We can Change the world everyday
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2549
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
31 กรกฏาคม 2549
 
All Blogs
 

โมโม่

โมโม่,มิฆาอิล เอ็นเด้(เขียน) ,ชินณรงค์ เนียวกุล (แปล),สำนักพิมพ์บานชื่น , พิมพ์ครั้งที่ 2 ,กรุงเทพฯ 2531 ,ขนาดพ็อกเก็ตบุค ,288 หน้า,ราคา 48 บาท
รูปของ Michael Ende ผู้ขียนโมโม่

เวลาคือชีวิต และชีวิตสถิตอยู่ที่หัวใจ
นี่คือคำโปรยบนปกของหนังสือวรรณกรรมเยาวชนที่แปลมาจากภาษาเยอรมันเล่มหนึ่งซึ่งตีพิมพ์เมื่อ 7 ปีที่แล้ว โดยมิฆาอิล เอ็นเด้ ผู้เขียน “จินตนาการไม่รู้จบ” (The Neverending Story) อันกระเดื่องดัง โดย โมโม่ ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาเยอรมันในปี 1973 ก่อน “จินตนาการไม่รู้จบ” 6 ปี คำโปรยนี้แสดงถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะบอกได้อย่างดี โดยผู้เขียนเองก็ย้ำประโยคนี้อยู่บ่อยครั้งทั้งทางตรงและทางอ้อม

โครงเรื่องหลักๆ ของโมโม่คือ “เรื่องราวอันแปลกประหลาด ของพวกโจรที่ขโมยเวลาไปจากมนุษย์ กับเด็กคนหนึ่งผู้นำเวลานั้นกลับคืนมา”

โมโม่ แบ่งออกเป็น 3 ตอน โดยตอนที่หนึ่งเป็นการแนะนำโมโม่และเพื่อน ตอนที่สอง เป็นการเกริ่นนำถึงเรื่องราว ตอนที่สามเป็นการคลี่คลายเรื่องราว

เหตุการณ์อันน่าสพรึงกลัวเริ่มขึ้นเมื่อมีผู้คนเริ่มฝากเวลากับผู้ชายสีเทาด้วยความคิดว่าเขาจะได้เวลาที่ ประหยัด ไว้ในอนาคตคืนมาอย่างมหาศาลตามคำมั่นของ“ผู้ชายสีเทา” พวกเขาจึงเริ่ม “ประหยัดเวลา” แต่ “เวลาคือชีวิต และชีวิตสถิตอยู่ที่หัวใจ ยิ่งมนุษย์ประหยัดมันมากเท่าไร กลับยิ่งทำให้มีน้อยลงเท่านั้น”(หน้า 80) ดังนั้นแม้ว่าพวกประหยัดเวลาจะมีความร่ำรวยในทางวัตถุมากขึ้นแต่กลับไร้ความสุขในทางจิตใจ จนในที่สุด โมโม่เริ่มสงสัย และเมื่อเธอรู้ว่าสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงอันเลวร้ายนี้มาจากไหนเธอก็พยายามที่จะแก้ไขเพราะไม่เพียงเธอเองที่ได้รับผลกระทบจากการที่เพื่อนเก่ามาเยี่ยมเยียนน้อยลงแล้ว เพื่อนใหม่และคนอื่นๆ ก็มีทีท่าแปลกๆ ไม่มีความสุข ประกอบกับการขอความช่วยเหลือจากท่านโฮร่า ผู้ดูแลเวลา เธอจึงต้องเดินทางเพื่อนำเวลากลับคืนมาจากโจรขโมยเวลา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

เรื่องราวของโมโม่ สอดแทรกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไว้ในโครงเรื่องใหญ่ๆ ไว้มากมายแต่ทว่ากลมกลืนกับเนื้อเรื่อง ผู้อ่านไม่ใคร่รู้สึกว่ากำลังถูกยัดเยียด อย่างเช่น

