แนวทางของหัวหน้างานและการทำงาน
เรื่องการวางแผนงานนั้น เท่าที่สัมผัสกับหลายๆบริษัทฯ ส่วนใหญ่ ไม่สื่อสารหรือไม่มีจุดเป้าหมายขององค์กรเด่นชัด ดังนั้น การที่จะให้พนักงานยอมรับในแผนงานที่ออกมานั้น หัวหน้างานส่วนใหญ่ก็สื่อสารแบบมั่วๆ หรือ แค่สั่งให้พนักงานทำงานตามแผนงานเท่านั้น อีกอย่าง ในเมื่อพนักงานไม่ใช่คนวางแผน ไม่มีส่วนร่วมกับแผนงาน แล้ว เขาจะยอมทุ่มเททำงานที่ไม่ใช่ของเขา ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิด หรือ ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะทำหรือ... นั่นเป็นปัญหาขององค์กรที่ขาดการสื่อสารที่ดีครับ...
หัวหน้าองค์กรที่มีประสิทธิภาพเท่านั้นที่จะสามารถชักจูงทีมงานให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามแผน แต่หัวหน้าองค์กรต้องมีลักษณะที่สื่อสารได้ดี อีกทั้งต้องมีวิสัยทัศน์ และ เข้ากับคนได้ง่าย แต่ถ้าไม่ใช่หัวหน้าองค์กรแล้ว การทำให้ทีมงานเพียงบางส่วน ทำงานตามแผนงานได้นั้น ต้องสร้างความเข้าใจให้กับทีมงาน โดยเฉพาะหัวหน้างาน พยายามเน้นเรื่องจุดประสงค์และเป้าหมายขององค์กร และ เป้าหมายของแต่ละบุคคลว่า มันสอดคล้องกันมากน้อยเพียงใด ก่อน...
หันหน้างานหลายๆคนคิดว่า การเป็นหัวหน้างานก็เพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว องค์กรที่จะก้าวหน้าจะต้องมีหัวหน้างานที่เอาประสบการณ์ในอดีตผสมกับมุมมองในอนาคต แล้วสร้างแผนงาน และ แนวทางการทำงานที่สามารถทำงานได้จริงเพื่อมาพัฒนาองค์กร แต่องค์กรที่คงที่ มักแก้ไขปัญหาเฉพาะปัจจุบันโดยไม่ได้มองทั้งอดีตและอนาคต ส่วนองค์กรที่มองแต่อดีตก็จะกลายเป็นองค์กรที่หลงทางไป... ดังนั้น วิสัยทัศน์ของหัวหน้างานจึงมีผลอย่างมากกับความเสื่อม หรือ ความเจริญขององค์กร... และ การสื่อสารวิสัยทัศน์ที่ได้ผล กลับไม่ได้อยุ่ในการประชุม แต่กลับไปอยู่ที่หัวหน้างานบอกให้ลูกน้องเข้าใจ และ มีความถี่ในการบอกมากน้อยเท่าใด...
การประชุมเป็นสถานที่ๆจะสื่อสารที่ดีระหว่างหัวหน้างานกับพนักงาน และ เป็นที่ๆจะสร้างแนวความคิดใหม่ๆ การประชุมบ่อยเกินไปยอมรับครับว่า มันส่งผลให้เกิดการเสียเวลาในการทำงาน ดังนั้น หากหัวหน้างานคุมเกมส์ในการประชุมได้ดี ก็จะไม่มีปัญหาในการประชุมครับ และ การประชุมที่ดี ก็ต้องทำให้ทุกคนมีส่วนร่วม แต่หากมีคนต้องการสร้างสีสรรให้กับการประชุมมากเกินไป ก็ต้องลดสีสรรเหล่านั้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น คนคุมการประชุมต้องมีศิลป์ให้การควบคุมการประชุมให้อยู่ในประเด็น และครอบคลุมในเนื้องานทีเดียวกัน...
