What so ever will do...
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
17 กรกฏาคม 2554

แผ่นดินไหว: จาก 2012 ยันโลกร้อน จนถึง ดร. ก้องภพ


แผ่นดินไหว กับการสิ้นโลก เป็นประเด็นร้อนมาได้หลายพักใหญ่เพราะนอกจากความเชื่อของพวกฝรั่งเขาแล้ว เรายังมีนักวิชากวนแบบไทยๆที่สนใจกับการทำนายทายทักวันวิบัติโลก เอากันให้กลัวกันขี้หดตดหาย ประเด็นร้อนนี้ก็มีเวียนว่ายตายเกิดเป็นกระทู้ในหว้ากอก็หลายเพลา บทความนี้ จะเป็นการเจาะดูกับเรื่องแผ่นดินไหว และความเชื่อแปลกๆ รวมไปถึงงานวิจัยที่น่าสนใจเกี่ยวกับแผ่นดินไหว ว่า อะไรมันเป็นอะไรกันบ้าง





แผ่นดินไหว เกิดจากอะไร




โลกที่เราอยู่นั้น เป็นแผ่นดินบางๆที่ลอยอยู่เหนือทะเลแมกม่า ซึ่งเปลือกโลกนั้นก็ยังไม่แข็งตัวเป็นชิ้นเดียว เปลือกโลกปัจจุบันมีอยู่ 7 ชิ้นและมีการเคลื่อนไหวตามกระแสแมกม่าใต้พิภพ แผ่นเปลือกโลกนั้นก็มีการทับเกย มีการเลื่อนผ่าน ซึ่งการเคลื่อนผ่าน มันก็มีแรงเสียดทาน และถ้ามันยังผ่านกันเรื่อยๆมันก็เป็นคลื่นที่ปล่อยออกมาต่อเนื่อง มีการปล่อยพลังงานอย่างต่อเนื่องในรูปความร้อน และถ้ามันเกิดการขัดล็อคกัน การเคลื่อนไหวก็จะมีการสะสมพลังงานไว้ในรูปความเครียด และเมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็พังทลายออกมาปล่อยแรงสั่นสะเทือนที่เราเรียกว่าแผ่นดินไหว [1]


ทั้งนี้ สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อเปลือกโลก น้ำหนัก หรือแรงดึง หรือจะส่งผลกระทบต่อกระแสของแมกม่า มันก็อาจส่งผลทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้ ทั้งในทางที่มากขึ้นและน้อยลง 


















แผ่นดินไหวจากดวงอาทิตย์: 2012 แผ่นดินไหวจากนิวตริโน


ในหนังเรื่อง 2012 มีการอ้างเรื่องนิวตริโนทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ในแกนโลกเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนิวตริโนเป็นอนุภาคที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ในดวงอาทิตย์ นิวตริโนนั้นเป็นอนุภาคที่ไม่ทำปฏิกิริยาใดๆ ซึ่งการมีอยู่ของนิวตริโนนั้น ในตอนแรก นักวิทยาศาสตร์พบว่าการสลายตัวของนิวตรอนให้โปรตอนและอิเลคตรอนออกมา แต่มีพลังงานสูญหายไปส่วนหนึ่ง เลยสมมุติใส่นิวตริโนเข้าไปให้สมการมันสมดุลออกมาได้ [2] นิวตริโนถูกตรวจพบโดยการใช้โปรตอนเป็นตัวรับ ซึ่งมันจะให้โปสิตรอนกับนิวตรอนออกมา ซึ่งกว่าจะยืนยันเป็นผลแน่นอนก็อีกหลายสิบปีให้หลัง





ผลกระทบของนิวตริโนนั้น แม้โดยทั่วไป มันจะผ่านโลกไปโดยไม่ทำปฏิกิริยาใดๆ แต่ก็มีกรณีการศึกษาของ Prof. Ephraim Fischbach ที่พบว่าคาบการสลายตัวของตัวอย่าง Cesium ในห้องทดลองมีการสลายตัวที่มีการเบี่ยงเบนจากคาบการสลายตัวตามปรกติเล็กน้อย นำไปสู่การต่อยอดและตั้งข้อสังเกตว่าการสลายตัวของกัมมันตรังสีจะน้อยลงเมื่อได้รับอนุภาคนิวตริโนจากดวงอาทิตย์มากขึ้น การสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีจะลดลงในช่วงการเกิด Solar Flare [3] ข้อสังเกตนี้ยังอาจเรียกว่าห่างไกลจากข้อเท็จจริงว่ามันเป็นผลจากนิวตริโน มันอาจเป็นผลจากอนุภาคอื่นๆที่ไม่รู้จากดวงอาทิตย์ก็ได้ แต่ประเด็นก็คือมันเป็นไปในทิศทางตรงข้ามกับหนังเรื่อง 2012 นิวตริโน ถ้ามันจะมีผลกับปฏิกิริยานิวเคลียร์ มันก็น่าจะมีผลในแง่การลดอุณหภูมิของแกนโลกเสียมากกว่า