ในเรื่องของการใช้ชีวิตของตัวละคร ผู้เขียนได้ปูพื้นให้ผู้อ่านได้รู้จักกับตัวละครต่างๆ ในตอนที่หนึ่ง ซึ่งลักษณะการดำเนินชีวิตต่างๆ ของตัวละครเหล่านี้ ก็จะชวนให้เราตั้งคำถามกับตัวเอง บางทีไม่ใช่ถามว่าเราดีเหมือนตัวละครเหล่านี้ไหม แต่อาจถามว่าเราเคยเจ็บปวดหรือเป็นทุกข์กับการกระทำที่ตรงข้ามกับตัวละครเหล่านี้ไหม ไม่ว่าจะเป็นกับตัวเองหรือพบเห็นจากคนอื่นๆ อย่างเช่น ผู้เขียนได้กล่าวถึงเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เด็กคนนี้มีคุณสมบัติที่แตกต่างไปกว่าคนอื่นๆ ตรงที่เธอมีความสามารถในการ “ฟัง” เธอสามารถที่จะเข้าไปนั่งในหัวใจของคู่สนทนาและช่วยให้คู่สนทนาสามารถพรั่งพรูเอาสิ่งที่อยู่ในจิตใจตนออกมาได้ ซึ่งทำให้คู่สนทนาได้เห็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเองแต่ไม่รู้ว่าตนมีได้

“พอได้พูดต่อหน้าโมโม่ คนโง่กลับมีความคิดดีๆ ขึ้นมาได้ ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเธอจะพูดหรือถามไถ่จนเขาคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอเพียงแต่นั่งฟังผู้นั้นพูดด้วยความตั้งใจและอย่างเอาใจใส่ ในขณะที่เธอมองเขาด้วยนัยน์ตาดำขลับ คนพูดก็จับความคิดขึ้นมาได้ ซึ่งเขาก็ไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่ในหัวสมองของเขาเอง” (หน้า 21)

นอกจากนั้น การฟัง ของโมโม่ยังสามารถแก้ไขความขัดแย้งได้อย่างน่าประหลาด ดังกรณีของนิโคลา ช่างปูน กับ นีโน่ เจ้าของร้านอาหาร ที่ “ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ถึงขนาดจะไม่ยอมมองหน้ากันอีกตราบจนวันตาย” แต่โมโม่ก็ ฟัง ทั้งสองคน โดยไม่แสดงตัวว่าอยู่ฝ่ายใคร แต่ทั้งสองคนนั้นก็ได้ทะเลาะกันต่อหน้าโมโม่และสืบสาวสาเหตุของการขัดแย้งกันอย่างยืดยาว จนกระทั่งถึงจุดเริ่มต้นของการขัดแย้งที่เป็นเพียงความไม่พอใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ทั้งสองกลับหาโอกาสแก้แค้นกันตลอด จนเรื่องราวใหญ่โตจนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วทะเลาะกันเพราะเรื่องอะไรกันแน่ แต่ด้วยความสามารถในการฟังของโมโม่ ก็สามารถทำให้ทั้งคู่รู้ว่าเรื่องราวมันไม่ได้ร้ายแรงดังที่คิดและคืนดีกันได้ในที่สุด เพียงเพราะ ”ฟัง” เท่านั้น

“ความสามารถในการจินตนาการ” เป็นความสามารถอีกอย่างของเธอ ดังปรากฎในตอนที่เธอเล่นกับเพื่อนๆ มันทำให้การ ”เล่น” เป็นการเล่นที่สนุกสนาน มันทำให้เธอรู้จักคุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่างว่าไม่มีสิ่งใดไร้ค่าหากเธอรู้จักจินตนาการ มันทำให้เธอไม่รู้จักเบื่อ ซึ่งรวมไปถึงเพื่อนของเธอด้วย

นอกจากโมโม่ ยังมีเพื่อนสนิทของเธออีกสองคน ที่มีลักษณะที่น่าสนใจเช่นกัน คือ เบ็ปโป็ คนกวาดถนน และ จีจี้ มัคคุเทศน์

เบ็ปโป็ เป็นคนกวาดถนน งานของเขาดูออกจะน่าเบื่อ เพราะวันทั้งวันจะต้องกวาดแต่ถนนเพียงอย่างเดียว แต่เบ็ปโป็มีวิธีการทำงานที่น่าสนใจคือ

“จะต้องไม่คิดถึงถนนทั้งสายเพียงครั้งเดียว...” “จะต้องคิดถึงแต่ก้าวต่อไป ลมหายใจต่อไป การกวาดครั้งต่อไป แล้วจึงคิดถึงครั้งต่อไปอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า” “แล้วในทันใดก็ได้เห็นว่า ด้วยการเดินเพียงทีละก้าวๆ ถนนที่ว่ายาวได้ถูกเดินผ่านไปแล้ว โดยไม่ทันสังเกตว่าทำได้อย่างไร ทั้งยังไม่รู้สึกว่าได้ตรากตรำ” (หน้า 42)

