Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
21 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 

องค์ที่ ๘(๑) : เจตนา

องค์ที่ ๘: เจตนา
ท้องฟ้ายามเย็นสีสันเริ่มขมุกขมัวมีรถรับจ้างสองแถววิ่งมาจอดอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามซุ้มประตูทางเข้าวัดมุจรินทร์ หนุมานแกละและพลยักษ์จอร์จลงจากรถด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เมื่อรถแล่นจากไปแล้วทั้งสองคนจึงมองข้ามฝั่งไปเห็นวัยรุ่นชายคนหนึ่งจอดรถจักรยานยนต์ติดเครื่องหันหน้าไปทางประตูวัดราวกับกำลังคอยใครซักคนอยู่อย่างลุกลี้ลุกลน เมื่อจอร์จกับเจ้าทโมนน้อยเดินผ่านท้ายรถไปในระยะประชิดเจ้านั่นก็แสดงอาการสะดุ้งตกใจและออกพิรุธก้มหน้าไม่ยอมมองสบตาจนจอร์จรู้สึกผิดสังเกต เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงกลางซอยที่เชื่อมระหว่างซุ้มประตูกับทางเข้าวัด เสียงเอะอะเอ็ดตะโรก็ดังออกมาจากทางด้านใน ชายหนุ่มเพ่งตามองผ่าความมืดไปข้างหน้าจึงเห็นมรรคทายกเกิดกับเด็กวัดอีกหลายคนกำลังวิ่งไล่กวดวัยรุ่นชายร่างผอมชะลูดคนหนึ่งออกมาจากทางศาลาการเปรียญ ชายคนนั้นก้มหน้าก้มตาวิ่งตรงเข้ามาหาสองพี่น้องอย่างกับมองไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่ เสียงตะโกนของลุงเกิดดังขึ้นทันทีที่มองเห็นพวกเขา
“พ่อหนุ่มช่วยจับขโมยหน่อย...มันเอาเงินในตู้บริจาคไป”
เสียงตะโกนสิ้นสุดลงอย่างกะชั้นชิดเสี้ยววินาทีที่ขาหลังของมันเกือบจะพ้นตัวของจอร์จไป เขาก็ยื่นขาออกไปขัดไว้ได้ทันเจ้านั่นหน้าคะมำล้มกลิ้งไปนอนแผ่หลาอยู่กับที่ จอร์จไม่ปล่อยให้เจ้าขโมยมีโอกาสลุกขึ้นยืนเขากระโดดเข้าไปตะครุบแขนทั้งสองข้างของมันจากทางด้านหลังไขว้และกดให้นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกของมรรคทายกเกิดตามเข้ามาถึงตัว วัยรุ่นที่จอดรถอยู่ที่หน้าซุ้มประตูวัดก็ออกรถบิดหนีไปทันทีโดยไม่ยอมเหลียวหลังมามองอีกเลย
“ไอ้แกละค้นตัวมันสิ...เอาเงินกลับคืนมาให้หมด”
เจ้าทโมนแกละได้ยินลุงของตนสั่งมาด้วยน้ำเสียงที่หอบจนตัวโยนจึงก้มลงทำตามแต่ขลุกขลักนิดหน่อยเพราะหัวขโมยพยายามดิ้นรนขัดขืนทั้งทีถูกจอร์จกดจนดิ้นไม่หลุด เจ้าทโมนน้อยค้นในกระเป๋ากางเกงยีนของมันจึงพบธนบัตรชนิดต่างๆที่ถูกขยุ้มรวมกันและยัดเอาไว้ ขณะที่แกละเหลือบตาขึ้นไปเห็นใบหน้าของมันก็ร้องอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ
“เอ๊ะไอ้พีนี่นา เอ็งกลายเป็นขโมยไปแล้วหรือ”
จอร์จเผลอผ่อนแรงของเขาลงโดยไม่ตั้งใจ เปิดโอกาสให้หัวขโมยดิ้นหลุดและลุกพรวดขึ้นมาได้แต่แทนที่มันจะวิ่งหนีมันกลับชักมีดสปิงออกมาจากกระเป๋ากางเกงและจ้วงแทงเข้าที่หน้าท้องของจอร์จ ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบคว้าจับข้อมือและบิดแขนไปด้านหลังจนมีดหลุด เขาใช้แขนอีกข้างล็อคคอของมันจนเจ้านั่นหน้าแดงตาเหลือกดูเหมือนคนที่ใกล้จะขาดใจ ปฏิกิริยาที่รวดเร็วฉับไวของจอร์จเร็วจนแม้แต่เจ้าแกละที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มองตามไม่ทัน ส่วนมรรคนายกเกิดที่ดูอยู่ตั้งแต่ต้นแน่ใจทันทีว่าเขาต้องเป็นคนที่ผ่านการฝึกฝนการต่อสู้มาแล้วอย่างโชกโชน
“ประสกจอร์จ ปล่อยเขาเถอะ อาตมาขอร้อง”
กระแสเสียงที่เปี่ยมด้วยเมตตาจิตของหลวงพ่อรุ่งมาถึงก่อนร่างของท่านที่เดินตามมาจากทางด้านหลัง ท่านมาทันได้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบเช่นกันและรู้แล้วว่าเจ้าพีที่เคยเป็นเด็กวัดของที่นี่เป็นผู้ก่อเหตุขึ้น ท่านรู้สึกเวทนาและนึกสงสารมันขึ้นมาจึงบอกให้ชายหนุ่มปล่อยมันเสียก่อน เมื่อจอร์จผ่อนแรงแขนที่ล็อคคอออกเจ้านั่นก็ล่วงผล็อยลงไปกองอยู่ที่พื้นราวกับตัวทำจากวุ้นที่ไม่มีกระดูกสันหลัง มันนอนแน่นิ่งหมดสติจนหลวงพ่อรุ่งต้องสั่งให้มรรคทายกเกิดจับเจ้าหัวขโมยมัดเอาไว้กับเสาไฟฟ้าและสั่งให้เด็กวัดไปโทรศัพท์ตามตำรวจมาจัดการเรื่องต่อ เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว ท่านจึงปล่อยให้มรรคทายกเกิดอยู่ดูแลเรื่องขโมยต่อไปตามลำพัง ส่วนตนก็เดินนำเจ้าทโมนน้อยกับพลยักษ์จอร์จกลับไปทางกุฏิตน ขณะที่จอร์จเดินขนาบมากับเจ้าทโมนแกละเขาอดสงสัยไม่ได้จึงกระซิบถามเจ้าตัวดีว่า
“แกละรู้จักขโมยนั้นด้วยหรือ”
“รู้จักสิพี่มันเคยเป็นเด็กวัดของที่นี่ ท่านเจ้าอาวาสเคยส่งเสียให้มันเรียนจนเกือบจะจบ ม.3แต่มันไม่รักดี หนีออกไปคบกับพวกขี้ยาหลังตลาดเดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นขโมยไปแล้ว อกตัญญูสมกับฉายาของมันที่ใครๆเรียกว่าทรพีจริงๆ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับแสดงว่าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วทั้งสองคนจึงเดินตามหลวงพ่อรุ่งมาเงียบๆจนถึงประตูทางเข้ากุฎิ หลวงพ่อหันกลับมาสั่งความกับทั้งสองคนว่า
