ไม่มี ประชาธิปไตย ที่แท้จริง...
ไม่มี ประชาธิปไตย ที่แท้จริง... วิบูลย์ จุง // Wiboon Joong (wbj) // Jung
ประชาธิปไตย มาจาก "ประชา" ที่แปลว่า "ประชาชน" รวมกับ "อธิปไตย" ที่แปลว่า "อํานาจสูงสุดของรัฐที่จะใช้บังคับบัญชาภายในอาณาเขตของตน" แต่ในทางพุทธศาสนาเมื่อเปรียบเทียบรากศัพท์ของอธิปไตย จะตรงกับ "อธิปเตยฺย" ที่แปลว่า "ความเป็นใหญ่ยิ่ง"
ดังนั้น ประชาธิปไตย ถ้าแปลตามความหมายในปัจจุบัน ก็น่าจะหมายถึง "ประชาชนมีอำนาจสูงสุดของรัฐที่จะใชับังคับบัญชาภายในอาณาเขตของตน" หรือ "ประชาชนอยู่ภายใต้อำนาจสูงสุดของรัฐ" ทั้งสองความหมาย แปลตามลำดับหรือแปลย้อนกลับ
แต่ถ้ามองตามรากศัพท์ทางพุทธศาสนา น่าจะเป็น "ประชาชนมีความเป็นใหญ่"
เราถูกบอกว่า ระบบ ระเบียบ และ วิธีการปัจจุบันในการปกครอง คือ ประชาธิปไตย โดยใช้ระบบของประเทศที่เขาบอกว่า เป็นประชาธิปไตย มาประยุกต์ใช้กับประเทศเรา และ บอกว่า มันคือ ประชาธิปไตย ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ความเท่าเทียมกันคือ มีเป็นใหญ่เท่าเทียมกัน หรือ อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองเท่าเทียมกัน เป็นเรื่่องน่าคิดอย่างมาก ระบบประชาธิปไตย เกิดจากการให้ประชาชนเลือกคนที่เข้ารับสมัครเข้ามาเพื่อให้เขาเป็นตัวแทนของประชาชนในการออกเสียง มันเป็นการมอบส่งอำนาจให้อีกคนหนึ่ง เพื่อให้เขาใช้อำนาจในการตัดสินใจ และอ้างสิทธิว่ามาจากคนที่เลือกเขา ความเป็นจริงคือ การอ้างสิทธินั้น ประชาชนไม่ได้ใช้อำนาจของตนเองเลย แต่ผู้รับมอบสิทธิใช้อำนาจของตนเองอย่างเต็มที่ เพื่อใช้สิทธินั้นในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เพื่อพัฒนาสังคม พัฒนาประเทศ ให้ก้าวหน้าต่อไป
ผู้คนที่เข้ามาให้เลือก มีหลายคนที่ต้องการทำเพื่อตนเอง และ มีอีกหลายคนที่ต้องการทำหน้าที่จริงๆ แต่สภาพแวดล้อม การยกย่อง อำนาจ สิทธิพิเศษ รวมถึง เศรษฐกิจของตนเองที่แย่ลงจากการใช้เงินกับ ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ตนเอง เพื่อให้ประชาชนเลือก มันเป็นสิ่งที่ทำให้บางคนยังคงต้องการทำหน้าที่แต่อาจจะเพิ่มการกระทำบางอย่าง ตามสังคม เศรษฐกิจ และ สิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่... มีหลายเหตุการณ์ที่น่าสังเกต โดยเฉพาะ เมื่อสภาพการณ์ของผู้แทนฯ ได้รับการยอมรับ และ มีอำนาจที่เขาสามารถใช้ได้ ได้สิทธิพิเศษ จนเขาสามารถทำอะไรได้มากมาย อีกทั้งสังคมยังให้การยกย่องเชิดชูว่า เป็นคนมีเกรียติ มีศักดิ์ศรี ยกให้สูงกว่าคนทั่วไป สูงกว่าประชาชนทั่วไป มีสิทธิมากกว่าประชาชนทั่วไป จนทำให้ต่างคนต่างเข้ามาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง จากรูปแบบนี้ก็จะเห็นว่าความเสมอภาคระหว่างประชาชนและผู้แทนอยู่ตรงไหนกัน ในเมื่อสังคมก็ไม่ได้ให้ความเสมอภาค ระหว่าง ผู้แทนฯ กับ ประชาชน ระบบศักดินา ระบบอมาตยาธิปไตย จึงมีแฝงอยู่ใน ระบบประชาธิปไตย อย่างเงียบๆ
ไม่เพียงเท่านี้ การปกครองประเทศ ก็แบ่งชนชั้น อำนาจออกไป ตามลำดับขั้น ตามสายงาน ตามหน้าที่ อีกทั้ง ผู้ได้รับเลือกเขามาเป็นตัวแทนฯที่ได้เป็นผู้ควบคุมหน่วยงาน ก็เอาคนในพรรคของตนมาเป็นที่ปรึกษา และ มาเป็นทีมงานเพื่อดำเนินการที่นอกเหนือจากหลักการและหน้าที่การงาน ผ่านอำนาจของตัวแทนฯ ในการดำเนินการที่ดูเหมือนจะเป็นหน้าที่การงานแต่แอบแฝงการกระทำบางอย่าง เพื่อตอบสนองกับเศรษฐกิจที่สุญเสียไประหว่างการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งของ ตนเองและของพรรคการเมือง ก่อนการมาเป็นตัวแทน และ เพื่อสร้างเศรษฐกิจของพรรคให้พร้อมในการคัดเลือกครั้งต่อไป
