Bloggang.com : ลูกอบรสเขียด : House at the End of the Street : บ้านช็อคสุดถนน , ความลับทั้งรั้ว เอาใบบัวมาปิดไม่มิด

House at the End of the Street : บ้านช็อคสุดถนน , ความลับทั้งรั้ว เอาใบบัวมาปิดไม่มิด

House at the End of the Street (2012)

[ไม่เปิดเผยเนื้อเรื่องสำคัญ หรือ ไม่สปอยล์]

Rated PG-13 for intense sequences of violence and terror, thematic elements, language, some teen partying and brief drug material

เป็นหนังเรื่องล่าสุดที่หวังแอบดัง จากกระแสความแรงของนางเอกสาวอย่าง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรน ที่เพิ่งฮิตแตกใน The Hunger Games เพราะที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้ทาง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรน ได้ถ่ายทำเสร็จไปตั้งแต่ปี 2010 แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าหากรูปร่างของเธอจะอ้วนมากกว่าที่เราเห็นในบท แคทนิส ไปก็อย่าว่ากันเน้อ

ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปได้สวย เมื่อ ซาร่าห์ (อลิซาเบธ ชู) ย้ายบ้านเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในขณะเดียวกัน เอลิซ่า (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) ลูกสาวของเธอก็ย้ายโรงเรียนและพบกับเด็กหนุ่มข้างบ้าน ไรอัน (แม๊กซ์ เธียริอ็อต) เขาเป็นคนที่มีจิตใจดีและถูกเข้าใจผิด เอลิซ่า เห็นใจที่เขาไม่มีใครคบ หลังจากเหตุการณ์ที่ แคร์รี่ น้องสาวของเขาเกิดคลุ้มคลั่งฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง แต่เมื่อ ไรอัน และ เอลิซ่า ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น อดีตอันโหดร้ายของเขาก็กลับมา ความจริงที่เขาซ่อนไว้ก็กลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย จนทำให้ เอลิซ่า และ แม่ของเธออย่าง ซาร่าห์ ต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากความลับอันตราย ที่บ้านหลังสุดท้ายถนน

House at the End of the Street กำกับการแสดงโดย มาร์ค ทอนเดอร์ราย ผู้กำกับ โนเนม ที่เรื่องนี้เป็นผลงานหนังใหญ่เรื่องที่ 2 ต่อจาก Hush ในแนว ทริลเลอร์ ฆาตรกรรม เดียวกันที่เคยเข้าฉายไปเมื่อปี 2008 ซึ่งอย่างที่บอกว่าตัวหนังเรื่องนี้ ได้ถ่ายทำเสร็จกันไปตั้งแต่ปี 2010 แต่ก็ดองแล้วดองเล่า จนนางเอกสาวอย่าง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนส์ ได้ดิบได้ดี จึงเพิ่งได้ปล่อยออกมาฉาย เพราะฉะนั้นเราก็มั่นใจได้เลยว่าผู้กำกับคนนี้เขายังไม่ได้ดู The Cabin in the Woods แน่นอน จึงยังคงกล้าทำหนังในแนวนี้ออกมาอยู่อีก เพราะข้อเสียหลักส่วนใหญ่ใน บ้านหลังสุดท้ายในปลายถนน ก็คงหนีไม่พ้นการที่ตัวหนังได้มีธีมเรื่องส่วนใหญ่อยู่กับการที่ให้คนดูมี ความสงสัย ว่าในบ้านหลังนั้นมีความลับอะไร และหลอกล่อคนดูให้หักเหไปในทิศทางอื่น ก่อนที่จะเฉลยด้วยจุดหักมุมที่ไม่ค่อยน่าทึ่ง

