แด่องค์กรที่แสนรัก - 13 - อบรมพร้อมกับประชุม
แด่องค์กรที่แสนรัก...
<< อบรมพร้อมประชุม >>
โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj) หลังจากแก้ไขเครื่อง Server ทั้งวัน ทั้งคืนแล้ว ผมกับเพื่อนได้งีบหลับที่ห้องทำงานของผม ซึ่งผมต้องลืมตาตื่นขึ้นเนื่องจาก เสียงภายนอกห้องค่อนข้างดัง คุณหน่อยเข้ามาบอกว่าเครื่องของน้องๆมีปัญหาป้อนข้อมูลไม่ได้ ทำให้ผมต้องตื่นขึ้นมา และ เข้าไปแก้ไขปัญหาของแฟ้มข้อมูลก่อน ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ไฟล์พัง หรือ ไฟล์ไม่สามารถเปิดได้ ทำให้ผมต้องกู้ไฟล์ขึ้นมาใหม่ และ ให้น้องๆลองทำงานต่อไป สรุปแล้ว ก็มีหลายไฟล์ที่ต้องแก้ไขแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพราะเป็นไฟล์ในการป้อนข้อมุลของเมื่อวานเท่านั้น ทำให้น้องๆต้องป้อนข้อมูลใหม่ของเมื่อวาน และ วันนี้เท่านั้น
ผมก็อยู่แก้ไขจนปัญหาของน้องๆไม่มีอีกแล้ว ซึ่งก็ปาเข้าไปบ่ายโมงเย็น ง่วงก็ง่วง รู้สึกไม่สบายตัวอย่างมากเพราะไม่ได้อาบน้ำ เลยขอเจ้านายกลับบ้านเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว และ กลับเข้ามาทำงานใหม่ตอนบ่าย 3 โมงเย็น เพื่อดูว่ามีปัญหาทางด้านใดอีกบ้าง ทางแผนกภาคสนามมีปัญหาบ้างเล็กน้อย ซึ่งก็ได้แก้ไขจนเสร็จ กว่าจะเสร็จก็ปาเขาไป 2 ทุ่มกว่า ค่อยกลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นเจ้านายใหญ่กับเจ้านายมาคุยกับผมว่าเก่งมากที่ทำให้ระบบทำงานได้ภายใน 24 ชั่วโมง ผมก็ขอบุคณเจ้านายใหญ่ไป เพิ่งมารู้ทีหลังว่า เคยเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นเหมือนกัน แต่ก็ใช้เวลา 3-4 วันกว่าระบบจะกลับมาเป็นเหมือนเดิน เนื่องจากต้องติดต่อหาผู้ขายโปรแกรมเพื่อให้มาลง Netware ให้ใหม่ อีกทั้งมีปัญหาทางด้านข้อมูลก็ต้องติดต่อไป มาเลเซีย ให้ทางนั้นอธิบายแต่ละขั้นตอนในการแก้ไขปัญหา ทำให้งานต่างๆล่าช้า
ผมทุ่มเทให้กับงานไป โดยคิดแต่ว่ามีงานก็ทำงานให้เต็มที่เต็มกำลัง อีกทั้งในช่วงนั้น ก็ได้เข้าวัดและหลวงพ่อก็สั่งสอนลูกศิษย์ว่า
"ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้ ต้องได้ ต้องมี ต้องดี ต้องง่าย"
เนื่องจากว่า ศิษย์วัดเวลาสั่งงานไป มักจะอ้างว่า ทำไม่เป็นครับ, ผมทำไม่ได้ครับ, ขาดอันนั้นอันนี้ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเทียบกับการทำงานของน้องๆผม ก็เช่นเดียวกัน น้องๆบางคนก็มักจะอ้างว่า "ไม่มีเวลาทำ", "ทำไม่ได้", "ผมทำดีที่สุดแล้ว", "จะเอาอะไรกันนักกันหนา" และ คำอื่นๆอีกมากมาย ล้วนแล้วแต่เกี่ยงการทำงานทั้งนั้น
ผมยกตัวอย่างถึงตัวผมว่าผมไม่เห็นต้องเกี่ยงงานเลย มีอะไรก็ทำให้มันเสร็จ และ ทำให้มันดี ไม่มีเวลาก็จัดหาเวลามาทำ ทำไม่ได้ก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้ได้ และทุกครั้งงานทุกอย่างที่ผมทำ ผมก็จะทำให้ดีกว่าดีที่สุดเสมอๆ บางคนก็ดีขึ้น บางคนก็เหมือนเดิม ทำให้ผมต้องหากลยุทธ์ในการทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวให้ได้
ผมเริ่มจากการจัดประชุมประจำสัปดาห์ของทั้งหมด เพื่อต้องการทราบปัญหาต่างๆของน้องๆ และ มีเวลาสำหรับการที่ผมจะเข้าไปอบรมน้องๆ เพื่อแก้ไขเจตคติของพวกเขาให้ดีขึ้น
