บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
21 เมษายน 2551
 
All Blogs
 

มรณานุสติ - พระอาจารย์ เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป

พระอาจารย์ เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง) ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

มรณานุสติ


ณ บัดนี้พวกเราท่านทั้งหลาย ทั้งพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา ท่านสาธุชนทั้งหลาย ได้มาพร้อมกันอยู่ในพระวิหารแห่งนี้ด้วยความพร้อมเพรียงกัน พวกเรานั้นได้พากันมีความตั้งใจใฝ่ฝันหา แสวงหาทางพ้นทุกข์ไปสู่สุขเกษมศานต์ ตามองค์สมเด็จพระศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเรามีจุดประสงค์ความมุ่งหมายเช่นนั้นเราต้องพากันเป็นคนที่ มีความพากความเพียร พยายามขวนขวายสร้างคุณงามความดีให้เกิดให้มี ขึ้นแก่ตน เราทุกคนควรมองซ้ายแลขวาว่า ชีวิ ตของเรานั้นผ่านไปทุกวันทุกวัน ความเฒ่ าแก่ชราภาพก็แก่ไปทุกวันทุกวันทุกเวลาพวกเราไม่เจริญภาวนาดูกันเอง ก็ย่อมหลงมัวเมาในวัยของตนอยู่ ถ้าหากเราพิจารณาด้วยความรู้เป็นผู้มีสติปัญญาเข้าใจก็จะรู้ได้ว่า คนเราเกิดขึ้นมานั้นเป็นไปตามกาลตามสมัยย่อมมีความเฒ่าแก่ไปเรื่อยๆ ชราภาพไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดก็คือความแตกดับหักพัง ความแตกสลาย ความทำลายชีวิตลงไปก็คือความตายนั่นเอง ถ้าหากบุคคลเป็นผู้มีสติปัญญาพินิจพิจารณาถึงมรณานุสติเป็นอารมณ์เอาไว้ในใจ ก็จะเข้าใจได้ว่าความตายนั้นอยู่ใกล้ตนถ้าหากคนเรามองดูเห็นความตายอยู่ใกล้ตนแล้ว ก็จะรีบขวนขวายสร้างคุณงามความดีให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตนเองได้ ถ้าบุคคลไม่เจริญมรณานุสติกรรมฐาน ไม่ระลึกถึงความตายในวันหนึ่งวันหนึ่ง ไม่รู้ว่าตนเองจะตายในวันใดวันหนึ่งแล้วก็ย่อมเป็นคนประมาท เป็นคนที่หลงระเริงเพลิดเพลินอยู่ว่า ชีวิตของเรานี้จะอยู่ได้ยืนยาวนานไปหลายวันหลายเดือนหลายปีก็จะมีความประมาทไม่สร้างสมอบรมบุญบารมีให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตน แล้วชีวิตก็จะเสียเปล่าประโยชน์เหมือนบุคคลบางคนนี่แหละ อยู่บ้านอยู่ช่องก็ดีอยู่กับลูกกับหลานก็เหมือนกัน อยู่กับพี่กับน้อง ไม่เคยไปวัดวาอาวาส ไม่เคยศึกษา ไม่ฟังพระธรรมเทศนา ไม่ฝึกฝนอบรมบ่มนิสัยตนเอง มัวเมาลุ ่มหลงอยู่ มืดมนอนธการ ไม่รู้จักประพฤติปฏิบัติ ไม่รู้คุณค่าของชีวิตของตน แล้วก็หมกมุ่นอยู่ในความหลงเพลิดเพลินระเริงอยู่เขาเรียกว่า หลงระเริงในวัย ครั้นว่าวัยยังหนุ่มยังสาว ก็หลงว่า มันยังหนุ่มยังสาวอยู่ เมื่อวัยกลางคนก็หลงว่าเรายังแข็งแรงอยู่ ไม่ควรที่จะเข้าวัดเข้าวา เมื่อมาถึงอายุ ๕๐ ปี ๖๐ ปีก็ตาม บางบุคคลก็ยังหลงมัวเมาว่า ตนเองยังไม่เฒ่าไม่แก่ ก็ไม่เข้าวัดฟังธรรมจำศีลเจริญภาวนา แม้เฒ่าแก่ชรา ๗๐ ๘๐ ปีขึ้นมาแล้ว ก็จะถึง ๙๐ ปีนี่มีน้อยคนในปัจจุบันนี้ก็หาว่าตนเองเฒ่าตนเองแก่แล้ว ไปวัดฟังธรรมจำศีลไม่ได้ หูตาฝ้าฟางเดินไม่ไหว เมื ่อเป็นเช่นนี้แล้วก็เสียเปล่าประโยชน์สิในชีวิตของพวกเราที่เกิดขึ้นมา คนชนิดนี้ทำให้ชีวิตของเขาเกิดขึ้นมาแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร เมื่อล่วงลับดับตายไปก็เสียทีที่ เกิดมาเปล่าประโยชน์ว่า ควรที่จะทำคุณงามความดีให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตนเองก็ไม่ได้ ก็เลยไม่มีที่พึ่งของตน ไปเกิดในภพใหม่ก็คงจะเสียเปล่าประโยชน์ในชีวิต