การสร้างให้คนเข้าร่วมประชุมสามารถออกความคิดสร้างสรรหรือ แนวทางปฎิบัติได้นั้น การถกถึงปัญหาเพียงอย่างเดียวจะทำให้การประชุมน่าเบื่อ ดังนั้น หากต้องการเริ่มรวบรวมความคิด ควรจะเปลี่ยนแนวทางจากการถามซัก และ ให้เสนอข้อคิด อาจจะต้องมาเป็นการเขียน หรือ ให้การบ้านไปทำ แล้วมารวบรวมกันในที่ประชุม ซึ่งจะทำให้ใช้เวลาการประชุมน้อยลง ได้เนื้อหาสรุปมากขึ้น
เมื่อเนื้อหาสรุปได้แล้ว การกระจายความคิด โดยการแตกเนื้อหาสรุปไปเป็นหัวข้อในการปฏิบัตินั้น หัวหน้างานไม่ใช่ว่า สั่งงานอย่างเดียวให้กับลูกน้องแล้วให้เขาไปจัดการ หัวหน้างานส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ ดังนั้นการทำงานจึงไม่ค่อยได้ผลมากนัก การบอก การอธิบาย การให้พนักงานทวนสิ่งที่รับไป รวมถึง การทำตัวอย่างให้ดูนั้น จะทำให้ระบบการทำงานของพนักงานที่ต้องการให้ทำ หรือ ปฏิบัติการนั้น จะสามารถเข้าใจว่าเขาต้องทำอะไร การฟังความคิดเห็นจากเขานั้น จะสร้างให้เขารู้สึกเป็นส่วนร่วมของแผนงาน การให้เขาปรับปรุงรูปแบบการทำงาน หรือ ใส่แนวความคิดของเขาเข้าไปแต่เนื้อหายังอยู่ในกรอบ จะทำให้พวกเขาสามารถสร้างแนวความคิดที่ดี และ กล้าที่จะแสดงแนวความคิดเหล่านั้น หัวหน้างานที่เก่งๆ มันทราบดีว่าควรทำเช่นนี้ ไม่ใช่ทำแต่ตามใจตนเอง ฉันต้องการอะไรต้องได้อย่างนั้น คนกลุ่มนี้ ก็จะได้ลุกน้องที่ทำตามกรอบ รอทำงานตามคำสั่งครับ... พนักงานจะทำงานได้ดี ตรงตามตารางเวลาหรือไม่อยู่ที่หัวหน้า ไม่ใช่อยู่ที่ลูกน้อง...
งานทุกงานที่สั่งไป ใช่ว่าสั่งแล้วคิดว่าน้องๆจะทำให้เสร็จและรายงานกลับมา... คนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นอย่างนี้ ดังนั้น หัวหน้างานที่ดีก็ต้องติดตามงานเป็นระยะๆ ความห่างของการตามงานขึ้นกับ ความสำคัญ และ ความเร่งด่วนของงาน หากหัวหน้างานตามงานในช่วงจังหวะที่ดี และ เหมาะสม จะทำให้งานเดินได้เร็วมากขึ้น และ เป็นการชี้จุดให้น้องๆเห็นว่า จุดนี้เป็นจุดที่ควรใส่ใจในการทำงานก่อน หากเสร็จส่วนนี้ไปแล้ว ก็ควรจัดการเรื่องอะไรเป็นต้น หัวหน้างานเขาจ้างมาเพื่อควบคุมงาน ไม่ใช่เดินไปเดินมาครับ...
หากพนักงานทุกคนมีเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจน การจัดเก็บข้อมุลของการทำงานของพนักงานก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ ระบบการจัดเก็บควรจะมาจากมันสมองของนักพัฒนา ไม่ใช่มันสมองของนักปฏิบัติ การจัดเก็บข้อมูลของพนักงานเพื่อนำมาอ้างอิงในการวิเคราะห์ หรือ ปรับฐานเงินเดือน หรือ ผลงานของแต่ละบุคคลนั้น สามารถทำได้ หากมีการตามงาน และ ใส่ใจในฐานข้อมูลอย่างจริงๆ จังๆ ส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เกิดจากหัวหน้างานที่ไม่ใส่ใจในเรื่องนี้จริงจัง มัวแต่ห่วงผลงานของตัวเองว่าจะมีหรือไม่ แต่ไม่ได้ห่วงผลงานของลูกน้องเลย...
