|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
8 ธันวาคม 2553
|
|
|
|
ชำแหละ FWD Mail: ภัยจากรังสีไมโครเวฟ
FWD Mail ภัยจากรังสีไมโครเวฟมีอยู่ค่อนข้างนานแล้ว แต่ในไทยเพิ่งจะเริ่มมีการขยายวงเพราะแป๊ะลิ้มเอามาลงในเวบผู้จัดการของเขา อยากอ่านต้นฉบับเหตุผลก็ตามลิงค์นี้ //www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000087906 เสร็จแล้วมันก็มีไอ้ FWD Mail ลักษณะบ้าๆนี่โผล่มา //www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X9450135/X9450135.html
ประเด็นใน FWD Mail อันตรายจากรังสีไมโครเวฟ มีสรุปได้สั้นๆ สองอย่าง
- ประเด็นการเกิดสารก่อมะเร็ง
- ประเด็นรังสีตกค้าง
มันมีจริงๆหรือไอ้สารก่อมะเร็งที่เกิดจำเพาะจากรังสีไมโครเวฟกับรังสีตกค้างไปเผาสมองหลังกิน FWD Mail นี้อาศัยความไม่รู้เกี่ยวกับรังสี พอได้ยินคำว่ารังสีนี่กลัวไปหมดจะเกิดการกลายพันธุ์ เหมือนหนอนอาบรังสีนิวเคลียร์ กลายเป็นไอ้ตัวเขียวหรือนินจาเต่าครับ
รูปปลากรอบ มิวแตนท์ที่เกิดจากการบริโภคอาหารไมโครเวฟ (มั๊ง)
ประเด็นการเกิดสารก่อมะเร็ง
สิ่งพึงรู้คือ คำว่ารังสีมันไม่ใช่อะไรที่พิลึกพิลั่นเกินความเข้าใจมันขนาดนั้น แสงที่เรามองเห็นนี่ก็รังสีนะครับ ฮีตเตอร์นี่ก็ตัวปล่อยรังสีความร้อน มันอยู่รอบๆตัวเราตลอดนี่แหละและเราก็ไปกลัวคำว่ารังสีมันไปเอง
Spectrum ความยาวคลื่นและความถี่
รังสี ยิ่งมีช่วงคลื่นสั้น หรือความถี่สูงยิ่งเป็นอันตราย ตัวไมโครเวฟเป็นคลื่นความยาวต่ำ ต่ำกว่าอินฟราเรดที่เป็นรังสีความร้อนด้วยซ้ำ แต่ภาพลักษณ์ของไมโครเวฟมันอันตรายเพราะมันทำอาหารสุกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นเป็นเพราะโมเลกุลที่มีขั้วจะเรียงตัวเข้ากับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า รังสีไมโครเวฟจะมีสภาพเป็นระลอกคลื่นทำให้มีการขยับเคลื่อนไหวของโมเลกุลเป็นการสั่นสะเทือน เกิดเป็นความร้อน สิ่งที่เกิดจากการแตกตัวหรือเปลี่ยนสภาพจากรังสีไมโครเวฟนั้นไม่ได้เกิดจากรังสีไมโครเวฟ แต่เกิดจากความร้อนที่มาจากการสั่นสะเทือนระดับโมเลกุลเล็กๆนั้นครับ อันตรายของไมโครเวฟก็คืออันตรายจากความร้อนนั่นเอง และอันตรายความเสี่ยงจากการเกิด Carcinogen ในไมโครเวฟ ก็จะไม่ต่างไปกับการปรุงอาหารด้วยการผัดและทอด ที่การใช้ความร้อนสูงทำให้เกิดการ Carbonized ครับ
Magnetron ที่เป็นอุปกรณ์สร้างคลื่นไมโครเวฟในเตาไมโครเวฟ คลื่นไมโครเวฟ นอกจากใช้ในการทำอาหาร ยังมีใช้ในอุปกรณ์สื่อสารได้เช่นกัน อย่างสัญญาณ Wireless ก็ใช้คลื่นในช่วงรังสีไมโครเวฟ แสงอาทิตย์ก็มีการแผ่รังสีในช่วงรังสีไมโครเวฟ รังสีความร้อนจากผนังห้อง เตาไฟ ก็มีรังสีไมโครเวฟ อันตรายหรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นพลังงาน อย่าง ปริมาณความร้อนที่มาจากเตาไมโครเวฟมันก็ขึ้นอยู่กับพลังงานที่ใส่เข้า ถ้าเตาไมโครเวฟขนาด 1 kW ก็คือทำให้น้ำ 1 กิโลกรัมอุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศาใน 1 วินาที
อาการของคนคลั่ง FWD Mail มือถือ สัญญาณ Wireless มีการส่งสัญญาณที่ 2W และรับสัญญาณใช้ 0.9W พลังงานตรงนี้เวลาส่งก็กระจายรอบด้าน เทียบอันตรายแล้วหลอดไฟแสงสว่างยังปล่อยรังสีมากกว่า (หลอดไส้ ก็ 50 100 วัตต์เข้าไปแล้ว) แน่นอนว่าเราไม่ตายด้วยแสงอาทิตย์ และเราก็ไม่ตายเพราะเราใช้หลอดไส้ให้แสงสว่าง เราก็ไม่ตายด้วยรังสีไมโครเวฟขนาดจิ๊บจ๊อยอย่างโทรศัพท์มือถือและ Wireless เช่นกัน ส่วนเรื่องบ้าๆอย่างเอาเลือดไปอุ่นไมโครเวฟใส่ให้คนแล้วตาย นั่น ไล่ดูก็กลายเป็นว่า คดีนั้นคนฟ้องแพ้หมอชนะครับ ส่วนเรื่องน้ำไมโครเวฟรดต้นไม้ตาย แนะนำไปค้นกระทู้ดู มีคนชำแหละแล้ว นั่น ก็เป็นปาหี่เด็ดก้านทิ้งมั่ว Photoshop ทำรายงานส่งครู ภาชนะพลาสติกที่ใส่ไมโครเวฟไม่ได้ ก็เอาถ้วยหรือจานนั่นใส่ลังนึ่งแล้วกินดิ ถ้ามันปล่อยสารก่อมะเร็งจากการเช้าไมโครเวฟ มันก็จะปล่อยสารก่อมะเร็งจากการใส่หม้อนึ่งเหมือนกัน