เหตุฉะนั้น พวกเราควรที่จะมาคิดน้อมธรรมเข้ามาสู่ตนว่าตนเองนี้ไม่ ต้องคิดถึงวั ย สมัยครั้งพุทธกาลนั้นพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไม่ให้คิดถึงวัยไม่ให้ประมาทในวัยคำว่าไม่ประมาทในวัยว่าเรายังหนุ่มยังน้อยอยู่ จะไม่เข้าวัดเข้าวาไม่คิดเช่นนั้น เป็นผู้มีสติปัญญาสามารถศึกษาธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อได้ประกอบคุณงามความดีให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตน เรียกว่าบุคคลไม่ประมาทในวัย เพราะมีความระลึกอยู่ว่าความตายนั้น ตายได้ทุกวันทุกเวลาทุกนาที ที่ มันจะตายได้ตามกายของคนเราทุกคนอยู่ในโลกนี้เป็นไปได้ เมื่อเรามาเห็นความตายอยู่ใกล้ตนแล้ว ก็เลยไม่มัวเมาลุ่มหลงเพลิดเพลินระเริงอยู่อะไรกับโลก มีความตั้งใจแสวงหาคุณงามความดี จะทำบุญทำทานการกุศลรักษาศีลรีบขวนขวายรักษาให้เป็นผู้มีศีลมีธรรมเกิดขึ้น การเจริญเมตตาภาวนาก็ดี ก็พยายามขวนขวายมีความพากความเพียรฝึกฝนอบรมจิตใจ ฝึกหัดจัดแจงจิตใจของตนเอง แก้ไขจิตใจของตนเองให้ได้รับความสงบร่มเย็นเป็นสุขเกิดขึ้น เรียกว่าบุคคลที่ไม่ประมาท

เมื่อหากเราจิตใจสงบเป็นสมาธิดีแล้วก็จะได้พิจารณาดูว่ารูปร่างกายสังขารของพวกเรานี้มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันเป็นอย่ างไร ก็จะศึกษาให้รู้ ให้เข้ าใจว่า รูปร่างกายของคนเรานี้มันเป็นไตรลักษณ์ คือมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตาเกิดขึ้น เพื่อจะให้รู้ให้เข้าใจได้ ถ้าบุคคลยังไม่เข้าใจก็ขอให้เรียนรู้ศึกษา เป็นสัญญาจำว่ามันเป็นอย่างนี้คนเราเกิดขึ้นมา พอจะให้เห็นได้ว่า คนเราเกิดขึ้นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยใหญ่ขึ้นมา เลยมาเป็นเด็กนักเรียนมาเป็นหนุ ่มเป็นสาวแล้ว ก็มาผ่านกลางคนมาเฒ่ามาแก่เช่นนี้พวกเราจะไม่รับรองหรือว่าเป็นของที่ไม่เที่ยง ให้พากันตั้งสติไตร่ตรองใคร่ครวญ พินิจพิจารณาดูตนเองซิ ตั้งแต่ตนเองเล็กๆมาแล้วมันเคลื่อนไหว ไปมานมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ มันเป็นอย่างไร มันเที่ยงแท้แน่นอนอยู่บ้างไหม ถ้ามันเล็กอยู่อย่างเดิมมันก็ต้องเที่ยง มันมาเป็นหนุ่มเป็นสาว มันก็เป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่อย่างนั้น ไม่เฒ่าไม่แก่มันจึงจะเที่ยง

เมื่อมากลางคน มันก็อยู่เป็นกลางคนมาเฒ่ามาแก่ชราภาพอยู่อย่างนี้หนังเหี่ยวแห้งหนังหย่อน ฟันหลุดฟันกร่อนหัวขาวหัวหงอก ดูสิดูถึงขนาดนี้ยังไม่มีสติปัญญารู้ว่าตนเองเฒ่าตนเองแก่เลย บางบุคคลจนเฒ่าจนแก่ชรา ๕๐ ๖๐ ปี ๗๐ ปี ยังไม่รู้ เพราะอะไร ไม่ศึกษาหลักธรรมคำสอนของ พระพุทธเจ้า มัวเมาลุ่มหลงอยู่ จึงหลงเพลิดเพลินระเริงอยู่ เสียเปล่าประโยชน์ ควรรับรู้ให้เข้าใจอย่างนี้

คนเราเกิดขึ้นมานี้จะอยู่ที่ไหนก็ตาม เกิดขึ้นมาย่อมเป็นทุกข์เป็นธรรมดา ไม่ใช่เกิดขึ้นมามีความสุขสบายอยู่ตลอด ความทุกข์นั้นเหยียบย่ำยีบีฑารูปร่างกายของพวกเรา โดยโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น มีทั้งร้อนทั้งหนาว ทั้งหิวทั้งกระหาย ทั้งอิดทั้งเหนื่อย ทั้งความโศกเศร้าโศกาอาดูรมัวหมอง ร้องห่มร้องไห้อยู่กันทุกวันนี้มีความเศร้าโศกเศร้าหมองใจ มันก็มีความทุกข์เป็น ธรรมชาติ ธรรมดา ใครจะหลีกเลี่ยงไปหาที่อยู่ที่ไหนในโลกนี้เป็นอันว่าไม่มีเสียแล้วใครเล่าจะเป็นคนที่ไม่มีความทุกข์ประจำสังขารอยู่ในโลกนี้เป็นอันว่าไม่มี

