การเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ สิ่งที่ต้องมีคือ องค์ความรู้ สติปัญญา ความคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ การประยุกต์ และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ "สมาธิ" ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเป็นที่ปรึกษาของผม ที่ได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะ กับ หลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย
สมัยเด็ก ผมอยากที่จะเก่ง อยากที่จะฉลาด อยากที่จะเป็นหัวหน้าห้อง อยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต อยากเป็นคนดี อยากปรับปรุงตนเอง ฯลฯ เยอะมากๆกับความอยาก และในใจของผมก็เชื่อมั่นว่า ผมจะเก่งทุกอย่าง จะทำให้ได้ดีทุกอย่าง น่าจะทำแบบง่ายๆ คือ ศึกษาเพียงบางเรื่องและเอาเรื่องนั้นไปประยุกต์ใช้งาน เหมือนกับ สังคมเกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์เรา เราต้องการเรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์ เราก็ต้องศึกษาและเรียนรู้จากพฤติกรรมของตัวเราก่อน และเทียบเคียง ทดสอบ ก็จะทำเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์และปรับปรุงสังคมให้ดีขึ้นได้งา่ยๆ... นี่เป็นแนวคิดสมัยเด็กๆมันผุดขึ้นมา ตอนนั่งสมาธิ ตามการสอนของ หลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย
"หลายๆสิ่ง มาจากหนึ่งสิ่ง... เรียนหนึ่งสิ่ง เอาไปใช้หลายๆสิ่ง..."
ผมไม่รู้ว่า ใครนั่งสมาธิแล้วมีผลเป็นอย่างไร แต่ผมเอง ณ วันนี้ ยังไม่เคยเห็นดวงแก้ว ยังไม่เคยเห็นองค์พระ และ นั่งสมาธิแบบ ไม่ท่่อง "สัมมา อรหันต์" ตลอดเวลาด้วย เพราะไม่ใช่จริต ผมนั่งสมาธิด้วยการทำใจหยุด พยายามจดจ่อกับ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ตรงกลางท้อง หรือ ถ้าทางวิทยาศาสตร์ จะเรียกว่าจุด CG (Center of Gavity) เป็นจุดกึงกลางของตัวเราที่โลกดึงดูด เป็นจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายนั่นเอง แม้นในขณะ ยืน เดิน ขับรถ หรือ ทำกิจกรรมใดๆ ถ้าไม่เผลอสติ ก็จะพยายามนึกถึง จุดนี้ เป็นแนวทางการทำสมาธิที่ถูกกับจริตของผมมากที่สุด และ ผลที่ได้คือ ความสุข อยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเองมากขึ้น
แต่ผลที่ได้มีมากกว่านั้น ผมมีจิตใจมุ่งมั่นในการทำงาน เมื่อจะทำเรื่องอะไร ก็จะคิดถึงเรื่องนั้นๆ ตลอดเวลา และหลายๆครั้งหลังนั่งสมาธิมาดีๆ ก่อนจะออกจากสมาธิ ผมก็จะได้คำตอบของสิ่งที่กำลังคิดอยู่ว่า ควรทำหรือดำเนินการอย่างไร และที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ เวลาทำตามสิ่งที่คิดได้หลังสมาธิ จะเป็นสิ่งที่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายๆ และทำได้จริง อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ท่านต้องลองทำดูเอง แต่ถ้าครั้งใด นั่งสมาธิไม่ดี ฟุ้ง ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอดเวลา แล้วคิดได้จากการคิดมากในการนั่งสมาธิ ผลส่วนใหญ่ทำได้แต่ไม่ดี เพราะ ความคิดไม่ได้จากการมีสมาธิ จริงๆ ดังนั้น จึงต้องแยกให้ออกว่า ความคิดที่ได้จากสมาธิ กับ ความคิดแบบทางโลกๆ มันแตกต่างกัน
ผมใช้ ความคิดจากสมาธิ มาแก้ไขปัญหาทางธุรกิจ ใช้สติในการจดจ่อกับผู้ประกอบการ ใช้สมาธิในการลดความเครียด ใช้สมาธิในการทำความเข้าใจตนเอง ใช้สมาธิในการพิจารณาในเรื่องต่างๆ ผลที่ตามมาในชีวิตคือ มีประสิทธิภาพในการทำงาน หรือ พูดแบบเชิลๆ ก็คือ ฉลาดขึ้น มีปัญญาดีขึ้น นั่นเอง
ทั้งนี้ ต้องขอยกเอาความดี ที่ผมได้ให้คำปรึกษากับสถานประกอบการจนประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นผลที่ได้จาก สมาธิ ที่ได้จากองค์ความรู้ของ หลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย ขอกราบถวายบุญของความดีเหล่านั้น แด่ หลวงงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย ด้วยความสำนึกถึงบุญคุณ ที่ท่านได้อบรมสั่งสอน สมาธิให้กับผม และ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันจนประสบความสำเร็จสูงสุด เป็นที่ปรึกษาตัวอย่างแห่งปี 2556 ได้รับรางวัล DIP Consultant Award 2013 และ ได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการ ทั้งรายใหญ่ รายเล็ก ให้ประสบความสำเร็จ ต่อๆไป...
วิบูลย์ จุง // Wiboon Joong (wbj) // Jung
ผมไม่รู้ว่า ใครนั่งสมาธิแล้วมีผลเป็นอย่างไร แต่ผมเอง ณ วันนี้ ยังไม่เคยเห็นดวงแก้ว ยังไม่เคยเห็นองค์พระ และ นั่งสมาธิแบบ ไม่ท่่อง "สัมมา อรหันต์" ตลอดเวลาด้วย เพราะไม่ใช่จริต ผมนั่งสมาธิด้วยการทำใจหยุด พยายามจดจ่อกับ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ตรงกลางท้อง หรือ ถ้าทางวิทยาศาสตร์ จะเรียกว่าจุด CG (Center of Gavity) เป็นจุดกึงกลางของตัวเราที่โลกดึงดูด เป็นจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายนั่นเอง แม้นในขณะ ยืน เดิน ขับรถ หรือ ทำกิจกรรมใดๆ ถ้าไม่เผลอสติ ก็จะพยายามนึกถึง จุดนี้ เป็นแนวทางการทำสมาธิที่ถูกกับจริตของผมมากที่สุด และ ผลที่ได้คือ ความสุข อยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเองมากขึ้น
สวัสดีจ้าา มาทักทายจ้า 
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [
ขอบคุณสำหรับการแชร์ประสบการณ์ที่ดีดีจ้า