“เดี๋ยวประสกจอร์จ ซ้อมมวยไทยกับกับเจ้าแกละเสร็จแล้วขึ้นไปหาอาตมาด้วยนะ ช่วยบอกลุงของเจ้าแกละด้วยว่าอาตมาจะจับลิงฝึกสมาธิเป็นเพื่อนโยม ลืมหรือยังที่นัดกับอาตมาไว้ตั้งแต่เช้าเรื่องจะมาฝึกนั่งสมาธินะ”
“ยังไม่ลืมครับหลวงพ่อ”
“ดีถ้างั้นอาตมาจะขึ้นไปคอยข้างบนก่อน”
เมื่อหลวงพ่อรุ่งพูดจบก็ผละขึ้นกุฏิไป จอร์จกับเจ้าทโมนวัดจึงแยกตัวไปยังลานดินที่เดิมซึ่งเมื่อวานเขาได้มาซ้อมมวยเป็นเพื่อนเจ้าตัวดี ไม่นานมรรคทายกเกิดก็ตามมาสมทบกับคนทั้งสองเมื่อเสร็จธุระเรื่องส่งตัวหัวขโมยให้กับทางตำรวจ ลุงเกิดของเจ้าแกละรู้สึกถูกใจชายหนุ่มมากเป็นกรณีพิเศษตั้งแต่นาทีแรกที่เขาย่อมมาซ้อมมวยเป็นเพื่อนหลานชายของตนจึงจับเขาหัดเตะต่อยและสอนพื้นฐานมวยไทยให้ด้วยอย่างไม่รู้สึกรังเกียจ ครูมวยเฒ่าออกปากชมเปาะให้เจ้าแกละฟังตลอดเวลาว่าจอร์จมีแววที่จะเป็นนักมวยชั้นเยี่ยมได้ไม่ยากถ้าเขาต้องการ และยังตั้งข้อสังเกตเอาไว้ด้วยว่าสภาพร่างกายของชายหนุ่มเหมือนกับตนเมื่อยามเป็นนักมวยไทยอาชีพสมัยก่อนมากคือเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งและประสาทสัมผัสที่ฉับไว ดูราวกับว่าได้รับการฝึกฝนเรื่องการต่อสู้มาอย่างหนักหน่วง ยิ่งมาเห็นจอร์จแสดงฝีมือจับขโมยเมื่อครู่นี้ ครูมวยเก่ามองเพียงครั้งเดียวก็แน่ใจทันทีว่าชายหนุ่มต้องมีความหลังที่เกี่ยวพันกับการฝึกศิลปะการป้องกันตัวอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างมาแล้วแน่นอน มรรคทายกเกิดออกปากฝากฝังให้จอร์จช่วยเป็นเพื่อนซ้อมมวยให้เจ้าแกละทุกวันและอยากให้ชายหนุ่มสอนสิ่งที่ตนเรียนมาให้เจ้าแกละด้วยแต่จอร์จไม่อาจทำเช่นนั้นได้เพราะเขาเองยังจำอะไรไม่ได้และสิ่งที่ทำไปทั้งหมดเขาก็ไม่รู้ว่าทำไปได้อย่างไร เหมือนมันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ
หลังจากที่สองพี่น้องต่างวัยเสร็จจากการซ้อมมวยประจำวันแล้ว พวกเขาใช้เวลาอาบน้ำผลัดผ้ากันเพียงแค่ 15 นาที จึงขึ้นไปหาหลวงพ่อรุ่งบนกุฏิตามที่ท่านสั่งโดยชายหนุ่มถือพานดอกไม้ธูปเทียนชุดย่อมๆที่เจ้าตัวดีหามาให้ติดมือขึ้นไปด้วย จอร์จเข้าใจดีและเต็มใจทำตามธรรมเนียมที่เจ้าแกละบอกทุกอย่าง เขาจึงคลานเข้าไปหาหลวงพ่อรุ่งโดยที่มือถือพานไหว้ครูเข้าไปด้วยท่านรับมันไปวางไว้ที่โต๊ะพอเป็นพิธีก่อนจะหันกลับมาให้พรสั้น ๆ แก่เขาว่า
“ขอให้โยมมีชัยชนะต่อมารและเจริญทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะ”
“สาธุ... ขอบคุณครับหลวงพ่อ” จอร์จรับพรพร้อมกับก้มลงกราบเบญจางค์ประดิษฐ์อย่างนอบน้อม
“เอาล่ะ คราวนี้ ก่อนที่จะเริ่มการฝึกสมาธิขั้นพื้นฐาน อาตมาอยากให้โยมสมาทานศีล 5 เสียก่อน”
“สมาทานศีล5คืออะไรครับหลวงพ่อ”
“สมาทานศีล5คือการรับข้อห้าม 5 ข้อเพื่อนำไปปฏิบัติในการละวางการกระทำที่ไม่ดีเพื่อความเป็นปรกติสุขของชีวิตโยมอย่างไรล่ะ”
“ข้อห้าม 5 ข้อมีอะไรมั่งครับ”
หลวงพ่อรุ่งหันมาทางเจ้าทโมนน้อยที่นั่งไม่เป็นสุขเกาโน่นเกานี่อยู่ตลอดเวลาแล้วเอ่ยว่า “ไหนเจ้าแกละลองท่องศีล 5ให้พี่เขาฟังหน่อยสิ”
เจ้าแกละสะดุ้งเล็กน้อยเพราะกำลังเพลินกับความคิดเรื่อยเปื่อยหันมายิ้มยิงฟันขาวให้จอร์จเพราะดีใจที่จะได้อวดภูมิก่อนจะท่องออกมา
“ข้อ1. ห้ามฆ่าสัตว์ ข้อ 2 .ห้ามลักทรัพย์ ข้อ 3.ห้ามพูดปด ข้อ4.ห้ามผิดลูกผิดเมียผู้อื่น และข้อ5.ห้ามดื่มสุราของเมาครับ”
“ดีมาก ยังพอมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่บ้างนิ”
“ผมรู้หรอกน่าว่าศีลห้าเป็นที่มาของมนุษย์สมบัติ” เจ้าแกละหน้ามุ่ยลงทันทีเพราะโดนหลวงลุงเหน็บเอาซึ้งๆหน้า เอ่ยคำบ่นกระปอดกระแปดดูท่าทางเหมือนลิงหัวเสียไปตามเรื่องจนจอร์จต้องอมยิ้ม
“ผมจำได้และยังไม่เคยผิดศีล 5 เลยนะครับหลวงลุง ไม่ใช่ไอ้ทรพีสักหน่อย ไอ้นั่นมันทำผิดล่อไป 3 ข้อพร้อมกันทีเดียวเลย”
“เอ๊ะทำไมถึง 3 ข้อเลยล่ะแกละ พี่ว่ามันผิดแค่2ข้อ มิใช่หรือ”
“ 3 ข้อครับพี่จอร์จ ไม่เชื่อลองถามหลวงลุงดูสิ”
“ข้อไหนบ้างครับหลวงพ่อ”
“ไหนเจ้าแกละลองตอบมาสิ” หลวงพ่อรุ่งไม่ตอบและลองภูมิศิษย์ก้นกุฏิตนอีกครั้ง
“ข้อ 1, 2 และ 5 ยังไงล่ะครับพี่ ไอ้ขี้ยานั่นมันเสพยาบ้าผิดข้อ5 มาขโมยเงินตู้บริจาคผิดข้อ 2 และมีเจตนาจะฆ่าพี่จอร์จโดยชักมีดออกมาเสียบพุงกะทิพี่จึงผิดข้อ1ด้วยถูกไหมครับหลวงลุง”
“ใช้ได้...ไม่เสียแรงที่ข้าสอน โยมละเข้าใจหรือยัง”
ชายหนุ่มนั่งทบทวนดุเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะตอบคำ
“เข้าใจครับหลวงพ่อชายคนนั้นเจตนาจะฆ่าผม เมื่อคิดและลงมือทำจึงผิดศีลแล้วถูกไหมครับหลวงพ่อ”
“ถูกต้อง ดีแล้วที่พูดถึงเจ้าพีขึ้นมา อาตมาจะได้ทำความเข้าใจให้ตรงกันกับโยมก่อนโยมเห็นที่คอของเจ้านั่นไหม”
“เห็นครับหลวงพ่อ เขาห้อยพระองค์เล็กๆไว้ด้วย”
“แค่สักแต่ห้อยเอาไว้ในใจไม่คิดจะทำความดีให้มีอีกเป็นพันองค์ก็ไม่มีประโยชน์ คนสมัยนี้ก็เป็นกันเสียมากถูกพระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้าอย่างคำที่ท่านพุทธทาสสอนเอาไว้”