เหตุฉะนั้น จะเป็นแพทย์เป็นหมอเป็นพยาบาล ปรุงหยูก ปรุงยาก็ดี เภสัชกรรมที่ไหน เรียนจบเภสัชกรที่ไหน เป็นนายแพทย์ปรุงยาอะไรรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ก็ย่อมเกิดแก่เจ็บตายในโรคภัยไข้เจ็บเหมือนกับเขา ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นหมอยาปรุงยาแท้ๆ ก็ยังมีโรคภัยไข้เจ็บ อันนี้แลลักษณะแสดงให้เห็นว่ารูปร่างกายของเรานี้เกิดขึ้นมาแล้วมันมีความทุกข์ไม่ใช่ของที่จะมีความสุขอะไร ถ้าหากเราคิดว่ามันมีความสุขเรียกว่า คนนั้นหลงรูปร่างกายนี่มีความสุขสบาย เรียกว่าคนหลงตนเอง แท้ที่จริงมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันมีความทุกข์ เป็นธรรมชาติ

บัดนี้ ของที่ที่มีความทุกข์ของนั้นก็ย่อมเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของบุคคลผู้ใดที่จะสามารถปกครองคุ้มครองดูแลรักษาเอาไว้อยู่ในใต้อำนาจของตนเองได้ มีบ้างไหมพวกเราท่านทั้งหลายนั่งอยู่ที่นี่ก็ดี หรืออยู่ที่อื่นก็ดี มีใครควบคุมดูแลตนเองได้ในโลกนี้หากคนที่ไม่มีสติปัญญาจึงจะหาควบคุมดูแลบุคคลอื่นให้อยู่ใต้อำนาจของตนเอง ด้วยการทุบการตีก็ดี ด้วยการฆ่าฟันรันแทงก็ดี ด้วยผูกจองจำก็ดี ด้วยอำนาจ ขู่เข็ญก็ดี ด้วยสารพัดต่างๆ ว่าจะให้บุคคลอื่นอยู่ใต้อำนาจของตนเอง มันมีได้ที่ไหนในโลกนี้ มีแต่มันไม่ได้สมหวังทั้งนั้น ใครจะไปบังคับคนอื่น ให้เชื่อฟังคำของเราหมดทุกคนเป็นไปไม่ได้ ไม่ให้เชื่อของเราหมดในโลกนี้ก็เป็นไปไม่ได้ มีใครบ้างเอาบุคคลอื่นขึ้นมายืนบนฝ่ามือ แล้วเอานิ ้วมือดีดหัวมัน ให้มันเชื่อเรา มันยอมอยู่ใต้ อำนาจของเราได้ไหมในโลก เป็นอันว่าไม่มีในโลกนี้ แต่เราปรารถนาคิดอย่างนั้น ทำให้ตนเองพากันมีความทุกข์เปล่าประโยชน์ ควรที่เราพวกเราท่านทั้งหลาย ตั้งแต่ตัวของพวกเราแท้ๆ เราก็ยังควบคุมดูแลไม่ได้ จะไปควบคุมดูแลบุ คคลอื่นได้อย่างไร อยู่ใต้อำนาจของเราว่าเป็นของเราได้อย่างไร ตรงนี้ควรที่จะไตร่ตรองใคร่ครวญให้ถี ่ถ้วนดูซิถ้าเราดูอย่างนี้ เราจึงจะปล่อยคนอื่นได้ ถึงจะละถึงจะปล่อยวางได้นี่เราจะไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันก็ดี เราก็หนีจากกันได้ ปล่อยวางกันได้ เรียกว่า คนบุคคลที่จะอยู่ในโลกนี้อยู่ด้วยกันก็ดี แต่แยกกันไปได้ ไปที่ไหนก็ไปได้ ไม่ใช่ผูกติดกันเอาไว้ แต่อย่างนี้แหละ เราคิดดูซิ เมื่อเฒ่าเมื่อแก่ก็เหมือนกัน เราก็ไม่เห็นว่าใครจะ ควบคุมดูแลบุคคลอื่นไม่ให้เฒ่าให้แก่ได้ เมื่อมาดูตนเองแล้ว มันก็เฒ่าก็แก่เหมือนกัน ควบคุมดู แลตนเองก็ยังคุมไม่ได้ ยังดื้อดึงจะไปคุมคนอื่น ให้อยู่ใต้อำนาจตนเองได้อย่างไร ควรแล้วที่พวกเราจะศึกษาให้เข้าใจในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเอาไว้รูปร่างกายสังขารรูปธรรมอั นนี้ไม่มีบุคคลใดที่จะสามารถควบคุมดูแล ให้อยู่ใต้อำนาจของตนเองได้ เขาเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดาของเขา ถ้าเราไม่เชื่อเราก็ดูตนเอง มีใครบ้างคุมว่าอยู่เล็กๆ อยากอยู่เล็กๆอย่างนั้น มาเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็อยากอยู่เป็นหนุ่มเป็นสาว อย่าเฒ่าอย่าแก่ มาถึงกลางคน ๔๐ ปี ๕๐ ปี ก็อย่าเฒ่าอย่าแก่ มีใครคุมได้บ้าง มันก็เฒ่าก็แก่ มันเป็นไปตามธรรมชาติ หนังเหี่ยวหนังแห้ง หนังหย่อนไป หัวขาวหัวหงอก ฟันของเราว่าเป็นของเราก็ คุมไม่ได้ ก็หลุดออกจากปากไปได้ ผมอยู่บนหัวก็ไม่ให้มัน ขาวมันหงอก มันดำๆ อยากให้มันดำอยู่ มันก็ไม่ดำ มันก็หัวขาวหัวหงอกเกิดขึ้น มันฟังเราไหม หนังของเราตึงๆ แต่ก่อน เราอยากไม่ให้มันเหี่ยว มันหย่อน มันก็เหี่ยวก็หย่อนได้ ตาก็ดี ตาเราให้มันสว่างไสวอยู่ อย่าฝ้าฟางนะ อย่าขุ่นมัวนะ มันก็เป็นไปได้ เอาเราดูซิ หูก็เหมือนกันได้ฟัง ดีๆ เดี๋ยวก็หูหนวกหูตึงเข้าไป มันเฒ่ามันแก่ ความจำของ เราทั้งหลายแต่ก่อนจำดี เดี๋ยวนี้ก็ความจำเสื่อม เฒ่าแก่มาแล้ว หลงหน้าหลงหลังแล้ว ลืมหน้าลืมหลังไปอย่างนี้มันเสื่อมสมรรถภาพไปด้วยกัน ร่างกายก็ชำรุดทรุดโทรมไปด้วยกัน มีที่ไหนล่ะ มีบุคคลใดจะพากันควบคุมดูแลได้ตั้งแต่รูปร่างกายของตนเอง ก็ยังคุมไม่ได้ จะดื้อดึงไปคุมคนอื่น ให้อยู่ใต้อำนาจของตนเองได้อย่างไร แค่ตนเองก็ยังคุมไม่ได้ เราควรที่จะไตร่ตรองใคร่ครวญซิ สิ ่งเหล่านี้แหละเราว่าเป็นของเราจริงไหม ว่าเราว่าเป็นตัวเป็นตนของเราจริงไหมเราควรดูซิ เราคุมได้ไหม ปกป้องคุ้มครองดูแลอย่างเข้มงวด ให้อยู่ใต้อำนาจได้ไหม แล้วเวลามีความเจ็บป่วยเกิดขึ้นก็ดี เราว่าเป็นเราอย่าเจ็บนะ อย่าป่วยนะ มันก็ต้องไม่ป่วยถ้า เป็นเรา อันนี้มันเจ็บมันป่วยอยู่
กินหยูกกินยาไม่หายมันก็ ยังดื้อดึงเจ็บป่วยได้นี่แหละพระพุทธเจ้าท่านสอน อยากให้ ศึกษาการปฏิบัติธรรม บัดนี้หากพวกเราพิจารณาดูถึงที่สุดแล้ว เราเฒ่าเราแก่ชราภาพ หรือเขาเป็นโรคภัยไข้เจ็บนานาต่างๆอยู่ทุกวัน โรคอะไรก็ตาม ก็เป็นโรคกันอยู่จะตายเร็วตายช้าก็แล้วแต่เมื่อหมอรักษาไม่หาย ฉีดยาก็ไม่หาย ผ่าตัดก็ไม่หาย และที่สุดมันคืออะไร ที่สุดมันก็คือตาย