คนเราในปัจจุบัน ดูจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ “ทีละก้าว” สักเท่าไร มักจะคอยคิดถึงแต่จุดหมายปลายทาง หรืออะไรใหญ่ๆ ทำให้รู้สึกว่างานมันยากเหลือเกิน งานมันไม่เสร็จเสียที และคิดแต่จะทำให้เสร็จ ทำให้ท้อแท้ ไม่มีความสุขกับงาน

สำหรับจีจี้ มุมมองของเขาดูจะแตกต่างกับเป็บโป้ จีจี้ใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งเขาจะโด่งดังและร่ำรวย เขาฝันไปในอนาคตอย่าง“สุขใจ” แต่เขากลับ “ไม่ค่อยจะฝักใฝ่ในความขยันขันแข็งและการออกแรงทำงานหนักเท่าไรนัก”

“ไม่เห็นจะเก่งตรงไหนเลย” “ถ้าเป็นอย่างนั้น ใครอยากจะรวยก็รวยไป ดูซิแล้วเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง พวกที่ยอมเอาชีวิตจิตใจแลกเปลี่ยนกับการมีฐานะดีขึ้นนิดๆ หน่อยๆ ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่เอาด้วย ฉันไม่เล่นด้วยหรอก ถึงบางครั้งฉันจะไม่มีเงินแม้จะกินกาแฟสักถ้วย แต่จีจี้ก็ยังเป็นจีจี้อยู่อย่างซื่อตรงไม่เปลี่ยนแปลง” (หน้า 46)

จีจี้ เห็นว่าการทำงานหนักเพื่อความร่ำรวยนั้นไม่ก่อให้เกิดความสุขในปัจจุบัน และการยอมสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่เขา “ยอมจนอยู่อย่างนี้ดีกว่า”

ดังนั้นถ้าจะว่าไปแล้ว ทัศนะต่อชีวิตของจีจี้กับเป็บโป้ในเนื้อแท้ก็ไม่ต่างกันนัก ในแง่ที่ทั้งสองต่างก็ให้ความสำคัญแก่ “ความสุขในการทำงาน” และ “ความสุขในปัจจุบัน”

เมื่ออ่านโมโม่เราจะพบว่ามีการเสียดสีสังคมปัจจุบันอย่างน่ารักอยู่หลายครั้งทีเดียว อย่างเช่นทัศนะที่มีต่อนักประวัติศาสตร์ ก็ปรากฏในตอนที่พูดถึงอาชีพของจีจี้ อาชีพหลักอันหนึ่งของจีจี้ก็คือการเป็นมัคคุเทศน์ เขาจะช่วยนำพานักท่องเที่ยวไปชมสถานที่ต่างๆ และเล่าเรื่องราวให้ฟัง ด้วยเรื่องราวที่เขาแต่งขึ้นเอง ซึ่งมีหลายคนบอกว่าเขาไม่น่าหารายได้ด้วยการบรรยายเรื่องที่เขาแต่งขึ้นเอง แต่จีจี้บอกว่า
“นักประพันธ์เขาก็ทำกันอย่างนี้” “...มันจะต่างกันตรงไหนว่าเรื่องราวมันจะมาจากหนังสือหรือไม่ แล้วใครรู้บ้างว่าหนังสือประวัติศาสตร์จะไม่ถูกคิดถูกแต่งขึ้นเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีคนรู้เรื่องเหลืออยู่เท่านั้น”

“อะไรมันจริง อะไรมันไม่จริงกัน มีใครรู้บ้างว่าอะไรเกิดขึ้นที่นี่เมื่อพันปีหรือสองพันปีมาแล้ว..” (หน้า 45)

และในเรื่องเล่าของจีจี้นั่นเองผู้เขียนได้เสียดสีวิธีคิดในการทำงานแบบปัจจุบันไว้อย่างน่ารักทีเดียว ดังกรณี “ปลาทองของพระราชินี” ที่จีจี้เล่าให้แก่นักท่องเที่ยวฟัง เขากล่าวถึงคำพูด “ยิ่งโตยิ่งดี” ที่พระราชินีตรัสพึมพำครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเห็นว่าปลาทองที่ได้มานั้นเติบโตขึ้น เนื่องเพราะพระราชินีได้รับคำบอกมาว่าปลาทองจะกลายเป็นทองจริงๆ เมื่อมันโตเต็มที่ จนกระทั่งคำ “ยิ่งโตยิ่งดี” ได้กลายเป็นแนวทางปฏิบัติของราชการ และในที่สุดเมืองของพระราชินีก็ต้องล่มสลายเพราะพระราชินีเอาแต่เฝ้าปลาทองตัวนั้น ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันเป็นเพียงปลาวาฬธรรมดา ซึ่งไม่มีวันจะกลายเป็นทองขึ้นมาได้