“เอ๊ะ...พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้าเป็นยังไงครับหลวงลุง”เจ้าทโมนน้อยเกาหัวแกรกๆถามขึ้นมามั่งด้วยความสงสัยเพราะรู้สึกแปลกหู
“การนำพระพุทธรูปมาห้อยคอจุดหมายที่แท้จริงคือเจตนาให้เป็นอนุสติหรือสัญลักษณ์เตือนใจคนห้อยให้รำลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้เร่งปฏิบัติตนเพื่อละความชั่ว ทำความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ตามที่พระองค์ได้สั่งสอนเอาไว้ต่างหาก ไม่ใช่มายึดติดที่องค์พระพุทธรูปหวังพึ่งแต่พุทธนิหารแล้วจะไปทำอะไรก็ได้ตามที่กิเลสมันจะพาไป คนเราไม่ทำกรรมดีและจะหวังผลดีได้อย่างไรจริงไหมเจ้าแกละ”
“แต่....ทำไมบางคนเขาบอกว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป”ล่ะครับหลวงลุง”
เจ้าทโมนน้อยถามซอกแซกตามนิสัยลิงขี้สงสัยทั้งๆที่ตนเชื่อคำพูดของหลวงลุงมากกว่าอยู่แล้วแต่อยากให้ท่านชี้แจงให้ชัดเจนเท่านั้น
“ไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรมไปพ้นหรอกเจ้าแกละ คนเราที่คิดผิดนึกว่าการที่ตนทำกรรมชั่วแล้วได้ดีนั้นจัดว่าเป็นบุคคลที่ตั้งอยู่บนความประมาท การที่กรรมชั่วไม่ตามมาให้ผลทันทีก็นึกเอาเองว่ามันไม่มีอยู่จริงแต่ผลกรรมที่ให้ผลช้านั้นน่ากลัวกว่าที่ส่งผลทันทีอีกนะรู้ไหมเพราะว่ามันจะยิ่งหนักหนาสาหัสและให้ทุกข์นานเสียยิ่งกว่าเก่าเหมือนกับหมูที่คลุกอยู่ในปลักโคลนนั้นแหล่ะ ยิ่งนานวันโคลนที่พอกอยู่ที่หางนับวันจะยิ่งหนาและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกมันเป็นแค่ก้อนดินเล็กๆก็คิดว่าไม่มีผลร้ายอะไร ยังเดินไปเดินมาหากินเองได้ เมื่อดินมันใหญ่ขึ้นๆและหนักขึ้นเรื่อยๆจนทำให้มันเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่นอนรอความตายและทุกข์จนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วยังไงละ”
หลวงพ่อรุ่งยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบก่อนที่จะพูดต่อ
“การที่อาตมาต้องการให้โยมทำความเข้าใจเรื่องศีลให้ถูกต้องเสียก่อนเพราะต้องการให้โยมไม่ประมาท อาตมาไม่ได้ต้องการแค่คำรับศีลที่เอ่ยออกมาจากปากของโยมเท่านั้นแต่สิ่งสำคัญที่อาตมาต้องการคือเจตนาหรือความตั้งใจจริงที่จะรักษาศีลของโยม จำคำพูดของอาตมาไว้นะ เจตนาที่จะรักษาศีลของโยมในอนาคตจะทำให้โยมแก้ไขวิกฤตการณ์ในชีวิตได้ทุกเรื่อง เมื่อใดที่โยมเผชิญหน้าอยู่บนทางสองแพ่งที่ต้องเลือกระหว่างการทำดีแต่ลำบาก กับการทำชั่วแล้วสุขสบาย ให้นึกถึงอาตมาและสิ่งที่อาตมาสอนขอให้เลือกทำแต่สิ่งที่ดีถึงแม้ว่ามันจะนำพาความทุกข์มาให้ก็ตามเชื่อเถอะว่ากรรมดีย่อมให้ผลดีอยู่วันยันค่ำมันเป็นกฎแห่งกรรมที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้”
“ครับหลวงพ่อผมจะจำไว้”
หลังจากที่หลวงพ่อรุ่งทำความเข้าใจเรื่องเจตนาที่จะรักษาศีลกับชายหนุ่มเรียบร้อย ท่านก็บอกให้จอร์จคลานไปกราบพระประธานที่อยู่บนโต๊ะหมู่บูชาริมห้อง ก่อนที่จะให้เขาขานคำสมาทานศีลตามเจ้าแกละที่เป็นพี่เลี้ยงจนจบ หลังจากนั้นท่านจึงเริ่มสอนวิธีการทำสมาธิขั้นพื้นฐาน(อานาปนสติ)ให้กับเขา โดยเริ่มจากการสอนให้เขาท่องคำบริกรรมกำกับลมหายใจเข้าออกก่อนเป็นขั้นตอนแรก ท่านสอนเขาว่าขณะที่หายใจเข้าให้ท่องคำว่าพุทธอยู่ในใจและหายใจออกให้ท่องคำว่าโท
นอกจากสอนการนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจแล้ว ท่านยังสอนวิธีการเดินจงกรมระยะที่ 1 ให้แก่เขาด้วย โดยสอนเขาให้ยกเท้าอย่างไร บริกรรมอย่างไร และกำหนดกิริยาพร้อมกับการบริการรมว่าอย่างไร หลังจากนั้นจึงสั่งให้ศิษย์พี่แกละทำท่าทางประกอบให้ชายหนุ่มดู เจ้าแกละผู้เป็นต้นแบบที่ไม่ดีเดินเป๋ไปเป๋จนจอร์จหัวเราะออกมาอย่างลืมตัวและหลวงพ่อบ่นอุบด้วยความเหนื่อยใจ จอร์จซักซ้อมตามเจ้าแกละอยู่ 2 – 3 เที่ยว เมื่อหลวงพ่อรุ่งเห็นว่าเขาเข้าใจดีแล้วจึงให้เขาลองปฏิบัติด้วยตนเองอยู่บนลานพื้นไม้หน้าห้องของท่านเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง และให้นั่งสมาธิต่ออีกครึ่งชั่วโมงโดยมีเจ้าทโมนวัดทำเป็นเพื่อน
เมื่อเสร็จจากการนั่งสมาธิตามกำหนดเวลาที่หลวงพ่อสั่งไว้ ขณะที่จอร์จลืมตาขึ้นมาเขาก็พบว่าตัวเองเหมือนคนที่ได้นอนหลับพักผ่อนมาอย่างเต็มอิ่มหนึ่งตื่นทั้งๆที่ใช้เวลาเพียงแค่ไม่นาน เขารู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าและทึ่งในปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นไม่ได้ ก่อนที่เขาจะลงมาจากกุฏิของหลวงพ่อรุ่งท่านยังสั่งจอร์จด้วยว่า พรุ่งนี้เช้าเขาไม่ต้องไปเดินตามท่านบิณฑบาตแต่ให้เอาเวลาที่มีฝึกเดินจงกรมระยะที่ 1ให้ชำนาญ เมื่อท่านกลับมาตรวจถ้าเขาทำได้ดีแล้วจะสอนระยะที่2ให้เลยจะได้ฝึกเสียก่อนที่จะไปซ้อมโขนในช่วงบ่ายของวัน และถ้าทำได้คล่องดีทั้งสองระยะคืนพรุ่งนี้จะสอนระยะที่ 3 ให้เขาด้วยเพราะหลวงพ่อบอกว่าเขามีพื้นฐานที่ดีดูท่าจะไปได้เร็วจึงสมควรที่จะส่งเสริมให้พร้อมเสียก่อนจะออกเดินทางไปแสดงโขน ชายหนุ่มกราบลาหลวงพ่อรุ่งอย่างรู้สึกสำนึกในบุญคุณระคนไปกับความซาบซึ้งใจตั้งปณิธานไว้กับตนเองในใจว่าตนจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของหลวงพ่อและจะเพียรพยายามฝึกสมาธิให้ดีที่สุดให้สมกับที่ได้รับความกรุณาจากท่าน ค่ำคืนวันนั้นจอร์จนอนหลับทันทีที่หัวถึงหมอนเขาไม่รู้สึกฟุ้งซ่านและไม่ฝันเห็นอะไรต่อมิอะไรอีกเลยตลอดคืน หลับสนิทราวกับเป็นคนตายจนถึงรุ่งเช้า