บัดนี้ความเฒ่าความแก่ก็เหมือนกัน ไม่ได้เป็นโรคภัยไข้เจ็บอะไร มันเฒ่าแก่ชราภาพมาแล้ว เราไม่อยากตายหนีจากลูกจากหลาน กำลังรักลูก กำลังรักหลาน กำลังรักเหลนอยู่ กำลังรักเพื่อน กำลังรักลูก รักหลาน เหลน เพื่อนฝูงอะไรต่างๆ รักสิ่งรักของอะไร ยังมีความรักความหวงแหนอยู่ แต่เราไม่อยากพลัดพรากจากของรักของชอบใจของตน เราก็ยังดื้อดึงตาย หนีจากเพื่อนจากฝูงจากลูกจากหลานไป จะเอาหลานมากำแขน หรือจับแขนคนนั้นคนนี้เรารักอยู่ จะไม่ได้จากไปนะ มันดื้อดึงตายไปได้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ รูปร่างกายของคนเรา เห็นไหมปู่ย่าตายายของพวกเราทั้งหลายตายจากพวกเราไป ทั้งพ่อทั้งแม่เขาก็ตายจากพวกเราไปอยู่เรื ่อยๆ เพื่อนฝูงก็ตายไปทุกวันทุกวัน ถ้าไม่เชื่อนั้น ก็ไปดูโรงพยาบาลใหญ่ๆ วันหนึ่งเขาตายไปกี่คน ตายด้วยโรคอะไรบ้าง ตายด้วยเฒ่าด้วยแก่หรือโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายแล้วควบคุมดูแลได้ไหม เขาควบคุมดูแลตนเองเขาได้ไหมเขาไม่อยากตาย บัดนี้เราเอาคนอื่นเข้าไปคุมไม่ให้เขาตายได้ไหม เอาไปเอามาตัวของเราก็เหมือนกัน เราคุมไม่ให้ตายมันก็ดื้อดึงตายเข้าไปได้ แล้วมันดื้อตายอย่างนี้มันเป็นใครมันเป็นตัวเรา หรือเป็นตัวของบุคคลอื่น นั่นแหละพระพุทธเจ้าท่านสอน แต่ถ้าเป็นตัวเรา มันก็ไม่ตาย อันนี้ไม่ใช่เรามันก็ดื้อดึงตายไปได้ แล้วมันดื้อดึงตายไปอย่างนี้ มันก็ปฏิเสธเสีย ไม่ใช่ของพวกเรา แต่พวกเราก็หวงแหน อันพวกเราหวงแหนพากันกินหยูกกินยา พยาบาลกันไว้จนใหญ่จนโตขึ้นมาอย่างนี้ เขาเรียกว่า เรารักษาไว้เพื่อสร้างความดีเท่านั้นเอง รูปร่างกายใครจะสูงจะต่ำ จะดำจะขาว จะอ้วนจะผอมก็ดี จะขี้ร้ายขี ้เหร่ ไม่สวยไม่งามก็ดี มันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ มีความเกิดก็ไม่เที่ยง จะมาความแก่ชราก็มี ที่สุด ก็คือความตายเหมือนกัน ราบรื่นไปเหมือนกันหมดในโลกนี้ประเทศใดเมืองใดที่ไหนเป็นเหมือนกันหมด เหตุฉะนั้น ธรรมะจึงมีทั่วโลก บุคคลที่มีสติปัญญาภาวนาได้ทั่วโลกไป อยู่ที่ไหนถ้ารู้จักธรรมะ ติดตามธรรมชาติมีทั่วโลก อยู่บ้าน อยู่ช่องอยู่ ถนนหนทาง นั่งรถนั่งเรือนั่งเครื่องบินไปไหนภาวนาได้ ทั้ งนั้ น เพราะเป็นคนฉลาดรู้ จักว่าอั นนี้คือตัวธรรมะ ตัวที่บุคคลควบคุมดูแลไม่ได้ เป็นตามธรรมชาติของเขา ตั้งอยู่ประจำโลกเฉยๆ เป็นธรรมดา