แถมมีเรื่องน่าสนใจอีกอย่างนะครับ Solar Neutrino จะมีค่า Peak ในเดือน กรกฎาคม 2556 (May 2013) ไม่ใช่ในปี 2012 อย่างในหนังแต่อย่างใด [4]







รูปที่ 1: ฉากในหนังเรื่อง 2012 เปลือกโลกละลายจากนิวตริโนก่อหายนะ







ภาวะโลกร้อน สร้างแผ่นดินไหว: ความเชื่อเรื่องเปลือกโลกละลาย




ภาวะโลกร้อนส่งผลเป็นรูปธรรม 2 อย่าง คืออุณหภูมิเฉลี่ยโลกสูงขึ้น และอัตรา Precipitate ของฝนเพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนของพื้นที่การเกิดพายุ น้ำท่วม หรือแล้ง เพราะสมดุลพลังงานของโลกเปลี่ยนไป


ตัวอัตราฝนที่เพิ่มขึ้นนี้ ไม่มีผลต่อเปลือกโลก ส่วนการเกิดพายุ ก็ไม่อาจสร้างความเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมต่อเปลือกโลกได้ เพราะแรงเสียดทานที่อากาศสามารถกระทำต่อพื้นผิวโลก อย่างเก่งก็คือพาหน้าดินหายไปสักเล็กน้อยเทียบกับการเคลื่อนของกระแสลาวา ประเด็นที่เหลือคือความหนาของเปลือกโลกที่อาจเปลี่ยนจากสมดุลพลังงาน ซึ่งผมได้อาศัยโมเดล Heat transfer ในการจำลองความหนาของเปลือกโลกที่จะลดลงถ้าอุณหภูมิพื้นผิวสูงขึ้น


ในหลักการก็คือ Heat flux (q) จากในโลกด้วยปฏิกิริยานิวเคลียร์ในแกนโลกมีอยู่ที่ 0.087 W/m2 และอัตราการถ่ายเทความร้อนจากเปลือกโลกจะเป็นไปตามสมการ conduction heat transfer ดังนี้


q = (k/x).dT


ค่า k คือการนำความร้อนของดินและชั้นหินมีค่าประมาณ 1.83 W/m.K ความหนาของเปลือกโลก x มีค่าประมาณ  27 กิโลเมตร ส่วน DT คือส่วนต่างอุณหภูมิของแมกม่า (1300 oC) กับอุณหภูมิผิวโลกซึ่งอยู่ที่ประมาณ 17 oC





ถ้าเราจะให้เปลือกโลกบางลงสัก 20 เมตร เราต้องให้อุณหภูมิผิวโลกสูงขึ้น 1 องศา และถ้าความหนาจะหายไปสัก 1 กิโลเมตร อุณหภูมิผิวโลกก็ควรอยู่ที่ 65 องศาโดยประมาณ เรียกว่าผลกระทบของอุณหภูมิพื้นผิวต่อสมดุลความหนาเปลือกโลกนี้มีน้อยมาก โดยมนุษย์น่าจะเดี้ยงไปหมดก่อนที่ความหนาของเปลือกโลกจะได้รับผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม




รูปที่ 2: อุณหภูมิผิวดินกับความหนาเปลือกโลก





ภาวะโลกร้อน สร้างแผ่นดินไหว: น้ำหนักของน้ำแข็งที่หายไปก่อแผ่นดินไหว


แม้ในส่วนสมดุลพลังงาน ภาวะโลกร้อนไม่อาจส่งผลต่อความหนาของเปลือกโลก แต่การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกอาจได้รับผล ถ้าหากน้ำแข็งละลายหมด แรงกดของน้ำแข็งบนแผ่นเปลือกโลกจะลดลง และมันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกได้ ซึ่งในอดีตเมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้วบริเวณ สแกนดิเนเวีย เคยได้รับผลกระทบจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก [5] และก็ยังมีการจัดทำโมเดลการศึกษาผลกระทบของโหลดน้ำแข็งบนพื้นดินเหนือ Greenland ซึ่งมีการคำนวณออกมาว่า โหลดน้ำหนักนี้มีมากถึง 281 ตันต่อตารางฟุต และส่งผลถึงปริมาณการเกิดแผ่นดินไหวในบริเวณใกล้เคียงกับ Greenland [6]