กระแสลมทะเลเย็นฉ่ำให้ความรู้สึกสดชื่นจนมะลิเผลอสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างเต็มที่ทำให้หน้าอกคู่งามพองโตขึ้นมาเบียดชุดนอนซีทรูสีเนื้ออ่อนให้เด่นอร่ามตา มะลิรวบเสื้อคลุมเข้าหากันเพื่อเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายเพราะเธอกำลังยืนอยู่บนระเบียงหลังห้องพักที่หันหน้าออกสู่ทะเลเพียงลำพังส่วนเพื่อนทั้งสองคนของเธอหลับสนิทอยู่ในห้องเพราะความอ่อนเพลียที่มีส่วนผสมของฤทธิ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยามรุ่งอรุณกระแสลมทะเลที่พัดมาถูกใบหน้าเย็นฉ่ำชื่นใจจนมะลิรู้สึกปลอดโปร่งและมีความสุขราวกับได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติรอบตัว จินตนาการเลยเถิดไปว่าตนกำลังยืนฟังท้องทะเลสีเขียวมรกตบรรเลงเพลงคลื่นซัดฝั่งที่แสนจะไพเราะ มะลิพูดกับตัวเองในใจว่า “นี่แหละความสุขที่แท้จริง รู้สึกสบายใจดีกว่าแสงสียามราตรีของเมื่อคืนเป็นไหนๆ”
มะลิทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อวานตอนเย็นอีกครั้ง หลังจากที่ตนชำระล้างร่างกายจากคราบเกลือของน้ำทะเลเสร็จเรียบร้อยแล้วคณะของเธอก็ใช้เวลาเพียงไม่นานสำหรับอาหารเย็นภายในห้องอาหารของโรงแรมก่อนที่จะชวนกันออกไปตระเวนชมแสงสียามราตรีของเกาะสมุยกันจนดึกดื่น คณะของเธอดื่มเครื่องดื่มค็อกเทลกันเป็นว่าเล่นมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ร่วมดื่มไปกับพวกเขาด้วยจึงทำให้เธอสามารถตื่นแต่เช้าออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เพียงคนเดียวอย่างกระปรี้กระเปร่า
ห้วงแห่งความคิดคำนึงของมะลิในยามนี้ เธอรู้สึกว่าตนเองกำลังมีความสุขที่สุดในชีวิตจึงปรารถนาที่จะแบ่งปันมันให้กับผู้อื่นบ้าง มะลิจึงหวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวให้ชีวิตของตนเองเพื่อแสวงหาใครซักคนที่เธอคิดว่าจะสามารถแบ่งปันความรู้สึกนี้ร่วมกันได้ เธอเติบโตมาท่ามกลางความสุขสมบูรณ์ของชีวิตในทุกๆด้านอย่างที่คนอีกหลายล้านคนต้องนึกอิจฉาแต่ในความสุขนั้นใครเลยจะรู้ว่ามันขาดหายบางสิ่งบางอย่างไป เธอเองไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมชีวิตตั้งแต่เด็กจนย่างเข้าสู่วัยรุ่นและโตเป็นหญิงสาวจึงหาคนที่ถูกใจไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าผู้ชายทุกคนที่เข้ามาติดพันเธอจะหาคนดีหรือมีฐานะไม่ได้ กลับกันคนที่เข้ามามักจะเพียบพร้อมไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เธอกับไม่เคยรู้สึกว่ามีใครคนใดที่ใช่คนที่จะเดินเข้ามาร่วมแบ่งปันความสุขและความเศร้ากับเธอได้อย่างแท้จริง เธออยากรู้จริงๆเขาคนนั้นอยู่ที่ไหน คำถามนี้มักจะผุดขึ้นมาหลอกหลอนจิตใจของเธอทุกครั้งยามที่ต้องอยู่ลำพังคนเดียวเช่นเวลานี้เสมอ
เสียงมลลุกขึ้นจากที่นอนช่วยเรียกสติของเธอให้ออกมาจากห้วงแห่งความคิดคำนึง มะลิหันกลับไปมองเพื่อนสาวที่ค่อยๆคลานลงมาจากเตียงนอนและเดินออกมาหาเธอที่ระเบียงด้วยอาการโซเซ มะลิอดสงสารไม่ได้จึงผลุบหายเข้าไปช่วยพยุงร่างของเพื่อนสาวอย่างเป็นห่วงขณะที่เอ่ยคำด้วยน้ำเสียงอาทร
“มลเป็นไงบ้างจ๊ะ ถึงกับเซเลยหรือนี่”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ๊ะมะลิแค่มึนๆหัวนิดหน่อยเอง อาบน้ำแล้วคงจะหาย เพราะยัยแบงก์ตัวดีนี่แหล่ะ แอบสั่งให้บาร์เทนเดอร์ผสมให้เราเสียเข้มเลยเมาไปตอนไหนแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คอยดูนะตื่นมาก่อนแม่จะหยิกเสียให้เขียวเชียว”
มลบ่นกระปอดกระแปดไปตามเรื่องจนมะลิอดหัวเราะไม่ได้ ถ้าจะเปรียบมลเป็นพี่สาวที่แสนเข้มงวดของเธอคงต้องเปรียบแบงก์เป็นเหมือนน้องสาวจอมซุกซนด้วยเช่นกัน มะลิอมยิ้มและถามเพื่อนสาวกลับไปอีกว่า
“อย่างนี้ตอนสายๆจะไปขับรถโกคลาสไหวหรือจ๊ะ”
“ได้สิยัยตัวดีบอกว่าเตรียมยาแก้อาการแฮงก์มาด้วยแล้วถึงกล้ามอมเรานี่ไง”
มลพูดเสร็จจึงผละจากมะลิเดินเซไปยังกระเป๋าเสื้อผ้าของแบงก์ที่วางพิงอยู่กับตู้เสื้อผ้า เธอเปิดกระเป๋าค้นหาของอยู่ไม่นานก็หยิบซองใส่ยาสีขาวออกมา มลเปิดปากถุงเทยาใส่มือตนหนึ่งเม็ดและเดินไปยังตู้เย็นประจำห้องก่อนจะพูดกับมะลิ
“มะลิไปอาบน้ำก่อนเถอะเดี๋ยวเรากินยาเสร็จจะขอนั่งพักซักครู่”
“จ๊ะ พักซะก่อนก็แล้วกันนะ”