ในสังคมปัจจุบัน คติ “ยิ่งโตยิ่งดี” ก็หยั่งรากลงสู่วิธีคิดของคนเรามากเช่นกัน เรามักจะเชื่อว่าอะไรๆ ถ้าใหญ่ๆ มีมากๆ เอาไว้ก่อนก็จะดี โดยมิได้ตรวจสอบถึงความเป็นจริงว่า “ความพอดีต่างหากที่ดี”

ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงโลก ผู้เขียนได้แสดงทัศนะผ่านจีจี้ เมื่อจีจี้ พูดถึง ทรราช มาร์กเซ็นทิอุส คอมมูนุส ว่าเขาพยายามสร้างโลกใหม่เพื่อให้เป็นไปตามความคิดของเขา แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะถึงอย่างไรมาร์กเซ็นทิอุสก็ต้องใช้วัตถุดิบจากโลกเก่ามาสร้างโลกใหม่อยู่ดี ผู้เขียนเหมือนกำลังพยายามบอกว่าการเปลี่ยนแปลงโลกมิใช่เพียงการมองเผินว่าเปลี่ยนได้ทางกายภาพหรือโครงสร้างบางอย่างแต่ควรมองให้ลึกไปกว่านั้น แต่ก็ไม่ได้บอกว่าอะไร

นอกจากนี้ผู้เขียนได้วิจารณ์สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคมประหยัดเวลาไว้อย่างแหลมคมทีเดียว เช่น ของเล่นที่ปิดกั้นจินตนาการและปิดกั้นตนเอง โรงเรียนที่เป็นสถานกักกันเด็ก วิถีชีวิตที่ตามๆ กันไปและมีเป้าหมายชีวิตเพียงต้องการวัตถุ ความเหินห่างซึ่งกันและกันของผู้คน ความสูญเสียความภูมิใจในงานของคนผู้เคยรักงาน ฯลฯ

แต่ที่สำคัญ สิ่งที่ผู้เขียนพยายามบอกแก่ผู้อ่านก็คือ “เวลาคือชีวิต และชีวิตสถิตอยู่ที่หัวใจ”

เมื่อมนุษย์ไม่รู้จักชีวิต ไม่รู้ว่าเวลาคือชีวิต มนุษย์ก็กลายเป็นเหยื่อของผู้ชายสีเทาที่เกิดขึ้นเพราะ “มนุษย์เปิดโอกาสให้” พวกเขารู้จักเวลาดี พวกเขารู้วิธีที่จะได้มันมาทำให้พวกเขา“ดำรงอยู่ได้” ด้วยการเข้ามาใช้จุดอ่อนของมนุษย์ให้เป็นประโยชน์แก่ตน พวกเขาใช้ความโลภ ความอยากสบาย ล่อให้มนุษย์หลงกลและยอมให้เวลาแก่พวกเขาอย่างง่ายดาย เมื่อมนุษย์หลงกลก็จะต้องตกอยู่ในวังวนของการประหยัดเวลาอย่างโงหัวไม่ขึ้น ไม่มีเวลาจะมานั่งคิดถามตัวเองอย่างจริงจัง ในที่สุดเป้าหมายของชีวิตของเขาก็คือความร่ำรวย และความสบายใน“อนาคต” พวกเขาจะทำทุกสิ่งเพื่อมัน แม้แต่การทรยศต่อตนเอง...

คนอย่างนิโคลาช่างปูน ต้องสูญเสียความภูมิใจของช่างปูนที่ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ ด้วยรู้ว่าปูนที่เขาใช้อยู่นั้นผสมทรายมากไป ทั้งที่รู้ว่ามันจะไม่ทนทาน เขาต้องกินเหล้าให้เมา ไม่เช่นนั้นจะทนทำงานแบบนี้ไม่ได้