โดยถ้าหากในด้านของ ตัวบท , จุดหักมุม และ อารมณ์ความเป็นหนังฆาตรกร ทริลเลอร์ จะดูดีกว่านี้ มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่นำพาเอา House at the End of the Street ให้ไปถึงจุดที่หนังฆาตรกรรมบทซ้ำซากเรื่องนึงจะทำให้มันลุ้นระทึกไปได้ แต่มันกลับไม่ใช่ตามที่ว่าไว้ เพราะเอาเข้าจริงๆดูเหมือนว่าหนังจะสอบตกทุกด้าน จนทำให้ยิ่งเราเข้าไปลึกในตัวหนังมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดูเหมือนกับว่าตัวหนังเรื่องนี้เป็นหนังแผ่นดีๆ ที่มีนักแสดงใหญ่ๆมาเล่นให้เท่านั้นเอง จนทำให้ผมพาลคิดไปถึงหนังแผ่นภาคต่อที่มีไม่สิ้นสุดอย่าง Wrong Turn 3-5 ที่ในด้านของฉากระทึกขวัญ หนังแผ่นเรื่องดังกล่าวกลับทำออกมาได้ดีกว่าเรื่องนี้อีกครับ

ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะการที่หนังพยายามจะมากเรื่องจนเกินไป เพราะตัวหนังก็เต็มไปด้วยเรื่องราวที่แย่งเบียดกันเด่นเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น ปมหลังตัวละครของ ไรอัน , ปัญหาแม่ลูกอย่าง เอลิซ่า และ ซาร่าห์ , ความลับต่างๆในบ้านสุดถนน หรือแม้แต่ ความลึกลับของชาวเมือง ที่กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวหนังเซไปเซมา ไม่ต่างอะไรกับคนดู ที่มีความรู้สึกว่า เราควรจะหลับเสียตอนนี้ หรือว่าจะดูต่อไปให้จบดี จนทำให้ท้ายสุดตัวหนังจึงไปไม่สุดในสักทาง โดยเฉพาะในด้านของ ปูมหลัง ในตัวละครของ ไรอัน ที่น่าจะสามารถลงลึกไปได้กว่านี้ ซึ่งความแย่ของตัวหนังยังไม่หมดเท่านี้ เพราะสิ่งที่แย่ไปกว่าบท และ ตัวละคร ที่ซ้ำซาก นั่นคือการที่ตัวหนังยังมีฉากที่เราเห็นได้ทั่วไปจากหนังสยองขวัญราคาถูกอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการที่ให้ตัวละครนางเอกใส่เสื้อกล้ามสีขาววิ่งไปวิ่งมาด้วย

หรือแม้แต่ฉากการสะดุด หกล้ม ของ นางเอก ตอนที่กำลังวิ่งหนีคนร้าย ที่นอกจากมันจะไม่ทำให้คนดูลุ้นไปกว่าเดิมแล้ว ยังทำให้ผมรู้สึกหัวเราะลั่นโรงกับความกล้าที่ไม่คิดว่าหนังสมัยนี้จะยังมีอีกด้วย โดยสิ่งเดียวที่ดูเหมือนว่าจะเป็นข้อดีที่สุดของหนัง (ที่ไม่ต้องบอกทุกคนก็น่าจะรู้ว่าเป็นอะไร) นั่นคงหนีไม่พ้นนางเอกของเรื่องอย่าง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนส์ ที่ลงทุนยอมมาใส่เสื้อกล้ามสีขาว มาวิ่งตู้มๆ ให้เราได้ดูกันเป็นขวัญตา แถมยังมีฉากการโชว์ร้องเพลง ที่ทำให้คนดูได้รู้แล้วว่า เธอเป็นนักแสดงหญิงคนหนึ่งที่มีความสามารถหลากด้าน ที่ยิ่งจะทำให้หนุ่มๆสาวๆยังคงเชื่อมั่นได้เลยว่า อนาคตของเธอยังสามารถไปได้อีกไกลในวงการ

เพราะฉะนั้นโดยสรุปแล้ว ดูเหมือนว่าสิ่งที่จะทำให้ผมดูหนังจนจบได้คงจะเป็น เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนส์ ที่ออกมาโชว์ตู้มๆและความน่ารักฝีมือในการแสดง เพราะนอกจากนั้นตัวหนังก็เต็มไปด้วย ความซ้ำซาก , น่าเบื่อ และ หลากเรื่องเยอะเกินไป จนทำให้ท้ายสุดตัวหนังเซไปเซมา จนหกล้มและรีบเฉลยปมแบบไร้เหตุผล