พูดจบมะลิจึงเดินไปหยิบผ้าขุนหนูประจำตัวและผลุบหายเข้าไปให้ห้องน้ำ ส่วนมลพยายามพยุงตัวเองขึ้นจากเก้าอี้อย่างยากเย็นเดินเซกลับไปที่เตียง ความโกรธและความคิดที่จะเอาคืนในตอนแรกหายไปจนหมดสิ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวนอนอ้าปากกว้างจนหมดสวย เธอหัวเราะถอนฉิวออกมาเบาๆพร้อมเรียกเพื่อนให้ตื่นนอนด้วยวิธีการหยิกเบาที่ต้นแขน
เสียงพูดและเสียงหัวเราะของทั้งสามสาวในห้องส่วนตัวของโรงแรมเป็นคลื่นเสียงที่กระจายตัวอยู่ภายในห้องซึ่งขณะนี้กำลังเดินทางผ่านผนังกำแพงคอนกรีตเข้าสู่เคลื่อนดักฟังเสียงอันทันสมัยรูปทรงคล้ายกับกรวยขนาดไม่ใหญ่ซึ่งถูกคลอบอยู่กับกำแพงของห้องพักที่ติดกัน เจ้าหน้าที่แมคนั่งติดอยู่กับกำแพงห้องและใช้เครื่องมือดังกล่าวแนบกับผนังโดยมีหูฟังแบบคอบขนาดใหญ่สวมอยู่บนศีรษะ เขาพูดกับผู้กอบเซอบีรุสที่นั่งอยู่ปลายเตียงโดยไม่ได้หันไปมองว่า
“ผู้กองวันนี้ตอนสาย สาวๆจะไปขับรถโกคลาสเล่นกันเราต้องตามไปด้วยไหมครับ”
“ตามสิ ต้องตามแบบไม่ให้คลาดสายตาด้วย”
“ต้องรอเจมส์กลับมาก่อนหรือเปล่าครับ”
“ถ้าทันก็ไปด้วยกันถ้าไม่ทันให้ใช้วิทยุติดต่อไปบอกที่หมายของเราซะ”
“ผมว่าน่าจะทันนะครับ เห็นสาวๆคุยกันว่าจะลงไปทานอาหารเช้ากันก่อน แล้วจึงค่อยกลับขึ้นมาเตรียมตัวออกไปเที่ยวอีกที”
“ได้อย่างนั้นก็ดีฉันกำลังอยากรู้ข่าวที่สั่งให้หมอนั้นไปสืบอยู่พอดี”
ครึ่งชั่วโมงถัดมาเสียงเคาะประตูห้องเป็นจังหวะตามที่ตกลงกันไว้ก็ดังขึ้นที่หน้าห้องพักของพวกเขา เจ้าหน้าที่แมคเดินไปเปิดประตูให้เพื่อนและปิดมันลงอย่างรวดเร็ว เจมส์เดินเข้ามาหาผู้กองเซอรีรุสด้วยสีหน้าตึงเครียดนั่งลงที่เตียงของตนก่อนจะเอ่ยคำ
“เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆครับ ตอนนี้ไอ้ลุจจิจอมหื่นตายเป็นผีไปเรียบร้อยแล้ว”
“อุบัติเหตุหรือว่าสาเหตุอื่น” ผู้กองแห่งหน่วยพิเศษถามลูกทีมกลับไปทันทีด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม
“ฆาตกรรมครับ มีรอยกระสุนปืนเข้าจากทางด้านหน้าตรงตำแหน่งหัวใจทะลุออกด้านหลังทำมุมสี่สิบห้าองศาพอดีเลยครับ”
“หาว่าไงนะ กระสุนปืนถูกยิงมาจากด้านหน้าหรือ” แมคถามสวนกลับไปทันทีทั้งๆหูยังใส่ที่ฟังและมือยังจับอุปกรณ์แนบอยู่กับกำแพง เขาทบทวนความทรงจำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เจ้าลุจจิพลาดจากการเข้าไปตีสนิทเป้าหมายและเดินไปขึ้นเรือเร็วที่มีบริการเช่าร่มชูชีพปล่อยให้ลอยขึ้นไปชมวิวบนท้องฟ้า เจ้านี่อยู่เฉยๆก็หมดสติกลางอากาศและเชือกที่ยึดร่มไว้กับตัวเรือก็ขาดเสียเฉยๆ ทำให้ร่มชูชีพของมันลอยไปตกยังกลางทะเลไกลตาออกไป ตอนแรกพวกเขาไม่ได้สนใจอะไรกับเหตุการณ์นั้นมากนักจึงเดินตามเป้าหมายกลับขึ้นมาที่พักและออกติดตามดูพฤติกรรมของพวกเธออยู่ห่างๆตลอดคืน จวบจนทุกคนกลับขึ้นมายังห้องพักนี่อีกครั้ง ผู้กองเซอบีรุสรู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างจึงสั่งให้เจมส์ออกไปหาข่าวยังโรงพยาบาลที่เจ้าลุจจิถูกพาตัวไปรักษาพยาบาลและเจมส์ก็ออกไปตั้งแต่ฟ้ายังมืดพึ่งจะกลับเข้ามาเดี่ยวนี่เอง
“เป็นไปได้ไงเจมส์ไอ้ลุจจิมันลอยอยู่บนฟ้าตอนที่ถูกยิงนะ เรือกำลังวิ่งออกห่างจากฝั่งไปกลางทะเลโน้น ถ้าจะยิงต้องยิงมาจากทางข้างหลังสิถึงจะถูกเพราะอยู่แนวเดียวกับที่โรงแรมนี่พอดี คนยิงมันอยู่ที่ไหนกันกลางทะเล”
“แมคนายลืมเรือยอร์ชพวกนั้นแล้วหรือ” เจมส์พูดพร้อมกับชี้ไปที่เรือยอร์ชลำหนึ่งซึ่งมีตราสัญลักษณ์รูปดวงตาอันใหญ่บนหัวเรือ มันสามารถมองเห็นได้จากตำแหน่งที่เขานั่งอยู่
“นายว่าไงนะ”
ผู้กองเซอบีรุสพลอยตกใจอุทานเกือบจะเป็นเสียงเดียวกับแมค แต่ยังคงรักษาท่าทางที่สงบนิ่งฟังเจมส์อธิบายต่อไป
“ถูกต้องแน่นอนครับผู้กอง จากการวิเคราะห์วิถีกระสุนของผมเมื่อดูรายงานการชันสูตรศพ กระสุนวิ่งเข้าทางด้านหน้าและทะลุออกด้านหลังทำมุมเฉียงขึ้นไปสี่สิบห้าองศา มันต้องถูกยิงมาจากเรือลำใดลำหนึ่งเพราะข้างหน้าที่เรือเร็วหันหัวออกไปไม่มีเกาะหรือประภาคารอยู่เลยมีแต่เรือยอร์ชไม่กี่ลำที่จอดลอยคออยู่กลางทะเลเท่านั้น”
ผู้กองเซอบีรุสลุกขึ้นจากปลายเตียงเดินไปที่ประตูกระจกกันระหว่างภายในห้องกับระเบียงด้านนอก เขาเปิดมันออกเพียงแค่ครึ่งบานและยื่นหน้าออกไปมองผืนน้ำทะเลเบื้องนอกเพื่อสำรวจหาอะไรอยู่อึดใจหนึ่ง ไม่นานก็เดินกลับเข้ามาหยิบกล้องส่องทางไกลจากกระเป๋าหนังใบใหญ่เพื่อเตรียมที่จะออกไปส่องสำรวจเรือเหล่านั้นอย่างละเอียดอีกครั้งแต่แล้วเจ้าหน้าที่แมคก็รายงานสถานการณ์แทรกขึ้นมาก่อนว่า
“ผู้กองครับ สาวๆกำลังจะลงไปกินอาหารเช้ากันแล้ว เอาไงดีครับ”
ผู้กองแห่งหน่วยสงครามพิเศษชะงักเท้าไว้ได้แค่ครึ่งทางและหันกลับไปสั่งความคนพูด
“นายตามลงไป เอาวิทยุไปด้วย ไม่ต้องขึ้นมาจนกว่าพวกหล่อนจะกลับขึ้นห้องนะรู้ไหม”