เหตุฉะนั้นเมื่อเรายังมีรูปร่างกายอยู่แล้วยังไม่ล่วงลับดับตายไป ก็รี บสร้างคุณงามความดีเอาไว้ให้มากๆเพิ ่มพูนบุญบารมีของตนเองเอาไว้ให้มากๆ ให้อำนาจของบุญคือความสุขนั้นตั ดความทุกข์ ออกจากจิตใจของเรา ก็เรียกว่าดับทุกข์ไปมีแต่ความสุขเป็นเครื่องเอิบอิ่มอยู่ในใจ ถ้าไม่เชื่อผู้เทศน์ก็ลองคิดดูซิ ผู้บริจาคทานลงไปแล้วย่อมปลื้มใจ ปลื้มใจก็ดับทุกข์ ทุกข์ที่มันมีอยู่มันไม่มี มีแต่บุญเข้ามาอยู่ที่ใจ ถ้าหากเรารักษาศีลก็เหมือนกัน ถ้าเรามองว่าเรามีศีลเราก็ปลื้มใจที่เป็นผู้มีศีล เพราะคนอื่นไม่มีศีลก็เป็นเรื่องของบุคคลอื่น ถ้าเรามีสมาธิฝึกฝนอบรมจิตใจของตนเองสงบดี เรามีสมาธิก็ปลื้มใจว่าจิตใจของเรานี้หนักแน่นมั่นคงไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่หวั ่นไหวกับอะไร เขาเรียกว่าภูมิใจว่าตนเองได้หลักสมาธิ ถ้าเรามีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมองซ้ายแลขวาดูที่โน่นที่นี่เป็นธรรมะ ธัมโม มีเห็นไตรลักษณ์อยู่ประจำอยู่ มีไม่เที่ ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาอยู่รอบด้านไปหมด จิตใจก็ย่อมนิ่งสงบอยู่รู้สิ่งเหล่านี้แหละเป็นเรื่องที่เราจะควรศึกษาเพื่อให้รู ้ เมื่อเรารู ้สิ่งเหล่านี้ เราจะได้พัฒนาหรือปรับปรุงร่างกายของตนเองให้อยู่ในความเหมาะสมของเรา เมื่อถึ งกาลถึงเวลาแล้วมั นก็จะล่วงลับดับไป เหตุฉะนั้นควรแล้ว พวกเราจะไม่หลงลืมมรณานุสติ คือความตาย ถ้าระลึกถึงความตายอยู่บ่อยๆ ไปอยู่ที่ไหนเราก็รีบสร้างขวนขวายคุณงามความดีให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตนเอง เราจะดูอะไรให้เข้าใจ ศึกษาธรรมะให้เข้าใจ พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นี้ให้พวกเรานี้เกิดขึ้นมาเพื่อทำประโยชน์เท่านั้นเอง ไม่มีเกิดขึ้นมาทำอะไร ต้องถามตนเองว่าตนเองเกิดขึ้นมาทำอะไร ตนเองถามให้รู้ให้เข้าใจ

พระพุ ทธเจ้าว่าเกิดขึ้นมาแล้ว ควรทำประโยชน์ ทำประโยชน์ให้ได้ประโยชน์ตนเองให้ได้ จิตใจยังไม่สงบก็รี บฝึกฝนจิตใจของตน ตนเองไม่มีสติปั ญญาก็ รีบศึกษาให้มีสติปัญญาเกิดขึ้น เพื่อจะให้รู้ดีรู้ชั่ว ให้รู้อะไรเป็นบาปนำความทุกข์มาให้ รู้อะไรเป็นบุญนำความสุขมาให้แก่ตน อย่างนี้ก็เรียกว่าหัดเป็นคนฉลาด หากพวกเราไม่อยากเป็นคนที่เสียการเสียเวลาเปล่าประโยชน์ อยู่ที่ไหน ยืนเดินนั่งนอนอยู่ที่ใดก็ควรจะใช้สติปัญญาไตร่ตรองใคร่ครวญพินิจพิจารณา เพื่อจะให้รู ้ให้เข้าใจทำกิจการงานทุกอย่างเราทำเพื่ออะไร เราทำเพื่อประโยชน์ เพื่อดูแลเพื่อประคบประหงมร่างกายเท่านั้น เหตุฉะนั้น ร่างกายของคนเรานี้เกิดขึ้นมาแล้วต้องเป็นธรรมชาติของเขา แล้วก็ต้องดูแลเขาเป็นธรรมดา อยู่กับโลกเขาไปอย่างนี้ถ้าเรียกว่าเราอยากศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริงเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย ท่านรู้โลกท่านเข้าใจโลกของคนเกิดขึ้นมาเกิดแก่เจ็บตาย ท่านก็รู้แจ้งเห็นจริงว่าโลกเขาอยู่กันยังไง ตั้งแต่ยังไม่เกิด เกิดมาแล้วเป็นยังไง เราตายไปแล้วจะเป็นยังไงเป็นตามธรรมชาติ