คนอย่างจีจี้ต้องเจ็บปวดกับการทรยศต่อความคิดความเชื่อของตนเองเพียงเพราะความหวาดกลัวต่ออนาคต เขากลัวว่าจะไม่มีชื่อเสียง กลัวจน ฯลฯ เขายอมทำตามคำแนะนำของผู้ชายสีเทาที่ว่า “...คุณอย่าเอาจริงเอาจังกับตัวคุณเองให้มากเกินไปเลย ที่จริงแล้วมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณเลย ถ้าคิดเสียได้อย่างนั้น คุณก็ทำต่อไปอย่างที่เคยทำมาได้อย่างสบาย” ฯลฯ

เด็กๆ เป็นสิ่งที่ผู้ชายสีเทาต้องจัดการ เพราะเด็กๆ มีความสดใส มีจินตนาการ จิตใจบริสุทธิ์จากความโลภ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการขโมยเวลาของผู้ชายสีเทาเป็นอย่างยิ่ง

“เด็กๆ คือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเรา ถ้าเผื่อไม่มีพวกนี้ มนุษยชาติก็คงจะอยู่ใต้อำนาจของเราเรียบร้อยมานานแล้ว การจะชักจูงพวกเด็กๆ ให้รู้จักประหยัดเวลา ยากกว่าการชักจูงพวกอื่นๆ มากมายนัก...” (หน้า 125)

แต่ไม่สามารถปกป้องคุ้มครองตนเองได้ เขาจำเป็นต้องพึ่งผู้ใหญ่ ดังนั้นในที่สุดผู้ชายสีเทาก็สามารถจัดการเด็กๆ ได้ โดยใช้ผู้ใหญ่นั่นเอง ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้เท่าทันตัวเองไม่รู้เท่าทันผู้ชายสีเทา ผู้ใหญ่ที่ควรจะปกป้องคุ้มครองเด็กๆ พวกเขาจับเด็กๆ ไปอยู่ “สถานอภิบาลเด็ก” ที่ “การเล่นต่างๆ จะต้องมีกฎมีเกณฑ์ตามที่ผู้ควบคุมการเล่นจะกำหนดขึ้นมา ซึ่งต้องมีการเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ไปด้วยตลอดเวลา แต่สิ่งที่พวกเขาลืมไปพร้อมกับการเรียนสิ่งใหม่ๆ ก็คือความกระตือรือร้น ความสนุกสนานดีใจ และความเพลิดเพลินกับการฝันใฝ่ไปในจินตนาการ” (หน้า 200) สิ่งที่เป็นประโยชน์ในที่นี้ก็คือการประหยัดเวลา การทำทุกอย่างให้มี “ประสิทธิภาพ”

ศัตรูของผู้ชายสีเทาไม่ใช่แต่เด็กๆ แต่ความรักก็เป็นสิ่งที่พวกเขากลัวเช่นกัน ผู้ชายสีเทาหมายเลข บลว./553/ซ. ถึงกับงอตัวและตกเข้าสู่ภวังค์เมื่อโมโม่ถามว่า “ไม่มีใครรักคุณเลยหรือ?”

โมโม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่เต็มเปี่ยม เธอเป็น “เด็ก” และเธอยังได้รับ ความช่วยเหลือจากเต่าคาซีโอพิย่า ซึ่งเปรียบเสมือนปัญญาที่คอยปกป้องคุ้มครองเธอจากอันตราย ทั้งเธอยังได้มีโอกาสฟังเสียงดนตรีในหัวใจอีกด้วย การนำเวลากลับคืนจากธนาคารเวลา ไปสู่เจ้าของเดิมจึงเป็นไปได้

ปัจจุบันเราดำรงชีวิตกันอย่างไร? เรามุ่งแต่จะได้บรรลุจุดหมายของชีวิตกันจนลืมชีวิตหรือเปล่า? เรามีความสุขกันดีอยู่หรือเปล่า? แล้วที่สำคัญ จุดหมายของเราคืออะไรกันแน่? เราต้องการมันจริงหรือไม่?

เรามักพร่ำบอกและพร่ำบ่นอยู่เสมอๆ ว่าเรา “ไม่มีเวลา ไม่มีเวลา” เราต้องหาหนังสือว่าด้วยการบริหารเวลามานั่งอ่านและทำตาม เราต้องประหยัดเวลา ตลอดเวลาเพื่อให้ใช้เวลาได้อย่างมี “ประสิทธิภาพสูงสุด” จากนั้นก็ทำ ทำ ทำ ทำ อยู่เรื่อยไปโดยไม่รู้สึกตัวว่าเวลาหายไปไหน ทั้งที่พยายามประหยัดแทบตาย