“ครับผม” เจ้าหน้าที่แมคพูดจบเก็บเครื่องดักฟังใส่กระเป๋าหนังใบใหญ่ก่อนจะเดินไปที่ประตูห้องทันที เขาเปิดประตูด้วยความระมัดระวังเพราะเกรงว่าคณะเป้าหมายจะหันมาเห็นเขาเข้าเสียก่อน เมื่อแน่ใจว่าทางสะดวกแล้วจึงผลุบหายออกจากห้องไป ผู้กองเซอบีรุสเปิดประตูระเบียงกระจกบานใหญ่อีกครึ่งออกจนสุดและเดินไปยังริมกำแพงระเบียงด้านหลังห้องพัก เขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาแนบกับดวงตาเพื่อส่องสำรวจไปยังเรือยอร์ชที่ลอยคออยู่กลางทะเลที่ละลำเหมือนต้องการจะสำรวจหาความจริงตามข้อสัญนิฐานของลูกทีม
เจมส์ลุกจากเตียงนอนเดินตามหลังหัวหน้าทีมของเขาออกไปที่ระเบียงด้วยอีกคน เขาหันกลับมาปิดประตูกระจกลงตามเดิมก่อนที่จะเดินเข้าไปหาตัวผู้กองเซอบีรุส เจมส์เหลือบไปเห็นเรือลำที่เขาชี้ให้ทุกคนดูโดยไม่ได้ตั้งใจเขาเห็นแสงสะท้อนจากด้านในกระจกหน้าต่างบานหนึ่งที่หัวเรือเพียงวูบเดียวจากประสบการณ์นักแม่นปืนระยะไกลประจำหน่วยสไนเปอร์ทำให้เขาฉุกใจคิดถึงภัยเงียบขึ้นมาได้อย่างกะทันหันจึงกระโจนพรวดไปตะครุบตัวของผู้กองเซอบีรุสเอาไว้พร้อมกับกดเขาลงทันที
“เพล้ง”
เสี้ยววินาทีที่ร่างของทั้งคู่พ้นจากแนวกำแพงระเบียงลงมาเพียงคืบเดียว เสียงประตูกระจกบานใหญ่ด้านหลังก็แตกละเอียดราวกับถูกวัตถุที่พุ่งมาด้วยความเร็วปานลมพายุกระแทกเข้าอย่างจัง ผู้กองเซอบีรุสที่นั่งเอาหลังพิงกำแพงปูนสูงระดับเอวหันหน้ามาสบตากับลูกทีมด้วยสีหน้าตื่นงงและเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นงานเป็นการทันทีว่า
“เจมส์นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ผู้กองเซอบีรุสพูดพร้อมกับมองไปที่ประตูกระจกบานที่แตกเหมือนต้องการคำอธิบาย
“ผู้กองครับ สงสัยว่าฆาตกรที่ฆ่าเจ้าลุจจิจะเล็งเราเป็นเป้าหมายใหม่ครับ”
“หาว่าไงนะ ทำไมมันถึงต้องการเก็บเราด้วยละ”
“เมื่อคืนผมเห็นแมคเปิดผ้าม่านของประตูกระจกบานนี้ไว้ใช่ไหมครับ”
“ใช่” ผู้กองเซอบีรุสยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมโดยไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวไปไหน
“แมคใช้เครื่องดักฟังพร้อมกับเอารูปมือโปรจอมอุ้มอันดับที่4ออกมาให้พวกเราดูจำได้ไหมครับ”
“จำได้สิ มันมีฉายาว่า สไนเปอร์ไซคลอปส์ใช่ไหม”
“ครับเจ้านี่แหละที่ผมทักว่าหน้าตามันคุ้นๆอย่างไรชอบกล”
“อืม...นายยังบอกเลยว่าเหมือนเห็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายกับเจ้านี่เดินไปทางท่าเทียบเรือด้านโน้นตอนที่นายกลับมาเข้าห้องน้ำที่โรงแรม”
“ผมพึ่งจะนึกออกว่าเคยเห็นชายคนนั้นที่ไหนครับ เขามีชื่อจริงว่า “จาคอร์ป โลมานอสกี้”อดีตหัวหน้าหน่วย เค จี บี(KGB)ผู้ผันตัวเองมาสู่โลกอาชญากร สมัยหนุ่มเคยเป็นนักกีฬายิงปืนโอลิมปิคที่ลือกันว่าเก่งที่สุดในโลก ผมรู้จักเขาดีทีเดียวครับในวงการสไนเปอร์ไม่มีใครที่ไม่รู้จักและไม่เคยได้ฟังตำนานการลอบสังหารของเขา เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของประเทศเราคนหนึ่งเคยถูกเขาเก็บขณะที่โดยสารมากลับขบวนรถไฟที่แล่นอยู่มาแล้วครับ ในทำเนียบนักแม่นปืนเจ้านี่ถูกเรียกว่าตำนานมีชีวิต”
พอเจมส์พูดจบประตูกระจกอีกบานของห้องพักก็แตกเศษกระจกร่วงกราวลงมาเกลื่อนพื้นระเบียง ผู้กองเซอบีรุสหันกลับไปมองด้วยความวิตกและพูดกับเจมส์ด้วยน้ำเสียงเข้มขึง
“นายแน่ใจหรือว่าการตายของเจ้าลุจจิเป็นผลงานของเจ้านี่”
“แน่ใจครับ ผู้กองคิดดูนะครับยิงคนจากเรือยอร์ชที่ลอยคออยู่กลางทะเล โคลงเคลงไปมาตลอดเวลาแถมเป้าหมายยังเคลื่อนที่อยู่บนท้องฟ้าเสียด้วย ฝีมือคนยิงได้ระดับนี้ในโลกมีไม่กี่คนหรอกครับ”
“นายคิดว่าอย่างไร ทำไมมันถึงเล็งเป้ามาที่เรา”
“ผมว่ามันคงใช้กล้องส่องทางไกลมองมาจากบนเรือเพื่อจับตาดูเป้าหมายตลอดเวลาเหมือนกับเรา มันคงเข้าใจผิดคิดว่าเรามีอาชีพเดียวกับพวกมัน เมื่อวานเจ้าลุจจิแค่เรียบเคียงเข้าไปตีสนิทเป้าหมายยังโดนสอยร่วงลงมายังกับนกนางแอ่นปีกหัก เมื่อคืนมันต้องเห็นเราใช้เครื่องดักฟังกับห้องเป้าหมายและกลุ่มของเราขณะนี้จัดว่าอยู่ใกล้เธอที่สุด ซึ่งถ้าผู้ชายคนนั้นโผล่มาหาเจ้าหล่อน เราต้องเป็นคนที่ถึงตัวเขาก่อนใครรวมทั้งมันด้วยจริงไหมครับ”
“แน่นอน”
“ผมคิดว่ามันคงไม่ต้องการให้เงิน 10 ล้านดอลล่าเป็นของคนอื่นหรอกครับ”
“อืม...สมเหตุสมผลดีแต่เราจะเป็นเป้านิ่งให้มันยิงอยู่อย่างนี้จนเลิกไปเองหรืออย่างไร”
“เดี๋ยวผู้กองอยู่ล่อมันที่นี่ก่อน ผมจะกลับเข้าไปเอา พี.เอส.จี.-หนึ่งออกมาเล่นกับมันซักตั้ง”
เจ้าหน้าที่เจมส์ไม่ได้มีสีหน้าที่บ่งบอกถึงความกริ่งเกรงหรือกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขาแสดงออกถึงความรู้สึกตื่นเต้นจากทางสายตาที่ลุกวาวและรอยยิ้มที่มุมปาก เขาคลานต่ำกลับเข้าไปในห้องพักอย่างระมัดระวังตรงเข้าหากระเป๋าหนังใบใหญ่ที่เป็นดั่งคลังแสงของพวกตน เมื่อไปถึงเขาดึงมันให้นอนราบลงกับพื้นเปิดออกและใช้เวลาเพียงแค่ชั่วกะพริบตาหยิบปืนไรเฟิน พี.เอส.จี.-หนึ่ง ออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับคว้าเอาแมกกาซีนสำรองติดมือมาด้วย เสียงแจกันที่อยู่เหนือหัวของเจมส์แตกทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองเพียงวูบเดียว เขาจึงจำต้องนอนราบและใช้ท่อนแขนทั้งสองข้างคืบคลานไปข้างหน้าผ่านเศษกระจกที่หล่นลงมากองอยู่บนพื้น เจมส์ถูกคมของกระจกบาดจนเลือดไหลอาบสองแขนแต่ความกระหายที่จะได้ลองวัดฝีมือกับสไนเปอร์มือหนึ่งของวงการราวกับเด็กที่กำลังจะได้สนุกกับเกมส์คอมพิวเตอร์ทำให้เขามุมานะคืบคลานกลับออกไปหาหัวหน้าทีมได้จนสำเร็จ