การที่เราจะศึกษาให้รู้โลก ชัดเจนแจ่มแจ้งเรื่องโลกนี้เอง เราจึงจะพ้นทุกข์ได้ ถ้าหากเราไม่รู้โลกนี้เราจะพ้นทุกข์จากโลกได้ยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเราไม่รู้ เราก็ต้องติดอยู่กับสิ่งที่ไม่รู ้ ยึดสิ่งที่ไม่รู ้ ถ้าเรารู้แล้ว สิ่งนั้นเรารู้แล้ว เราก็ออกห่างไปได้ อยู่กันได้ เหมือนบุคคลรู้กันนี่แหละ เมื่อรู้กันแล้วก็เวลาจะกลับบ้านใครบ้านมันก็ไปได้ เวลาไปหากันก็มีความสมานสามัคคีกันเป็นกายสามัคคีได้ เวลาหนีจากกันก็หนีได้ ก็เรียกว่าคนรู้ เหมือนกับน้ำอยู่บนใบบัว น้ำมันก็อยู่กับใบบัวแต่ก็ไม่ติดใบบัว เราเคยเห็นไหมใบบัวใหญ่ๆ น้ำมันค้างอยู่บนใบบัวแล้วมันติดใบบัวไหม ถ้าเราไปเอียงใบบัวน้ำมันก็ตกออกจากใบบัวทันที จะไม่มีติดอยู่กับใบบัว ฉันใดก็ดี บุคคลที่มีสติปัญญาแล้ว เหมือนพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านไม่ติดบุคคลใดในโลกนี้อันนี้เรียกว่าบุคคลที่พ้นทุกข์แล้วคนรู้แจ้งโลกแล้ว ท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นกับบุคคลผู้ใด เพราะท่านรู้อย่างนั้นเอง เพราะตัวของท่าน ท่านก็ยังไม่ยึดมั่นถือมั่น ท่านจะไปยึดมั่นถือมั่นกับบุคคลอื่นได้อย่างไร ไม่เหมือนพวกเรา พวกเรานี้ยังเป็นคนที่ไม่มีสติปัญญา ยังไม่เฉลียวฉลาดยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงถึงโลก เราก็ต้องติดพันถึงกันและกันวนอยู่ในโลก และติดกันกับโลกเป็นธรรมดา อาตมาก็อยากให้น้อมนำไปพินิจพิจารณา ศรัทธาญาติโยมทั้งหลายทั้งสามีภรรยาก็ดีลูกก็ดีหลานก็ดีเหลนก็ดี เราควรที่จะไตร่ตรองใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนนี่เป็นอะไร เป็นของเราจริงๆ ไหมหรือมันไม่ใช่ของเรา ตัวของเรานี้มันจริงไหม เป็นของเราจริงไหมหรือไม่ใช่ของเรา ลองทบทวนอยู่อย่างนี้เมื่อทบทวนอยู่ก็ระลึกถึงความตายเป็นคู่กันเอาไว้ เอ สักวันหนึ่งคงจะตายจากลูกจากหลานไป ถ้าเราตายจากลูกจากหลานจากสามีภรรยาไป เราจะได้อะไรเป็นที่พึ่งของตน ตรงนี้ซิ วันๆ ภาวนาควรพิจารณาว่าเราเอาอะไรเป็นที่พึ่ งของตนถ้าเราไม่เจริญ เมตตาภาวนาฝึกฝนอบรมตนให้เป็นผู้มีสมาธิมีสติปัญญาเกิดขึ้น เราจะพึ่งอะไร ถ้าเราจะพึ ่งวัตถุสมบัติ มันเอาอะไรไปไม่ได้วัตถุสมบัติ หรือเราจะคอยพึ่งคนอื่น จะไปพึ่งคนอื่นได้อย่างไร เราตายไปมันก็ต้องมีจิตวิญญาณของตนเองไปสู่ภพใหม่ แต่ที่จะนำไปคือคุณงามความดี ถ้าใครทำความดีก็จะไปกับความดี ถ้าใครทำบาปความชั่วก็จะไปกับความชั่วของเขา นี้เป็นหลักที่พวกเราจะเดินทางไปสู่ภพใหม่

ถ้าหากเรามีความรู้ มีสติปัญญาว่ องไวเฉลียวฉลาดรู้ แจ้งเห็นจริง เหมือนพระอริยเจ้าทั้งหลายนั่นแหละจนเรารู้โลกเข้าใจแจ่มแจ้งชัด เราไม่ติดโลกนั่นแหละเราถึงจะถือว่าเหมือนกับน้ำอยู่บนใบบัว อยู่กับโลกแต่เขาก็ไม่ติดกับโลก อยู่กับขันธ์แต่เขาก็ไม่ติดกับขันธ์ ตรงนี้ควรพากันศึกษาว่า อยู่กับโลกไม่ผิดกับโลกนั้นอย่างไร ก็คือรู้โลก ก็โลกเขาอยู่อย่างนี้จะไปผิดกับเขาทำไม โลกเขาอยู่นี่ ร้อนเขาก็อยู่นี่ หนาวเขาก็อยู่นี่ หิวกระหายก็มีอยู่ในโลก เกิดแก่เจ็บตายเขาก็มีอยู่ในโลกนี่เป็นธรรมดา รูปร่างกายของพวกเราก็เป็นโลกอันหนึ่งเหมือนกัน