ถึงแม้ว่าโมโม่จะทำลายธนาคารเวลาได้ แต่เราก็ไม่อาจเบาใจได้ เพราะผู้ชายสีเทานั้นเกิดจากมนุษย์นั่นเอง ตราบใดที่มนุษย์ยังคงมีความโลภ ความหลงอยู่ ผู้ชายสีเทาก็จะกลับมา อาจจะในรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย บางทีมนุษย์เองก็สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาช่วยเหลือผู้ชายสีเทาเสียอีก

เราไม่ต้องรอคนอย่างโมโม่มาช่วยจับโจรขโมยเวลาหรอก ขอแค่เพียงเรารู้สึกตัว และฉีกสัญญาฝากเวลากับธนาคารเวลา เท่านั้นเราก็เป็นไทได้แล้ว แต่ที่สำคัญ ต้องถามตัวเองให้ได้ก่อนว่า “เราต้องการอะไรกันแน่ในชีวิต” ไม่เช่นนั้น โจรขโมยเวลาก็จะแอบเข้ามาขโมยได้เรื่อยๆ หรือไม่เช่นนั้นก็จะใช้เวลาอย่างไม่รู้คุณค่าของมัน

คุณค่าของโมโม่ อาจไม่ใช่เพียงวรรณกรรมเยาวชนธรรมดา เนื้อหาที่แฝงเร้นของมันมีมากมาย แต่ทว่าผู้เขียนก็ได้ใช้ศิลปะในการประพันธ์ซุกซ่อนมันไว้อย่างแนบเนียน ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีจุดอ่อนบางประการอย่างเช่น อาจทำให้เกิดการมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเกิดจากคนในสังคมไม่มีเวลา ไม่รู้จักคุณค่าของเวลา เพียงอย่างเดียวจนลืมด้านอื่นๆ ไป แต่สังคมหนังสือเล่มนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามต่อสังคม การแสวงหาคุณค่าของชีวิต ฯลฯ ได้อย่างดี

แล้วคุณล่ะ ตอนนี้คุณให้ความสำคัญแก่เด็กๆ แค่ไหน คุณทำอย่างไรกับวัยเยาว์ของคุณที่ยังหลงเหลืออยู่ในเวลานี้ ตอนนี้คุณใช้เวลาอย่างไร....

---------------------------------------------------------------------

เขียนไว้นานมากแล้ว ไม่รู้ส่งปาจารยสารหรือเปล่า แล้วได้ลงหรือเปล่าไม่รู้ครับ จำไม่ได้




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2549
4 comments
Last Update : 4 สิงหาคม 2549 15:09:57 น.
Counter : 1016 Pageviews.

 

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ ทำไมคนอย่าง
มิฆาเอล เอนเด้..จึงใช้โมโม่ซึ่งเป็นผู้หญิง
มาแทนสัญลักษณ์ของการฟัง..
........................................................
หรือว่าผู้หญิงมีคุณสมบัติในการฟังมากกว่าผู้ชาย..???
.........................................................
บังเอิญไม่เคยรู้ และไม่เคยอ่านบทสัมภาษณ์
ของเขาเลย ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า..

 

โดย: narintr007 (Narintr007 ) 2 สิงหาคม 2549 11:49:01 น.  

 

เคยอ่านแล้วล่ะ

แต่ประหลาดตัวเอง ว่า ชอบนะ แต่อ่านไม่จบอ่ะ

ตอนนี้หนังสือไม่รู้อยู่หนายละ จะไปหาอ่านอีกที ต้องค้นก่อน

ฮ่าๆ

 

โดย: The phu IP: 58.9.199.78 12 สิงหาคม 2549 20:35:38 น.  

 

 

โดย: .. IP: 124.120.75.45 17 ตุลาคม 2549 20:15:33 น.  

 

ถาม: ผู้หญิงกับนกกระจอกเหมือนกันอย่างไร
ตอบ: เหมือนกันตรงที่เวลาที่นกกระจอกอยู่ตัวเดียวจะอยู่เงียบๆ แต่เมื่ออยู่เป็นกลุ่มจะส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว

ถาม: แล้วผู้หญิงต่างจากนกกระจอกอย่างไร
ตอบ: นกกระจอกจะเงียบเวลากินข้าว แต่ผู้หญิงไม่

นี่คงเป็นแนวทางสำหรับ comment ที่ 1 ได้บ้างกระมัง..??

@_@

 

โดย: Boongigi IP: 124.157.167.244 23 มกราคม 2550 20:26:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


wechange
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add wechange's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.