เจ้าหน้าที่เจมส์เปลี่ยนท่าลุกขึ้นนั่งและเอาหลังพิงกำแพงระเบียงไว้ เขายัดแมคกะซีนซึ่งบรรจุกระสุนไว้จนเต็มเข้าซองปืนติดตั้งที่เก็บเสียง เปิดศูนย์กล้องและปรับระยะยิงหวังผลจนแน่ใจว่าได้ระดับที่ต้องการแล้วจึงประทับพานท้ายปืนไว้ซอกรักแร้ทันที จัดท่านั่งที่ตนคิดว่าถนัดที่สุดเพื่อรอคอยโอกาสเผชิญหน้ากับมันด้วยความรู้สึกตื่นตัวเต็มที่ เจมส์อัดลมหายใจเข้าปอดจนเต็มเหยียดก่อนจะระบายมันออกช้าๆเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและชั่วพริบตาต่อมาเขาก็หมุนตัวกลับ180องสา ยกปืนขึ้นประทับไหล่พร้อมกับเพ่งสมาธิอย่างสุดความสามารถผ่านเลนส์ขยายของกล้องลงไปยังที่หัวเรือยอร์ชที่มีตราสัญลักษณ์รูปดวงตาอันใหญ่ลำนั้นอย่างตั้งใจ
ภาพเรือยอร์ชสีขาวลำใหญ่ที่ปรากฏอยู่ในกล้องเล็งมีกระจกหน้าต่างด้านข้างเปิดอ้าออกจนมองสำรวจเข้าไปข้างในห้องโถงเรือได้อย่างชัดเจน เจมส์เห็นชายฉกรรจ์ผมสั้นเกรียนสีขาว ร่างสูงใหญ่นอนอยู่บนโต๊ะที่วางชิดติดอยู่กับขอบหน้าต่างบานนั้นกำลังประทับปืนไรเฟินไว้ที่ไหล่และเล็งมันขึ้นมายังห้องนี้อย่างสงบนิ่งไม่ไหวติง
เจ้าหน้าที่เจมส์บอกกับตัวเองว่ามันเป็นระยะยิงที่หวังผลแม่นยำได้ยากยิ่ง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมือปืนฝีมือระดับพระกาฬอย่างมันจึงยิงพลาดเป้าไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่นัดแรกที่มันหมายหัวของผู้กองเซอบีรุสแสดงให้เห็นถึงฝีมือที่ฉกาจฉกรรจ์สมคำล่ำลือของมันแล้ว ถือว่าเป็นโชคดีที่เขาเห็นแสงสะท้อนจากเลนส์กล้องขยายนั้นเข้าเสียก่อนมิเช่นนั้นหัวของผู้กองเซอบีรุสอาจจะระเบิดราวกับลูกมะพร้าวถูกขวานจามไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
เจมส์ตั้งสมาธิเพื่อที่จะเล็งยิงอย่างประณีตที่สุดโดยสังเกตปฏิกิริยาของเจ้าสไนเปอร์ไซคลอปส์ไปด้วยซึ่งน่าจะรู้แล้วว่ามีปืนไรเฟินอีกกระบอกหนึ่งกำลังเล็งกลับไปที่ตนอยู่ด้วยในขณะนี้ แต่ความใจเย็นและไม่แสดงออกถึงอาการสะทกสะท้านใดใดเลยบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นในฝีมือตนเองของมันมากจนน่ากลัว วินาทีที่เจมส์เหนี่ยวไกส่งกระสุนออกจากรังเพลิงแทบเป็นเวลาเดียวกับที่หูของเขาได้ยินเสียงที่เกิดจากการกะเทาะของกำแพงระเบียงซึ่งต่ำจากศีรษะของเขาลงไปแค่เพียง20เซนติเมตรดัง เจมส์สะดุ้งตกใจและอดที่จะเสียวสันหลังวูบไม่ได้เพราะรอยกระสุนบนเรือที่เขาเห็นห่างจากหน้าต่างบานนั้นขึ้นไปตั้ง 50 ซม.มันทำให้เขาตระหนักรู้ถึงฝีมือที่ห่างชั้นกันมากของตนกับสไนเปอร์ซีคลอฟได้ในวินาทีนั้น เขาหมุนตัวกลับเอาหลังผิงกำแพงอีกครั้งด้วยสีหน้าวิตกจนคิ้วขมวด เขาพูดกับผู้กองเซอบีรุสด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักสุดระงับว่า
“ยิงยากมากครับ... เจ้าซีคลอฟมันมือนิ่งยิ่งกว่านักกีฬาเหรียญทองเสียอีก ผมยังเสียเปรียบมันเรื่องทิศทางลมที่พัดเข้าหาฝั่งด้วย กระสุนมันเหินขึ้นข้างบนไปตั้งครึ่งเมตร”
สิ้นเสียงพูดของเจมส์ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงปูนแตกดังเหนือรอยเดิมขึ้นมาอีกราวกับมันต้องการที่จะส่งสัญญาณมรณะมาถึงพวกตน ทำเอาพวกเขาหน้าเริ่มทอดสีพร้อมๆกันอีกครั้ง
“เล่นยิงไต่ระยะขึ้นมาอย่างนี้ขืนโผล่ออกไปมีหวังหัวกระจุยพอดี เอาอย่างไรดีครับผู้กอง”
ผู้กองแห่งหน่วยสงครามพิเศษนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจขณะที่เสียงปูนแตกเหนือรอยเดิมดังขึ้นมาทำลายขวัญอีกครั้งไม่นานเขาจึงกดปุ่มเปิดวิทยุติดตามตัวและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิมว่า
“แมคนายได้ยินฉันไหมช่วยตอบหน่วย”
“ได้ยินครับผู้กองมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ”
“นายยังไม่ต้องถามอะไรเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังทีหลัง ทำตามที่ฉันสั่งเดี่ยวนี้ นายรีบวิ่งออกไปที่ชายหาดข้างนอกโรงแรมและมองไปที่ทะเลสิว่าเห็นเรือยอร์ชสีขาวมีตราสัญลักษณ์รูปดวงตาอันใหญ่ลอยคออยู่ไหม”
เจ้าหน้าที่แมคผละจากกลุ่มเป้าหมายที่กำลังนั่งรับประทานอาหารเช้ากับกาแฟทันที เขาวิ่งออกไปยังชายหาดส่วนตัวของโรงแรมสุดฝีเท้า เมื่อมองออกไปเห็นเรือยอร์ชลำดังกล่าวที่ห่างออกไปไม่มากนักจึงพูดตอบหัวหน้าทีมที่กำลังนัดแนะกับเจ้าหน้าที่เจมส์อยู่ว่า
“เห็นแล้วครับผู้กอง”
“นายเห็นเรือเร็วหรือสกู๊ตเตอร์ให้เช่าอยู่แถวนั้นมั่งไหม”
