เฮฮาภาษางานแต่ง ตอนอร่อยหวานสามย่านซีฟู๊ด
สัญญาว่าจะมาต่องานฉลองคู่ที่แล้วที่โรงแรมดุสิตธานี ขอผิดสัญญาด้วยงานล่าสุดที่ไปมาสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เนื่องจากพกกล้องตัวจิ๋วติดไปด้วยเลยได้ถ่ายรูปมาประกอบบทบรรยายเลยอยากให้ทุกคนได้เห็นรูป
เสียดายที่ตื่นสายเพราะเมื่อคืนเพลินไปหน่อยที่บ้านแจ้ เลยไปกั้นประตูรับขบวนเจ้าบ่าวไม่ทัน อดได้ซองอั่งเปาแถมไม่มีเรื่องมาเฮให้เพื่อนๆ ฟัง แต่เอาเถอะยังดีมาทันกิน วันนี้รับรองว่ารูปกระจายพาให้น้ำลายหกรดจอแน่ๆ
เคยได้ยินผู้ใหญ่หลายๆ คนมักพูดว่าจัดงานที่โรงแรมอาหารไม่อร่อย สู้ไปเช่าสถานที่ และหาร้านจัดโต๊ะจีน หรือถ้าให้พูดหรูๆ ก็บรรดา Catering มาจัดให้ไม่ได้ แถมราคาค่างวดก็ถูกกว่าเป็นไหนๆ แต่ปัญหาที่มักเกิดขึ้นคือ ปัญหาเรื่องการบริการ และความสะดวกสบายในเกือบทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องแต่งตัว, การเสิร์ฟน้ำ, การตกแต่งสถานที่, ห้องน้ำ และอีกร้อยแปดปัญหา
หากจัดงานใหญ่ๆ และมีแขกระดับวีไอพี การจัดที่ภัตตาคาร หรือร้านอาหารบางแห่ง อาจทำให้การต้อนรับแขกบกพร่องไปได้ หรือไม่งั้นเจ้าภาพก็ต้องเตรียมการอย่างดี พอเสร็จงานแล้ว เหนื่อยสายตัวแทบขาด ยกเว้นแต่ว่าสมัยนี้มีการจ้าง Wedding Planner มาจัดการดูแล เนรมิตร้านอาหาร สถานที่ให้เช่าต่างๆ มาเป็นปราสาทราชวังได้เลยทีเดียว แต่หากจัดงานกันเฉพาะญาติๆ คนสนิท ภัตตาคารก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
งานวันนี้เป็นงานหมั้น พร้อมแต่งรวดเดียวเสร็จตามสมัยนิยม เจ้าสาวเป็นลูกเลี้ยงของเพื่อนอาม้า ซึ่งเราเคยเจอและได้มีโอกาสพูดคุย เป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา เพื่อนของอาม้ารักใคร่เธอมากเพราะเธอเอาใจใส่ดูแลแม่ใหญ่เสมือนแม่แท้ๆ งานวันนี้เลยได้แม่ใหญ่เป็นแม่งานให้เจ้าสาว
ภัตตาคารสามย่านซีฟู๊ด บนถนนนราธิวาสราชนครินทร์แห่งนี่ใครผ่านไปผ่านมาก็รู้จัก มีรูปปูตัวใหญ่มีไฟวิ่งให้เห็นเด่นชัด เราเคยไปทานอาหารที่นี่หลายครั้งแล้ว อาคารของภัตตาคารตกแต่งเป็นแบบจีนร่วมสมัย ดูโอ่อ่าและหรูหรา เราเองไม่เคยขึ้นไปถึงชั้น 3 จนมาถึงวันนี้ ชั้นนี้ถูกจัดให้รองรับงานมงคลแบบจีนโดยเฉพาะเลย เวทีที่ยกพื้นเตี้ยๆ ด้วยฉากหลังลวดลายมังกร พร้อมเก้าอี้ไม้ตัวยาวแบบจีนโบราณตั้งตระหง่านอยู่