ผมเริ่มจากการละลายพฤติกรรมและให้พวกเขารู้จักตนเองกันมากขึ้น ด้วยการให้พวกเขาเขียนข้อดี และ ข้อเสีย ของเพื่อนร่วมงานในแต่ละคน ลงในกระดาษ หนึ่งคนต่อหนึ่งแผ่น ยกเว้นตัวของเขาเอง และไม่ต้องเขียนชื่อคนเขียนด้วย เพราะป้องกันการขัดแย้งระหว่างพนักงาน และ เพื่อให้คนเขียนสามารถเขียนได้อย่างเต็มที่
ผมเอาข้อดีของแต่ละคนมาเขียนบนกระดาน เพื่อให้ทุกคนดูว่า แต่ละคนเพื่อนๆ มองเห็นจุดดีข้อใดบ้าง ซึ่งก็ได้ผลทุกคนพอใจในสิ่งที่เห็นว่า ตนเองเป็นเช่นนั้นจริงๆ
"พี่จุง แล้วข้อเสียละค่ะ..." พนักงานป้อนข้อมูลถามผม "อ้าว พวกเธอมีข้อเสียด้วยหรือ?" "ก็ที่พี่ให้เขียนไงค่ะ" "พี่ไม่เห็นข้อเสียของเธอนะ พี่เลยไม่เขียนไง"
ผมเริ่มเปลี่ยนข้อเสียของแต่ละคน ให้กลายเป็นข้อดีของแต่ละคน เช่น ไม่ยอมพูด เป็น รับฟังเพื่อนๆ เป็นต้น คนในห้องต่างก็ งง ว่า จริงๆแล้วเขาไม่ได้เขียนลักษณะนี้ แต่ผมก็เปลี่ยนให้เขาทุกคน และ ผมอธิบายให้เขาเข้าใจว่า
"ถ้าเรามีมุมมองว่าคนอื่นมีข้อเสีย นั่นหมายถึง เราไม่ได้มองว่า ข้อดีจากการกระทำเช่นนั้นคืออะไร และ เมื่อเรามองแต่ข้อเสียคนอื่น คนอื่นก็จะมองแต่ข้อเสียของเรา"
ผมอธิบายอยู่นานเพื่อให้เขาเห็นว่า ทีมงาน ไม่ใช่แค่บอกว่าเราอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่เราต้องมีความสามัคคี มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน และ ร่วมมือกันทำงานทีมีให้เสร็จ สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมายมา... เมื่อผมรู้สึกว่าพวกเขาเริ่มที่จะโอนเอียงกับแนวความคิดถึงเรื่อง การทำงานป็นทีม และ การมองคนในเชิงบวก แล้ว ผมก็เลยถามบ้างว่า...
"ใครจะมาเป็นทีมเดียวกับพี่บ้าง... ยกมือหน่อย...?"
(อ่านต่อตอนหน้านะครับ...)
ข้อคิดที่ได้รับ
- การที่ผมทำงานอะไรได้มากและเร็วกว่าคนอื่นเป็นเพราะผมรู้เรื่องในงานของผมเป็นอย่างดี และ ผมก็เชี่ยวชาญด้วย ดังนั้น จึงสามารถแก้ไขสถานการณ์ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความทุ่มเทที่ให้ไป แต่ ในกรณีกลับกัน ถ้าผมไม่มีความรู้ทางด้านนี้อยู่เลย ผมก็จะต้องใช้เวลาพอๆกับคนอื่นๆ ที่ต้องติดต่อกันไป ติดต่อกันมา กว่าจะเสร็จก็น่าจะ 3-4 วันเช่นกัน ดังนั้น ผมจึงมักย้ำให้น้องๆเข้าใจถึงบทกลอนในอดีตเสมอๆว่า
"อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล...."
- การอธิบายอะไรให้น้องๆฟัง ไม่ว่าจะอธิบายเก่งเพียงใด บางคนก็จะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เรื่องบางเรื่องจึงต้องให้เขาได้เจอกับปัญหาของตัวเอง ผมใช้แนวทาง Positive Thinking เพื่อให้เขารู้ถึงการลดความขัดแย้งและมองถึงข้อดีของคนอื่น ไม่ใช่มัวแต่นั่งจับผิดกันไปจับผิดกันมาก็ไม่เป็นอันทำงานกัน งานก็ไม่เดิน
- การเอาข้อดีมาเขียนมันง่าย แต่การเปลี่ยนข้อเสียมาเป็นข้อดีนี่มันยาก เมื่อคนต่างๆรู้ว่ามันยากเลยไม่ยอมทำ แต่ถ้าคุณได้ทำและมองข้อเสียต่างๆนั้นให้กลายเป็นขีอดีของเขาได้ นั่นย่อมทำให้คุณยอมรับในความเป็นตัวของตัวเองของเขาได้อย่างมาก และ เป็นหนทางที่สร้างให้ทีม สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างถาวร
แด่องค์กรที่แสนรัก - 14 - ลุยไปยังไงก็ตาย ลุยเลย...
Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 23:01:53 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1103 Pageviews. |
|
|