โดยส่วนตัวฉันเองไม่ได้คลั่งไคล้characterของdisneyอะไรเป็นพิเศษแต่ก็ไม่ได้รังเกียจเช่นกันก็แปลกใจเหมือนกันเพราะเมื่อหันย้อนมองดูสมบัติของตัวเองแล้วกลับพบว่ามีอะไรอะไรที่ดิสนี๊ย์ดิสนี่ย์อยู่พอสมควรนางเอกของเรื่องที่ฉันจะคุยถึงในวันนี้คือนางสาวมินนี่เม้าส์...นิสัยหนึ่งที่ฉันเพิ่งมามีเมื่อตอนมาอยู่ญี่ปุ่นใหม่ๆคือ การเก็บขยะไม่ใช่เก็บดะ สักแต่ว่าเก็บแต่เก็บสิ่งที่คิดว่าตนเองสามารถนำมาใช้ได้อีกน่ะค่ะหลายคนนักที่อับอายและรู้สึกเสียเกียรติเป็นอย่างมากที่จะเก็บสิ่งที่คนเขาไม่ใช้แล้วที่เรียกว่า"ขยะ"มาใช้ต่อ(ฉันไม่ได้โม้ ...คนไทยด้วยกันนี่แหละโอ้โห เกียรติของคุณช่างสูงส่งนัก ฮี่ฮี่ เชิญยกไว้ให้สูงๆต่อไปนะคะ)มาอยู่ญี่ปุ่นแรกๆนั้นฉันและพี่ชายเก็บจักรยานที่เขาทิ้งๆมาซ่อมและพ่นสีใหม่เพื่อเอามาใช้เป็นจักรยานคู่ชีพซึ่งเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดีมากสำหรับนักเรียนต่างชาติที่จำเป็นต้องใช้ชีวิตในประเทศที่มีค่าครองชีพสูงเช่นนี้(ความจริงแล้วจักรยานเขาจะมีลงทะเบียนไว้หากเป็นจักรยานที่มีคนแจ้งหายไว้เรามีสิทธิ์โดนตำรวจจับ ทั้งๆที่เราเก็บมาเพราะความที่มันเป็น"ขยะ"เพราะฉะนั้นเก็บขยะก็ต้องดูดีๆเช่นกันว่านั่นเป็น"ขยะ"แน่หรือเปล่า55)จักรยานที่พี่ชายช่วยโมให้เท่มั้ยคะ ^^เตาปิ้งขนมปังที่ยังใช้ได้เพียงแต่ว่าเขลอะไปหน่อยชั้นวางหนังสือที่ขอบกร่อน มีรอยถลอกและรอยเลอะซึมของกาแฟทีวีขนาด12นิ้วรูปทรงล้าสมัยแต่ยังดูภาพได้และหลายสิ่งที่ฉันเคยเก็บมาล้าง ปัด ขัด เช็ด และเอามาใช้ต่อที่ทำน้ำแข็งไสแบบสมัยก่อนที่ดูคลาสสิคมากแต่ไม่มีใบมีดแล้วที่ฉันเก็บจากโรงขยะของบริษัทเมื่อ๑๔ปีก่อนตอนนี้ก็วางให้ต้นไม้เลื้อยเกาะเกี่ยวประดับอยู่ที่ระเบียงบ้านหนังสือนิทานสำหรับเด็กเป็นตั้งเบ้อเริ่มที่ฉันเก็บมาจากrecycle roomจนทุกวันนี้ฉันยังใช้เอามาอ่านให้เด็กๆฟังก่อนนอนสำหรับฉันแล้วมันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายและเสียเกียรติอะไรนักก็ในเมื่อเราเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดขยะลดปัญหามลภาวะและสภาพแวดล้อมการนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์อีกครั้งและหลายๆครั้งน่าภูมิใจด้วยซ้ำ..หรือไม่จริง?...แต่ว่าวันเวลาผ่านไปหลังจากเรียนจบและเริ่มทำงานนิสัยเก็บขยะของฉันลดลงมากจนเดี๋ยวนี้เรียกได้ว่า เลิกเก็บถาวรแล้ว(พวกอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือจักรยานนั้นก็เก็บแค่ช่วงที่ยังเป็นนักเรียนน่ะค่ะ)และในระยะหลังๆนี่ฉันพลอยเลิกสะสมของอื่นๆด้วย(อ้าวๆๆ แต่เมื่อสองเดือนที่ผ่านมาเพิ่งเก็บเศษแก้วจากริมหาดมานี่นาไหนว่าเลิก? เอิ๊กๆ)เล่าไว้ที่นี่ค่ะเมื่ออายุเพิ่มขึ้นพบว่าความต้องการสิ่งของนอกกายที่ไม่จำเป็นต่างๆลดลงมากน่ะค่ะไม่ว่าจะของจุกจิก ของสะสม ของประดับอะไรต่างๆและที่สำคัญคือรำคาญกับของที่รกบ้านแม้ว่าจะชอบมากอย่างไรก็ตามเลยตัดภาระทั้งหลายด้วยการเลิกเอาของเข้าบ้านของเดิมๆที่เก็บสะสม ที่พอให้เพื่อนๆที่มีรสนิยมเดียวกันก็ให้ไปที่ยังผูกพันนักหนาก็เก็บไว้ลูบๆคลำๆต่อไปละกัน...คุยมายาวมากไม่ยอมวกเข้าเรื่องมินนี่ซะทีนะคะงั้นเล่าให้ฟังกันเลยคือ มินนี่ตัวนี้ ก็เป็นหนึ่งในขยะที่ฉันเก็บมาจากห้องขยะของแมนชั่นที่อาศัยอยู่วันหนึ่งเมื่อประมาณ๑๐-๑๑ปีก่อนมั้งฉันเอาขยะลงไปทิ้งตามปกติและมินนี่เค้าก็สบตากับฉันอยู่พอดีมินนี่ถูกวางอยู่ในถุงกระดาษเก่าๆปะปนกับของเล่นอื่นๆแม้ว่า จมูกจะแหว่งไปแล้วแม้ว่า จะถูกทิ้งไปแล้ว...แต่มินนี่ก็ยังยิ้มแฉ่งสายตาเว้าวอนอยากให้ใครสักคนช่วยหยิบไปเล่นให้ทีฉันเอื้อมมือไปหยิบลองหมุนลานสองสามแกร็กแล้ววางกับพื้นมินนี่ก็เดินเตาะแตะเตาะแตะได้น่ารักมากไม่มีอะไรเสียเลย นอกจาก เก่า และจมูกแหว่งโธ่ถัง มินนี่...งั้นมาอยู่ที่บ้านด้วยกันก็ละกันนะจากวันนั้นมินนี่ทำหน้าที่เป็นของเล่นเดินเตาะแตะเตาะแตะเพื่อความเพลิดเพลินให้กับอากิและมะลิจนมาถึงวันนี้มินนี่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของฉันเดินเตาะแตะให้ดูบ้างเป็นบางครั้งและกลายเป็นหนึ่งในสมบัติที่ดู"ฟ้นฝน"ของคนบ้าสมบัติอย่างฉันในที่สุด
ฉันเป็นเพียงผู้หญิงหัวโตคนนึง....เป็นเรื่องน่าดีใจสำหรับทุกเช้าที่ตื่นมาพบว่าตัวเองยังมีลมหายใจ