“มีสกู๊ตเตอร์อยู่ลำหนึ่งกำลังเตรียมตัวจะแล่นออกไปอยู่พอดีเลยครับ”
ผู้กองเซอบีรุสรีบสั่งการให้เจ้าหน้าที่แมคเร่งดำเนินการตามแผนที่ตนวางเอาไว้ทันที เจ้าหน้าที่ผิวหมึกตั้งใจฟังอยู่ไม่นานก็เข้าใจแผนการทั้งหมด เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเจ้าของเรือลำนั้นแข่งกับนาทีชีวิตเพื่อช่วยเพื่อนร่วมทีมของตน
แมคบอกความต้องการของตนพร้อมกับชี้ไปที่เรือยอร์ชลำนั้นโดยหลอกเจ้าของสกู๊ตเตอร์ว่าเศรษฐีเจ้าของเรือต้องการเช่าเหมาสกู๊ตเตอร์ทั้งวันแต่มีข้อแม้ว่าให้เขาขับมันเข้าไปส่งที่เรือลำดังกล่าวเดี๋ยวนี้ แมคพูดพร้อมกับหยิบธนบัตรดอลลาร์ปึกหนึ่งขึ้นมาส่งให้และยังบอกเขาอีกด้วยว่าส่วนที่เหลือให้เขาไปเอากับเจ้าของเรือที่กำลังคอยอยู่เอง เจ้าของสกู๊ตเตอร์เห็นธนบัตรที่อยู่ในมือก็ทำตาลุกวาว รีบรับแบงก์ปึกใหญ่ใส่กระเป๋าคาดเอวของตนทันทีและขับสกู๊ตเตอร์บ่ายหัวแล่นตรงดิ่งไปยังเรือลำนั้นอย่างรวดเร็ว เขาเร่งเครื่องเต็มกำลังราวกับเหาะไปบนลูกคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง เมื่อผู้กองเซอบีรุสได้รับรายงานจากแมคจึงหันหน้ามาบอกเจมส์เพื่อนัดแนะให้เขาเตรียมตัวให้พร้อม ขณะที่สกู๊ตเตอร์ลำนั้นวิ่งตะบึงเข้าหาเรือยอร์ชได้แค่ครึ่งทางก็เป็นเวลาเดียวกับที่เจมส์ประทับพานท้ายปืนขึ้นมาแนบอกและรอฟังสัญญาณจากหัวหน้าทีมอย่างใจจดใจจ่อ วินาทีต่อมาชายเจ้าของเรือสกู๊ตเตอร์ก็สะดุ้งเฮือกขึ้นสุดตัวและฟุบหน้าลงบนคันบังคับโดยที่มือยังกำคันเร่งอยู่อย่างนั้นสกู๊ตเตอร์จึงไม่ยอมหยุดและแล่นเข้าหาเรือยอร์ชด้วยระดับความเร็วที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ตูมฉับพลันที่เสียงระเบิดจากเรือสกู๊ตเตอร์ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน เจ้าหน้าที่เจมส์ก็หันขวับกลับไปเล็งปืนใส่เป้าหมายทันทีราวกับค่อยวินาทีนี้อยู่ก่อนแล้วและแทบจะพร้อมกับสัญญาณเสียงที่ผู้กองเซอบีรุสตะโกน
“ยิง”
เจ้าหน้าที่เจมส์เหนี่ยวไกปืนทันทีสองครั้งซ้อนส่งกระสุนออกจากรังเพลิงไปหาเป้าหมายยังจุดที่ประกายแสงสะท้อนจากเลนส์ปรากฏภาพชัดที่สุด จากภาพที่เขามองผ่านเลนส์กล้องขยายของปืน เขาเห็นเจ้าสไนเปอร์ไซคลอปส์สะดุ้งเฮือกสุดตัวและหงายหลังตกจากโต๊ะที่มันนอนอยู่ลงไปที่พื้นกระดานเรือทันที เพียงชั่วอึดใจต่อมาเรือยอร์ชลำนั้นก็ติดเครื่องยนต์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วและแล่นหนีออกจากจุดที่จอดอยู่เมื่อครู่นี้ทันที
เจ้าหน้าที่เจมส์ลดปืนลงลุกขึ้นยืนและมองตามจนเห็นเรือลำนั้นแล่นหายลับไปแล้ว เขาถอนหายใจเสียงดังเฮือกเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกตึงเครียด เดินนำปืนคู่ใจไปเก็บในกระเป๋าหนังใบเดิมและปิดมันเสียให้เรียบร้อยเพื่ออำพรางจากสายตาของพนักงานทำความสะอาดที่จะต้องขึ้นมาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ส่วนผู้กองเซอบีรุสเมื่อลุกขึ้นจากท่านั้นได้ก็ถอนใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน เขาเดินตามเจมส์กลับเข้ามาภายในห้องพักพร้อมกับสั่งความเจ้าหน้าที่แมคผ่านทางไมล์ว่า
“แมคแจ้งทางโรงแรมด้วยว่าเกิดอุบัติเหตุทำให้ประตูกระจกในห้องของเราแตก เราขอรับผิดชอบต่อค่าเสียหายทั้งหมดเอง แต่ขอให้ทางโรงแรมช่วยปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และบอกเขาด้วยว่าเราไม่ปรารถนาจะย้ายห้องเข้าใจไหม”
“ครับผมผู้กอง”
เจ้าหน้าที่แมคเดินกลับเข้ามาในห้องโถงของโรงแรมสวนทางกับฝูงชนที่กำลังวิ่งออกไปมุงดูเรือสกู๊ตเตอร์ลำที่ระเบิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ กลุ่มเป้าหมายของเขาก็เดินออกไปดูด้วยเช่นกัน เจ้าหน้าที่แมครีบตรงไปยังเคาน์เตอร์บริการเพื่อทำตามที่ผู้กองเซอีรุสสั่งและกลับมานั่งดูกลุ่มเป้าหมายที่โต๊ะของตนตามเดิมจนคณะของมะลิเดินกลับเข้ามาที่ห้องโถงของโรงแรมอีกครั้ง พวกเธอเดินผ่านเขาไปขึ้นลิฟต์เพื่อกลับเข้าห้องพักอย่างสบายใจโดยไม่ได้ระแคะระคายแม้แต่นิดเดียวเลยว่า เหตุการณ์ระทึกขวัญที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้มีสาเหตุมาจากคนในกลุ่มของพวกเธอนั้นเอง แมครีบกุลีกุจอรายงานผู้กองเซอบีรุสให้รู้ตัวก่อนจะลุกขึ้นเดินตามพวกเธอไปที่ลิฟต์เพื่อกลับขึ้นห้องพักของตนเช่นกัน




 

Create Date : 21 มิถุนายน 2554
1 comments
Last Update : 21 มิถุนายน 2554 14:48:53 น.
Counter : 519 Pageviews.

 

แวะมาเยี่ยมค่ะ ทักทายค่ะ

แวะชมบล็อกของน้ำชาได้ค่ะ อย่าลืม Vote ให้ด้วยนะค่ะ

ThaiLand Travel สถานที่ท่องเที่ยว

 

โดย: nonguide 21 มิถุนายน 2554 15:18:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


wayoodeb
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




 
      
Friends' blogs
[Add wayoodeb's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.