ห้องโถงกว้างมีเสา 2 ด้านยาวจนสุดห้องรองรับโต๊ะจีนขนาดนั่งเบียด 10 ท่าน ได้ประมาณ 40 - 45 ตัว เป็นจำนวนโต๊ะที่เมื่อแขกนั่งแล้วจะลุกไปไหนต่อไหนลำบาก เหมาะนักถ้าหากไม่อยากให้แขกลุกเดินบ่อยๆ แต่หากคู่บ่าวสาวอยากจะถ่ายรูปตามโต๊ะคงต้องใช้ความพยายามสูงมาก ดังนั้นถ้าต้องการจัดที่นี่ต้องขอให้ทางภัตตาคารลดจำนวนโต๊ะลงเหลือเพียงสัก 30 - 35 โต๊ะ น่าจะกำลังดี ห้องน้ำชั้นนี้มีบริการแยกชาย - หญิง ฝ่ายละประมาณ 6 ห้องน่าจะได้ เท่าที่สังเกตเห็นแต่เป็นโถแบบนั่งยองๆ ไม่แน่ใจว่าจะมีโถแบบนั่งไว้บริการผู้สูงอายุหรือไม่ ส่วนที่จอดรถที่นี่ไม่มีปัญหา เพราะจอดได้ยาวๆ เต็มพื้นที่หน้าภัตตาคารได้เลย มียามบริการเสร็จสรรพ
รูปแบบงานเป็นแบบง่ายๆ มีเพียงญาติของทั้งสองฝ่าย และแขกสนิทๆ จัดเพียงแค่ 10 กว่าโต๊ะ ที่นี่มีลิฟท์ตรงสุดทางเดิน แต่เรากับอาม้าเดินขึ้นบันไดมา จะด้วยความโง่ของเราเอง หรือความเขลาของพนักงานก็ไม่ทราบ เพราะตอนเดินมาถึงพนักงานเธอบอกเพียงแค่ว่าอยู่ชั้น 3 ทางนี้ค่ะบันได สงสัยเห็นตัวเราอ้วนๆ ควรออกกำลังกายตอนเช้า เล่นเอาหอบจนตัวโยนกว่าจะถึงชั้น 3
โผล่ขึ้นมาถึงเลยเจอประตูที่อยู่ด้านหน้าใกล้เวที คู่บ่าวสาวดักสวัสดีประชิดตัว ด้วยความที่มาสายเลยได้เห็นว่าสินสอดทองหมั้นยกมาวางไว้ที่โต๊ะตรงเวทีเรียบร้อยแล้ว ได้ยินเสียงแม่ใหญ่ของเจ้าสาวเรียกญาติ และแขกทุกท่านมาดูสินสอด เราก็เลยถือโอกาสเก็บภาพมาฝาก
และนี่เป็นต้นซุงเฉ้า หรือต้นเมียหลวงที่เจ้าสาวต้องนำไปปลูกที่บ้านฝ่ายชาย เมื่อรับตัวเข้าบ้านแล้ว เจ้าภาพใส่ห่อแดงแยกต้นเล็กๆ 2 ต้นพอเป็นพิธี
อันนี้เป็นของในขบวนขันหมากเช่นเครือกล้วยหอม หากผู้ใหญ่บางท่านที่พิถีพิถันจะเจาะจงเฉพาะลักษณะเครือที่ดีคือ ลำของเครือต้องโค้งงอลงมารับของหวีที่ต้องโค้งขึ้นมาเจอกัน (แต่ก็ไม่ต้องถึงกลับมาจรดกันพอดีหรอกนะ) ซึ่งแน่นอน แหล่งลักษณะกล้วยแต่งงาน รวมถึงส้มเช้ง ที่น่าประหลาดใจว่าทำไมถึงมีขายกันทั้งปีก็ต้องที่ตลาดน้อย
ขนมแต่งงานที่จัดไว้อย่างง่ายๆ เพียง 2 ชั่ง ห่อใหญ่ๆ ติดด้วยตัวอักษรซังฮี่