การออกเสียงการใช้เสียงของตัวแทน ก็โดนกดขี่อำนาจ โดนยึดอำนาจ ยึดความคิดเห็น ไม่มีความเป็นอิสระของตัวแทน จากระบบศักดินา ผ่านกรอบของอำนาจใหม่ในพรรคการเมือง โดยใช้กฎระเบียบ และ วิธีการปฏิบัติ ผ่านมาเป็นข้อตกลงของพรรคในการแสดงความคิดเห็น ห้ามลงคะแนนออกนอกลู่นอกทาง ต้องลงคะแนนตามข้อตกลงของพรรคเท่านั้น ถึงจะอยู่รอดในเส้นทางการเมือง คนที่ต้องการอำนาจ และ การยอมรับ ก็จะพยายามผลักตนเองให้เป็นคนที่ได้อำนาจนั้นๆ หรือ ออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ สร้างอาณาจักร ของตนเองขึ้น เพื่ออำนาจเหล่านั้น ลักษณะการดำเนินการแบบนี้ ทำให้คิดย้อนไปว่า ประชาธิปไตย ที่หมายถึง ความเป็นใหญ่ของประชาชน ที่มอบให้กับ ผู้แทน ถูก พรรคการเมือง ยึดอำนาจทั้งหมดไป และมีผู้มีอำนาจเพียงเล็กน้อยที่ได้ใช้อำนาจจริงๆ มันก็ยังอยู่ในกรอบของ อำนาจของคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ประชาชนทั่วไปที่เป็นเจ้าของสิทธิจริง หรือ ความเป็นประชาธิปไตย ที่ ประชาชนเป็นใหญ่ มันไม่มีจริงในระบบประชาธิปไตย มีแต่ ความเป็นใหญ่อยู่เหนือประชาชน จะเห็นได้ชัดเจน โดยการเปรียบเทียบ ก่อนและหลัง การรับเลือกเป็นผู้เทนฯ ก่อนรับเลือกมืออ่อน ไหว้ทุกคนที่เป็นคะแนนเสียงให้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น สร้างภาพลักษณ์ว่าเข้าถึงประชาชนน เสียค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ตนเองอย่างมหาศาล สามารถเดินทางไปในพื้นที่เพื่อเยี่ยมเยือนสอบถามทุกข์สุขประชาชน แต่เมื่อได้รับเลือก กลับไม่เคยไปในพื้นที่อีกเลย ประชาชนจะเข้าไปหาก็ต้องนัดก่อน กว่าจะผ่านด่านยาม แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้เจอตัว เจอแต่ทีมงาน อ้างว่างานมากแต่ก็อยู่ภายในบ้าน ไม่เคยดูแลประชาชน และถ้าประชาชนเข้าไปไม่ไหว้ผู้แทนก่อน ไม่อ่อนน้อม โอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือก็น้อยลง กลายเป็นต้องกราบกรานให้เขาช่วยเหลือประชาชนไปเสี่ยเนี่ย...
เมื่อมองความเป็นจริง คิดให้ดี ก็ทำให้รู้สึกว่า ประชาธิปไตย ในปัจจุบัน เพื่อประชาชน ประชาชนมีสิทธิ แค่ไหน แค่หายใจ แค่อยู่ เสนอความคิดเห็นได้บ้าง ถ้าไม่เสียงดังก็อยู่ได้ ถ้าเสียงดังมากๆ อาจจะถูกกระทำโดยอำนาจมืด ... อำนาจที่แท้จริง ไปตกอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง หรือ ของกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่ง มากกว่า ที่จะอยู่กับประชาชนหรือเปล่า... อยากให้ลองคิดดู... วิบูลย์ จุง // Wiboon Joong (wbj) // Jung DIP Consultant Award 2013 ที่ปรึกษาธุรกิจ วิทยากรกระบวนการเชิงกิจกรรม โค้ชผู้บริหารการจัดการ นักวิจัยการตลาด Business Consult, Facilitator Trainer, Executive Management Coach, Marketing Survey
Create Date : 29 ธันวาคม 2558 |
|
3 comments |
Last Update : 29 ธันวาคม 2558 12:50:43 น. |
Counter : 2599 Pageviews. |
|
|
|