เหตุฉะนั้นเราก็เรียนศึกษาว่าของไม่เที่ยงอยู่ในโลก ก็ศึกษาให้เข้าใจเรียกว่าศึกษาโลก แต่เราไม่เข้าใจเมื่อไหร่เราก็พ้นโลกไปไม่ได้ เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าไม่เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนแล้ว เป็นอันว่าวางไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ติดอยู่ในสิ ่งนั้น พอวางไม่ได้ก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้แจ่มแจ้งก็ต้องมีความสงสัยอยู่นั่นแหละเมื่อไหร่เราจะหายสงสัยในเรื่องอย่างนี้ว่ามันเป็นไตรลักษณ์จริงๆ มันเป็นของไม่เที่ยงจริงๆ ของที่ มีความทุกข์จริงๆของที่ไม่ใช่ของบุคคลผู้ใดจริงๆ เหมือนของสภาวะตั้งอยู่กับโลกเคยเห็นไหม ถ้าไม่เชื่อก็ดี ถ้าเรามีบ้าน มีรถ มีเรือก็ดีถ้าเราตายไป เราทิ้งไว้กับโลกหรือเปล่า ทั้งพระภิกษุ สามเณรก็ดี มีโบสถ์มีวิหารหลังสวยๆ ก็แล้วแต่ มีกุฏิที่อยู่พักพาอาศั ยมีเครื่องใช้ต่างๆ ก็ดี มีบาตรสบงจีวรอะไรทุกสิ่งทุกอย่างนี้แม้ท่านมรณภาพ ท่านหอบท่านกอบโกยไปไหม เอาไปด้วยได้ไหม เอาไปด้วยไม่ได้สักองค์เดียว นี่เป็นอย่างนี้แม้ท่ านจะเอารูปร่างกายสังขารพระภิกษุสามเณรหลวงปู่ หลวงตาก็ดี ท่านมรณภาพไปแล้ว มีองค์ไหนบ้างท่านเอารูปร่างกายท่านไปด้วย มีบ้างไหม ไม่มี ถ้าไม่มีอย่างนี้ก็เป็นสัจธรรมเป็นของจริง ท่านเอาไปด้วยไม่ได้ ท่านก็หวงแหนอยู่ตั้งแต่ท่านยังไม่ มรณภาพ ท่านก็ดูแลรักษาอย่างดีอยู่แต่มันก็ดื้อดึงแตกสลายไป

ถ้าเราเห็นอย่างนี้แล้ว ก็ทำใจให้ชัดเจนว่า ของอะไรที่เรามีอยู่ในบ้านช่อง จะเก็บรักษาไว้ใช้ก็เพื่อรูปร่างกายเท่านั้น เดี๋ยวนี้เราหาอะไรก็หามาเพื่อกายอะไรอะไรทุกอย่างมาประคบประหงมเรื่องกายนี่แหละ ทนทุกข์อยู่ทั้งโลกนี่ มันก็มารุงรังอยู่ที่ร่างกายนี่แหละ ถ้าเราไม่พ้นรูปร่างกายไปเมื่อไร เราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร เราไม่รู้แจ้งเห็นจริงเมื่อไร เหตุฉะนั้นร่างกายจึงเป็นโลกก็ต้องศึกษา เพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้งจะได้พากันลดละปล่อยวาง หรือไม่ยึดมั่นถือมั่น จนเป็นอุปาทานจนเหนียวแน่นเกินไป ให้เข้าใจอยู่เรื ่อยๆ ถ้าไม่รู้ ก็ลูบแข้งลูบขาลูบแขนเจ้าของ ดูหน้าดูตา ดูตนตัวเจ้าของบ่อยๆ ว่ามันเป็นของใครจริงๆ แล้วเราก็ต้อง ดูให้เข้าใจ ให้มีธรรมะเกิดขึ้นภายในใจ เพื่อจะได้รู้สิ่งเหล่านี้ แล้วจะได้สบายใจ พระอริยเจ้าทั้งหลายก็ ดี หลวงปู่ก็ดีที่ท่านศึกษามาแล้ว ท่านเฒ่า ท่านแก่ชราภาพ ท่านจะเดินไปไหนไม่ไหว