นอกจากนี้แล้วก็มีส้มเช้งติดตัวอักษรซังฮี่ สังเกตว่าก้านและใบต้องติดส้มด้วย และถาดใบทับทิม อย่างละ 2 ถาด
ดูของในขบวนแล้วก็มาถึงพิธียกน้ำชาญาติฝ่ายเจ้าสาวก่อน ตามด้วยญาติฝ่ายชาย และแขกผู้ใหญ่ทั้งหลาย
ชุดน้ำชาสำหรับพิธียกน้ำชา หรือคั่งเต๊
กองผ้าขนหนูสำหรับมอบให้ญาติๆ และแขกผู้ใหญ่ที่ให้คู่บ่าวสาวยกน้ำชาให้
ตอนยกน้ำชานี้ได้ยินญาติทั้งฝ่ายเจ้าบ่าว ฝ่ายเจ้าสาว พูดเกทับกันเล่นๆ ว่าท่านนี้ยกน้ำชาเยอะๆ หน่อยซองหนัก ฯลฯ เป็นที่เฮฮาสนุกสนาน บ้างก็ให้ซอง บ้างก็ให้ทอง เสร็จพิธีเป็นอันว่าคู่บ่าวสาวอร่ามทองกันไปทั้งตัว
ระหว่างพิธีก็เริ่มเสิร์ฟอาหารด้วยอุปกรณ์รับประทานอาหารของภัตตาคาร ตอนนี้เตรียมอาวุธกันก่อนนะจ๊ะ
จานแรกเคี้ยวกันเพลินๆ ด้วยถั่วไปก่อน
จานสองออเดิร์ฟ
จานสามหูฉลามตามสูตร
จานสี่หมูหัน ซึ่งที่นี่ทำไม่เหมือนที่อื่นคือย่างจนกรอบทั้งเนื้อและหนัง พร้อมแล่หนังติดเนื้อมาเลย เลาะกระดูกออก
รสชาติจานที่ 3 และ 4 บอกไม่ได้จริงๆ เพราะว่าไม่ทานหูฉลามและหมู แต่ดูแล้วหูใหญ่ดี ส่วนหมูก็คงจะกรอบเพราะที่โต๊ะนั่งกันแค่ 7 ท่านทานจนเกลี้ยงเลย
จานที่ 5 ปูผัดผงกะหรี่อันลือชื่อของที่นี่ อร่อยมาก เจ้าภาพจัดไว้โต๊ะละ 2 ตัว ผงกะหรี่เข้มข้น ปูเนื้อแน่นและตัวใหญ่
จานที่ 6 หอยเชลส์ผัดซอสเอ็กซ์โอ
จานที่ 7 ปลากระพงจีน ซึ่งเจ้าภาพขอเป็นปลากระพงนำเข้ามาเลย เพราะสังเกตได้ว่าหัวปลาเป็นสีเหลือง และมีเม็ดดำๆ เล็กๆ ที่บริเวณหลังครีบ หากเป็นปลากระพงจีนที่เลี้ยงในประเทศไทยจะไม่มีลักษณะดังกล่าว
จานที่ 8 น้ำแกงอะไรจำไม่ได้ ตุ๋นกับเก๋ากี้
กินกันมาถึงตอนนี้ จานของแต่ละท่านนะเลอะสุดบรรยาย ข้างๆ ก็เต็มไปด้วยเศษปู และเศษกระดาษทิชชู พนักงานเก็บไปบ้างเป็นครั้งคราว นึกถึงตอนนี้ก็พอจะนึกได้ว่าเวลาไปโรงแรมละก็ ไม่เคยเห็นเศษเล็กเศษน้อย โรงแรมจัดเก็บเรียบร้อย จานเปลี่ยนกันกระจายทุกครั้งที่ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยน พอมาถึงเมนูน้ำแกง เราเองก็ต้องใช้กระดาษทิชชูเช็ดแกงกะหรี่ที่ติดถ้วยออก ไม่งั้นรสชาติตีกันแย่แน่
จานที่ 9 แน่นอนตามสูตรอีกแล้วต้องเป็นผัดหมี่
มาถึงตอนนี้อิ่มจนพรรณนาไม่ถูก ได้เวลาของหวาน ถึงมีโอกาสเปลี่ยนถ้วยชุดใหม่ นึกว่าจะควบหวานควบคาวไปเสียคราวเดียวกันซะแล้ว .