สรุปว่าประเด็นไมโครเวฟสร้างสารก่อมะเร็ง = มั่วนิ่ม
ประเด็นรังสีตกค้าง
คำว่ารังสีตกค้างมีใช้จากการปนเปื้อนละอองสารกัมมันตรังสี สิ่งที่ต้องเข้าใจคือตัวรังสีเฉยๆมันไม่ได้ตกค้างอะไร รังสีถ้าสัมผัสกับวัตถุถ้าไม่สะท้อนออก ก็ถูกดูดซับ หรือผ่านไปอย่างนั้น ถ้าไม่มีตัวละอองของสารกัมมันตรังสีที่เป็นตัวปัญหาหลัก มันก็ไม่มีไอ้ที่เรียกว่ารังสีตกค้าง การเกิดสารกัมมันตรังสีขึ้นจากการฉายรังสี มีได้ครับ ในกรณีของรังสีพลังงานสูง เช่นรังสีแกมม่า ส่งตรงเข้าไปในนิวเคลียส ทำให้เกิดการปลดปล่อยของอนุภาคนิวตรอน และอนุภาคนิวตรอน นี้ก็ต้องเข้าไปกระทำกับนิวเคลียสของอะตอมอื่นเกิดเป็นธาตุที่ไม่เสถียร ตัว Binding energy นี้จะอยู่ที่ประมาณ 2 MeV (ล้าน อิเลคตรอนโวลท์)
เพื่อให้เข้าใจเพิ่มก็ต้องเอาสมการของ Planck เข้ามาจับ
E = h.f (พลังงานต่อโฟตอน = ค่า Planck constant x ความถี่ของคลื่น หน่วยเป็น Hz) h = 6.624 x 10^-34 J.s และ 1 eV = 1.602×10^-19 J
คลื่นไมโครเวฟ มีความถี่ 1000,000,000 Hz คำนวณได้ 0.000004136 eV นิวตรอนยังไม่กระเทือนเลยด้วยซ้ำ จะกระเทือนถึงขนาดปล่อยนิวตรอนออกมาได้ ก็ต้องมีความถี่ 5x10^20 Hz หรือก็คือรังสีแกมม่า ที่จะมีค่าพลังงานต่อโฟตอนที่ 2 MeV พอดิบพอดี รังสีไมโครเวฟ เพราะความเข้มข้นพลังงานของโฟตอนไม่ถึง ใส่เข้าไปแค่ไหนมันก็ไม่เกิดเป็นสารกัมมันตรังสี ยังไงๆมันก็ไม่เกิดรังสีตกค้างครับ สรุป ประเด็นรังสีตกค้าง = เป็นเรื่องเพ้อเจ้อครับ
ถ้าการฉายรังสีทำให้เกิดรังสีตกค้างกันง่ายๆ พวกแดกผักฉายรังสีก็คงเป็น X-Men กันหมด
สิ่งสำคัญนะครับพี่น้อง นักวิทยาศาสตร์สาขาโพลิเมอร์ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการเมืองระหว่างประเทศฉันใด สื่อมวลชนก็ไม่ใช่บร๊ะศาสดาทางวิทยาศาสตร์ฉันนั้น แต่บ้านเรามันจะอยู่ในระบบขาวดำ การเมืองปนไปแม่งทุกอย่างจนประเทศชาติฉิบหารด้วยเหตุผลวิบัติไปหมด ผมก็เกลียดไอ้แม้วนะครับ แต่จะให้ไปเชื่อแป๊ะทั้งหมด ผมว่ามันโง่เง่าเต่าถุยเกินไปละนั่น กาลามสูตรศาสนาเราก็มีสอนไว้ อย่าเชื่อเพราะว่าฟังสืบๆกันมา และอย่าเชื่อเพราะคนๆนั้นเป็นคนที่เรานับถือ จะฟังจากใคร ฝ่ายการเมืองไหน มันก็ต้องใช้สมองในการคิดพิจารณา ไม่ควรเอาสมองไว้แค่คั่นหูนะครับ
อ้างอิง //en.wikipedia.org/wiki/Microwave //en.wikipedia.org/wiki/Dielectric_heating //en.wikipedia.org/wiki/Mutation //www.atheros.com/whitepapers/atheros_power_whitepaper.pdf //www.physlink.com/education/askexperts/ae636.cfm //en.wikipedia.org/wiki/Electromagnetic_radiation
Free TextEditor
Create Date : 08 ธันวาคม 2553 |
Last Update : 8 ธันวาคม 2553 23:08:14 น. |
|
0 comments
|
Counter : 925 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
Darth Prin |
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]
|
นี่คือกรุบทความของผม ซึ่งส่วนใหญ่ก็โพสไว้แล้วในหว้ากอ
ผมเชื่อ ในมุมมองที่ไม่เป็นกลาง ใครก็ตามเวลาพูดอะไรมันก็มีเอียงซ้ายเอียงขวากันทั้งนั้น สำคัญที่สุดคือการแสดงจุดยืนที่ไม่เป็นกลางออกมา ด้วยเหตุผลทั้งหมดว่าทำไมมันควรเอียงไปด้านนั้น
|
|
|