้เสร็จแล้ว เป็นต้น
เมื่อภิกษุผู้ว่าง่ายลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ปัดกวาดเสนาสนะเรียบร้อย
พอพระเถระจวนจะออกจากห้อง
ภิกษุผู้ว่ายากก็จะทำทีฉวยนั่นนี่ประหนึ่งตนเพิ่งทำกิจการงานเสร็จฉันนั้น
เหตุการณ์ได้เป็นไปแบบนี้เสมอจนภิกษุผู้ว่าง่ายเอือมระอา
อยากจะสอนภิกษุอีกรูปให้รู้บ้างว่ากิริยาเช่นนั้นเลวทรามเพียงใด
และประสงค์ให้อาการหลอกลวงของเธอได้ปรากฏต่อพระเถระเสียที
พระมหากัสสปเถระ
เอตทัคคะในทางผู้ทรงธุดงค์ อ่านประวัติและศึกษาปฏิปทาของท่านเพิ่มเติมได้ที่
//www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7539//www.dharma-gateway.com/monk/grea ... assapa.htm//www.84000.org/one/1/18.htmlครั้นวันหนึ่งเมื่อจวนได้เวลาอาบน้ำของพระเถระ
ภิกษุผู้มีวัตรดีได้ต้มน้ำจนเสร็จแล้วนำไปซ่อน
และตั้งน้ำใหม่ประมาณครึ่งกระบวยไว้บนเตา
ภิกษุผู้ว่ายากเห็นน้ำเดือดมีไอพุ่งก็รีบไปเรียนพระเถระ
นิมนต์ท่านมาสรงน้ำ กราบเรียนว่าตนได้เตรียมน้ำไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อพระมหากัสสปะมาถึง ท่านจะสรงน้ำแต่ไม่เห็นน้ำ
เนื่องจากภาชนะนั้นมีน้ำติดอยู่เพียงก้นภาชนะเท่านั้น
ภิกษุผู้ว่ายากได้แต่อ้ำอึ้ง ส่วนภิกษุผู้มีวัตรดี ได้นำน้ำที่ซ่อนไว้มาผสมให้พระเถระอาบ
ในเวลาเย็น พระเถระให้โอวาทภิกษุผู้ว่ายากนั้นเพื่อเตือนสติว่า
ธรรมดา..สมณะควรเป็นคนพูดจริง
ไม่ควรพูดว่าทำในสิ่งที่ตนไม่ได้ทำ
ไม่ควรพูดว่ารู้ในสิ่งที่ตนไม่รู้
การพูดเท็จทั้งๆที่รู้ (สัมปชานมุสาวาท) เป็นความต่ำทรามของสมณะ
เป็นกรรมอันลามกของสมณะ
เพราะฉะนั้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เํธอจงอย่าทำอย่างที่เคยทำมาแล้วอีกภิกษุผู้ว่ายากผูกโกรธพระเถระ
รุ่งขึ้นไม่ยอมไปบิณฑบาตกับพระเถระ ซ้ำยังไปสู่ตระกูลที่อุปฐากพระกัสสปเถระอีก
โดยบอกแก่ตระกูลนั้นว่า ที่ตนมาเพียงรูปเดียวนั้นเพราะพระเถระไม่สบาย
แล้วได้อาหารชั้นเลิศมาจำนวนมากแต่ความจริงหาได้นำไปถวายพระเถระไม่เมื่อพระเถระทราบความเรื่องนี้ก็ได้กล่าวเตือนภิกษุผู้นั้นว่า
เธอประพฤติอนาจารเห็นปานนี้ย่อมไม่ควร
เธอขอของฉัน(ภัตตาหาร) จากสกุลนู้นบอกว่าเพื่อเราผู้ไม่สบาย
ทั้งที่เธอขอมาเพื่อขบฉันเอง เป็นการหลอกลวงเลี้ยงชีพ
ไม่สมควรแก่สมณะ เธออย่าประพฤติอนาจารเช่นนี้อีกภิกษุนั้นผูกโกรธพระเถระอย่างยิ่ง
รุ่งเช้าเมื่อพระเถระออกบิณฑบาต
ภิกษุผู้นั้นได้เอาฆ้อนทุบภาชนะต่างๆจนสิ้น จุดไฟเผากุฎีแล้วหนีไป
ภิกษุนั้นมีชีวิตอย่างเปรต ผ่ายผอมซีดเซียว
ทำกาลกิริยา(ตาย)แล้วไปสู่อเวจีมหานรก
ต่อมาภายหลังเรื่องนี้ได้ทราบถึงพระศาสดา
โดยภิกษุพวกหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ของพระมหากัสสปะเป็นผู้เล่าถวาย
พระศาสดาตรัสว่า
การเที่ยวไปผู้เดียวของกัสสป
ประเสริฐกว่าการสมาคมด้วยคนพาลเช่นภิกษุนั้น
เพราะคุณความเป็นสหาย...ไม่มีในคนพาล
การเกี่ยวข้องด้วยคนพาลแม้พูดดีด้วยเขาก็โกรธ
ดังเช่นที่พระมหากัสสปเถระท่านสั่งสอนด้วยดีแต่ภิกษุนั้นก็ผูกโกรธท่าน
และมีพุทธดำรัสเรื่องการพูดเท็จไว้ว่า
คนที่มีปกติพูดเท็จ..จะไม่ทำบาปเป็นไม่มี
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องละความเท็จทั้งปวง
วาจาเท็จนั้นเข้าใจกันแล้วโดยมาก
แต่เท็จทางกาย คือ การมีกิริยาหลอกลวงนั้น ต้องตริตรองให้มาก
เรียบเรียงจากนิตยสารศุภมิตร
ปีที่ ๕๑ ฉบับที่ ๕๕๕ เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
หน้า๙๒-๙๕.