ก่อนทานของหวานก็ให้เช็ดมือเช็ดหน้าเสียก่อน กินจนเหงื่อแตก
ของหวานตามประเพณีไม่พ้นโอวหนี่แป๊ะก้วย
กินมาถึงตรงนี้บอกได้เลยว่าอร่อยทุกเมนู ด้วยความที่ภัตตาคารแห่งนี้มีชื่อเสียงด้านนี้อยู่แล้ว แอบถามเจ้าภาพแจ้งว่าโต๊ะนี้ทั้งชุดก็ตกราว 4 - 5 พันบาท ไม่รวมเครื่องดื่มที่มีน้ำอัดลมรสต่างๆ ไว้บริการ และน้ำเปล่า
การจัดงานที่ภัตตาคาร แขกต้องเสิร์ฟน้ำเอง หากนั่งกับคนคุ้นเคยก็ไม่มีปัญหา หากนั่งกับคนไม่ค่อยสนิท บางทีจะเติมน้ำก็ออกจะลำบากหน่อย งานวันนี้ทางร้านเตรียมเครื่องดื่มเป็นน้ำอัดลมขนาดขวดเล็ก ทำให้พนักงานเปิดขวดเตรียมไว้แต่ละโต๊ะประมาณ 10 กว่าขวดคละรสกันไป พอเลิกงานแล้ว ผลก็คือมีน้ำขวดเหลือเต็มโต๊ะเกือบทุกโต๊ะ ซึ่งค่าน้ำนั้นไม่ได้ถูกคิดรวมกับราคาค่าโต๊ะ อันนี้หากใครจะจัดงานลักษณะนี้ต้องเตรียมบอกทางร้านไว้ให้ดี
งานวันนี้กันเองกันจริงๆ ไม่มีพิธีอะไรยุ่งยากเลย เห็นชัดว่าทั้งเจ้าภาพทั้งแขกมากันอย่างสบายๆ เจ้าสาวแต่งกายด้วยชุดไทยแบบประยุกต์สีงาช้าง คอปาด ทิ้งชายไว้ข้างหนึ่ง แต่งหน้ากันเพียงบางๆ ส่วนเจ้าบ่าวใส่สูทสีเดียวกัน ช่างภาพไม่ต้องจ้างให้วุ่นวาย เพราะพี่ชายต่างมารดาเป็นผู้จัดการถ่ายให้กับมือ อีกทั้งบรรดาญาติก็นำกล้องมาถ่ายภาพกันเองอย่างครึกครื้น
งานนี้จึงจบแบบอร่อยๆ กันเองมากๆ ขากลับของชำร่วยในงานถุงใหญ่ ไม่ต้องเก็บสะสม แต่กินลงท้องไปได้ด้วยคุกกี้สมุนไพรสุขภาพบ้านตุลาการ
งานฉลองสมรสของคู่นี้จะจัดขึ้นอีกทีวันที่ 25 พ.ย. นี้ แต่เราคงไม่ได้ไปร่วมงานกับอาม้า เพราะจะไปเที่ยวสุโขทัย - พิษณุโลกรับอากาศหนาว แล้วเจอกันตอนหน้าจะกลับมาเล่างานฉลองโรงแรมดุสิตธานีของคู่ก่อนที่ค้างไว้
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2548 |
|
9 comments |
Last Update : 26 กรกฎาคม 2551 12:36:26 น. |
Counter : 5564 Pageviews. |
|
|
|