ถ้าถามท่านว่าสบายไหม ท่านก็บอกว่าสบายไม่เห็นองค์ไหนท่านว่าไม่สบาย นักปฏิบัติท่านบอกว่าสบาย สบายอะไร สังขารร่างกายเฒ่าแก่ทรุดโทรมลุกก็ลุกไม่ได้ท่านก็ยังบอกว่าสบาย ยิ้มได้ เพราะท่านสบายใจท่านเพราะท่านรู้แจ้งเห็นจริงในรูปขันธ์ของท่านชัดเจน ในโลกมันก็เหมือนกันท่านรู้จริง ท่านไม่ติด เขาเรียกว่าเหมือนน้ำอยู่บนใบบัวไม่ติดใบบัวนั้นเอง อยู่กับโลกแต่ท่านไม่ติด เมื่อได้เห็นภิกษุสามเณรก็ดี ท่านก็แนะนำสั่งสอนแค่นั้น ถ้าไม่เอาท่านก็ทิ้ง ท่านก็ไม่ติดใคร ปัญหาตรงนี้แหละ การที่ศึกษาธรรมที่จะรู้ เราอยู่ด้วยกันเป็นหมู ่เป็นกลุ่มก็ดี ถ้าหากเราศึกษาธรรมะ ก็ถือเป็นกายสามัคคีอยู่ด้วยกันสร้างคุณงามความดีด้วยกันเท่านั้น ถ้าหากถึงกาลถึงสมัยแล้ว ถึงเวลาความตายมาถึงแล้ว บอกให้ไม่แยกมันก็แยก ไม่อยากแยก มันก็แยก แยกจากกันไปคนละทิศละทางแล้ว อันนี้เป็นสัจธรรม ที่พวกเราจะนำมาพินิจพิจารณา เพราะเราเห็นแจ่มแจ้งแล้วว่า รูปร่างกายของคนเรานี้เป็นไตรลักษณ์แน่นอน และถึงความแตกสลาย คื อความตายเป็นแน่นอน

เหตุฉะนั้น จึงอยากสอนให้พวกเราท่านทั้งหลาย เป็นภิกษุสามเณรก็ดี หรืออุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายควรจะเจริญมรณานุสติทุกวัน ทุกวัน วันละร้อยครั้งหรือสามร้อยครั้ง ห้าร้อยครั้ง ก็ระลึกอยู่บ่อยๆ โดยตลอด มันจึงจะขยันขันแข็ง ไม่ ประมาทสร้างคุณงามความดีรีบเร็วๆหน่อยนะ ชีวิตของเรามันน้อยนิดเดียว มันน้อยนิดเดียวเท่านั้นนะ มันไม่นานนะ ดูว่าวันหนึ่งๆ ผ่านไปทุกวันทุกวัน เราพากันทำอะไรอยู่ วันคืนล่วงไปล่วงไป เราทำอะไรอยู่เดี๋ยวนี้เราสอนตนเองเราทำอะไร เราทำบาปความชั่วหรือเราทำความดี เราได้อะไรวันนี้วันนี้เราได้ปฏิบัติดีบ้างไหม ได้อะไรให้ความสุขใจเกิดขึ้นมาบ้างไหม หรือมีแต่ความเศร้าหมองขุ่นมัววุ่นวายอยู่ เราก็ต้องดูซิความขุ่นหมองหมองใจวุ่นวายใจอยู่ ก็นี่เราเสียเปรียบซิเนี่ย วันหนึ่งเราก็ควรพัฒนาปรับปรุงใจของเรา ให้มันแช่มชื่นเบิกบาน ให้เรามีความสุขอยู่กับคุณงามความดี เราจึงจะได้ที่พึ่งเป็นที่พึ่งของตน

เหตุฉะนั้น เมื่อทุกท่านทุกองค์ก็ดี เราจำพรรษาแล้วอยู่ที่นี่ควรผูกความพอใจ อยากสร้ างคุณงามความดีให้เกิดขึ้นศรัทธาญาติโยมก็ดี เข้าพรรษาแล้ว ควรที่เข้าวัดฟังธรรมจำศีลทุกวันพระ วันโกนก็ดีก็รีบขวนขวาย ถ้าอยู่บ้านตนเอง ยังไม่ได้มา ก็พยายามเจริญภาวนา รีบทำคุณงามความดีเร็วๆ หน่อย อย่าชะล่าใจ อย่าปล่อยปละละเลยให้เสียการเสียเวลาเปล่านะ ถ้าเราตั้งใจทำคุณงามความดีแล้ว ไม่ประมาทแล้ว คุณงามความดีก็จะเกิดมีขึ้นแก่ตนเอง ผลแล้วความสุขก็เกิดกับใคร ตนเองเป็นคนได้ ไม่ใช่คนอื่นได้ ตนเองเป็นคนได้รับความสุข เมื ่อได้รับความสุขรู้อยู่บ่อยๆ แล้วเขาก็สบายสบายอยู่อย่างนั้น เหมือนหลวงปู่หลวงตา ท่านสบายๆ ใจของท่าน สบายใจของท่านไม่ติด บัดนี้แต่ร่างกายของท่านมันอยู่กับโลกเป็นธรรมดา

เหตุฉะนั้นอยู่กับโลกไม่ติดกับโลก อยู่กับขันธ์ก็ไม่ติดกับขันธ์ ก็คืออยู่กับร่างกายไม่ติดกับรู ปร่างกายนั้นเอง เขาเรียกว่า ขันธ์ รูปขันธ์ เหตุฉะนั้นการบรรยายธรรมเรื่องมรณานุสติเตือนให้ไม่มีความประมาท และเรื่องไตรลักษณ์ควบคู่กันไปให้เข้าใจแจ่ มแจ้งพอสมควร ก็ขอยุติการบรรยายธรรมไว้เพียงแค่นี้เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

“ หากบุคคลใดได้เจริญมรณานุสติ เวลาทำสมาธิจิตใจจะไม่ฟุ้งซ่าน สงบได้เร็วเพราะได้ระลึกถึงความตายบ่อยๆ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะทำให้บุคคลนั้นได้สร้างคุณงามความดี ได้มากตามกำลังความสามารถของตน จึงเป็นผลเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของบุคคลนั้นที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์”




 

Create Date : 21 เมษายน 2551
0 comments
Last Update : 21 เมษายน 2551 17:36:18 น.
Counter : 2662 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.