สำหรับผลกระทบดังกล่าวจะทำให้ปริมาณแผ่นดินไหวทั่วโลกเพิ่มขึ้นหรือไม่ อันนี้กลับไม่แน่ เพราะแผ่นดินไหวมันเป็นการปล่อยพลังงานศักย์ที่สะสมออกมา ถ้ามันมีจุดที่มีการคายพลังงานออก มันก็ไม่จำเป็นต้องไปออกที่อื่น กรณีแผ่นดินไหวจากการสูญเสียน้ำหนักเหนือพื้นที่ขั้วโลกเอง ก็อาจมีลักษณะเหมือนผลกระทบของสภาวะภูมิอากาศโลก คือมีการเปลี่ยนของพื้นที่การเกิด แต่ปริมาณการเกิดโดยคาบเฉลี่ยก็อาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงโดยนัยสำคัญ จุดสำคัญคือ ถึงมีการเคลื่อนไหว แต่ถ้าไม่มีการขัดกันของโครงสร้างแผ่นดิน ไม่มีการสะดุดของการเลื่อนไหล มันก็ไม่มีการพังทลาย ไม่เกิดแผ่นดินไหวอยู่ดี






รูปที่ 3: กลไกการเคลื่อนของเปลือกโลกจากน้ำหนักน้ำแข็งที่หายไป





ดาวเรียงตัวก่อแผ่นดินไหว



สมมุติฐานดาวเรียงตัวก่อแผ่นดินไหวนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ความเชื่อเรื่อง Planetary Alignments มีมาก่อนที่ตาก้องภพ อยู่เย็นจะเอามาพล่าม และตาสมิทธิ์เอามาแจม เพื่อให้เป็นหลักฐานไว้ว่าพวกนี้เขาเชื่อและเอามาโพทะนา อาจไปดูในลิงค์ ยูทิวบ์นี้









ในส่วนการเรียงตัว มีประเด็นสำคัญที่พวกนี้มักกล่าวถึงคือการที่แรงโน้มถ่วงของดาวต่างๆจะก่อให้เกิดแรงดึงจนเปลือกโลกแตก ฯลฯ ซึ่ง ดาวพวกนี้มันก็มีแรงดึงจริงๆน่ะแหละ มีผลกระทบที่ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวได้จริงน่ะแหละ เพียงแต่ เพราะว่าดาวต่างๆนั้นอยู่ห่างจากโลกมากมายนัก ผลกระทบที่มาถึงโลกของดาวดวงต่างๆ นับตามระยะห่างวงโคจร รวมๆกันหมดระบบสุริยะก็ได้ 1.7% ของดวงจันทร์เท่านั้น [7] แถมที่เด็ดคือ นี่เป็นระยะห่างวงโคจร หรือระยะห่างที่น้อยที่สุดระหว่างดวงดาว ปรกติแล้วดวงดาวต่างๆมันจะอยู่ห่างจากโลกมากกว่าระยะวงโคจรมากนัก ซึ่ง แนะนำให้ลองเทียบดูตำแหน่งดวงดาวต่างๆกับโลกได้ที่นี่ โดยสรุปคือถ้าจะไปดูการเรียงตัวของดาวดวงอื่นๆ มาสนใจกับคาบโคจรของดวงจันทร์ต่อแผ่นดินไหวยังจะเป็นเนื้อเป็นหนังกว่ามาก






รูปที่ 4: ขนาดของแรงโน้มถ่วงจากดวงดาวต่างๆในระบบสุริยะเทียบกับดวงจันทร์








ปัญหาเรื่องการทำนายแผ่นดินไหวของ ดร ก้องภพ


ปัญหาของการทำนายและเทียบเรื่องแผ่นดินไหวที่เคยมีมายาวนานในห้องหว้ากอนั้น มันเกิดจากการตั้งสมมุติฐานการค้นหาที่ผิดพลาด คือจับเอาเวลาที่ดาวเรียงตัวกันแล้วหาแผ่นดินไหว


สมมุติถ้าเราจะลองดู List เทียบแผ่นดินไหวกับคำทำนายของตาก้องภพ ถ้าเราพูดคร่าวๆว่า มันมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับที่ ดร ก้องภพทำนายคือวันที่ 7 กรกฎาคม 3 กันยายน 29 กันยายน และ 13 ตุลาคม ในระดับที่มีนัยสำคัญ อันนี้มันก็ฟังดูแม่นมากทีเดียวใช่ไหมครับ