ผลงานของพนักงานมักสื่อถึง คุณภาพของสินค้าและบริการ เพราะ หากผลงานของพนักงานดี จะส่งผลให้ปริมาณของสินค้ามีมาก หากระบบมีการควบคุมที่ดี มีขึ้นตอน จะส่งผลให้กับคุณภาพของสินค้าและบริการ มันเป็นผลต่อเนื่องซึ่งกันและกัน มันเป็นหลักการง่ายๆ ที่คนส่วนใหญ่ลืม... และ แน่นอน หากคุณภาพและปริมาณของสินค้า ทำได้ดีมากๆ ก็ต้องมาดูเรื่องการขายสินค้าและบริการ หากสามารถทำได้ดีด้วย ก็จะส่งผลให้หุ้นขององค์กรดีขึ้น และ จะทำให้มีคนอยากซื้อหุ้นมากขึ้น (สรุปหลัก BSC เรียบร้อยเลย...)
ดังนั้น การจะโทษว่า เด็กจบใหม่ไม่เก่ง อาจารย์สอนมาห่วยแตก พวกเด็กไร้สมองคิดไม่เป็นนั้น บางทีคำเหล่านี้กลับมาจากคนที่ไม่เข้าใจเรื่องระบบการทำงานอย่างแท้จริง ผมคิดว่าทุกคนต้องเคยเป็นเด็กจบใหม่ทั้งสิ้น และ ต้องเริ่มต้นทำงานทั้งสิ้น ถ้าย้อนกลับไปวันที่เราเริ่มต้น เราก็ไม่แตกต่างจากน้องๆในปัจจุบันสักเท่าไหร่ ยังโง่งี่เง้า อยู่เช่นกัน เพียงแต่ประสบการณ์ที่สั่งสม รวมทั้งโอกาสที่ได้รับมันทำให้เราได้แข็แกร่งขึ้น และ สามารถคิด สามารถทำได้ดีกว่าเท่านั้น ส่วนหนึ่งที่ต้องโทษในการทำงานของพนักงานใหม่ คือ ต้องโทษหัวหน้างานก่อนว่า สามารถขับให้พวกเขา แสดงความสามารถและเข้าใจตัวเองได้มากน้องเพียงใด...
แผนงาน การกระจายงาน และ การทำงาน มันเป็นศิลปะที่บางคนสามารถทำได้ดี บางคนทำได้ไม่ดี แต่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ดี ดังนั้นเราจะเห็นคนมากมายที่มักโทษคนอื่นก่อน ก่อนที่จะโทษตัวเอง ด่าคนอื่นก่อนก่อนที่จะด่าตัวเอง ทำให้เขาต่ำต้อยเข้าไว้ เพื่อจะได้เชิดตัวเองขึ้นสูงขึ้น มองแต่สิ่งที่เป็นปัญหาแต่ไม่ได้แก้ปัญหา.. สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมทางลบที่มักจะเห็นบ่อยๆในสังคม ในเมื่อสังคมเป็นอย่างนี้ ก็น่าจะปรับเปลี่ยนตัวเราให้ดีก่อนที่จะเปลี่ยนสังคม ในเมื่อสังคมยังยอมรับคนกลุ่มเหล่านี้ว่าเลิศเลอ ก็ต้องปรับตัวเราให้เข้ากับสังคม แต่อย่าให้สังคมสิ่งแวดล้อมชักจูงเราไปในทางที่สังคมเป็น ถ้าทำได้เช่นนี้ ย่อมจะทำให้ตัวเองก้าวข้ามขีดแบ่งได้ดีกว่า...
Create Date : 12 มิถุนายน 2548 |
|
7 comments |
Last Update : 13 สิงหาคม 2548 0:07:25 น. |
Counter : 4297 Pageviews. |
|
|
|