รูปที่ 5: การทำนายแผ่นดินไหวของด๊อก ก้องภพ






แต่ในข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ ถ้ามองระยะยาว ดูความถี่ที่เกิดขึ้น มันก็กลายเป็นว่า ถ้าไม่ระบุสถานที่ แต่บอกว่าจะมีแผ่นดินไหวขนาด 7 ริกเตอร์ ผมจะทำนายได้ว่ามันจะเกิดเดือนไหนเกือบ 100% เช่นกัน ซึ่งเมื่อเทียบกับการทำนายของ ดร. ก้องภพ ของปีที่แล้ว ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า ที่บอกว่าวันเวลาใกล้กัน เมื่อคำนึงถึงความถี่ที่มันเกิด มันแทบจะเรียกว่ามั่วแทงหวยกันเลยทีเดียว[8]




รูปที่ 6: เทียบแผ่นดินไหวที่เกิดกับการทำนายของด๊อก ก้องภพ







แผ่นดินไหวจากดวงอาทิตย์: Solar Flare สร้างแผ่นดินไหว



Solar Flare และแผ่นดินไหว ที่มักมีประเด็นกันจะเกิดจาก Fallacy of relative to absolute คล้ายๆกับกรณีของความเข้าใจผิดของ ดร ก้องภพ ที่เลือกเอาข้อมูลช่วงแคบ และให้มีค่า Lead และ Lag time ปริมาณมาก ซึ่งโชคดีของผมที่มีคนเอามาพล็อตให้ดูแล้วใน Astroblogger [9] ซึ่งดูจากกราฟแล้ว มันก็คือเกิดขึ้นโดยสุ่ม หรือ ไร้ความสัมพันธ์ใดๆทั้งสิ้น




รูปที่ 7: การเกิด Solar Flares พล็อตกับสถิติแผ่นดินไหว





ส่งท้าย


ในสารพัดเรื่องที่ Review มานี้ หวังว่ามันจะเป็นแนวทางในการเลือกคิด และเลือกเชื่อกับความเชื่อต่างๆที่มีอยู่ในสารบบสังคมวิดกระทาสาร์ทเรา พวกเรามักจะจับประเด็นและโยงความสัมพันธ์กันง่ายเกินไป กรณีการจะกล่าวว่าเหตุการณ์ A ทำให้เกิดเหตุการณ์ B มันต้องใช้มากกว่าการทำกราฟ มันต้องลงไปถึงโมเดลความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ด้วย





อย่างกรณีภาวะโลกร้อนต่อแผ่นดินไหว ส่วนใหญ่ก็จะคิดง่ายๆเอาตามความรู้สึก หรืออาจเอาสถิติช่วงสั้นมาเทียบบ้าง ซึ่งมันก็จะทำให้เขวได้ง่าย อย่างน้อย ผลกระทบภาวะโลกร้อนต่อแผ่นดินไหวมันก็มีงานวิจัยที่สนับสนุนอยู่ และถ้าเราเริ่มต้นจากการศึกษาไปในงานวิจัย มันย่อมจะได้ข้อสรุปที่เป็นหลักเป็นฐาน กว่าการดูนักวิดกระยาสาร์ทกำมะลอนั่งทางใน แล้วมาเพ้อเจ้อผ่านฟรีทีวีบ้านเราครับ การให้ความเชื่อนำวิทยาศาสตร์ เหมือนกับการสุ่มนั่งฐานกลางความมืดที่แม้มันจะมีโอกาสที่จะอุจาระลงร่องพอดี แต่โอกาสจะเลอะพื้นหรือเดินตกฐานลงในกองอาจมนั้นก็มากเสียยิ่งกว่ามากครับ





อ้างอิง














Create Date : 17 กรกฎาคม 2554
Last Update : 17 กรกฎาคม 2554 14:23:55 น. 0 comments
Counter : 1793 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Darth Prin
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




นี่คือกรุบทความของผม ซึ่งส่วนใหญ่ก็โพสไว้แล้วในหว้ากอ

ผมเชื่อ ในมุมมองที่ไม่เป็นกลาง ใครก็ตามเวลาพูดอะไรมันก็มีเอียงซ้ายเอียงขวากันทั้งนั้น สำคัญที่สุดคือการแสดงจุดยืนที่ไม่เป็นกลางออกมา ด้วยเหตุผลทั้งหมดว่าทำไมมันควรเอียงไปด้านนั้น
[Add Darth Prin's blog to your web]