......... พอรอดตายจากการขี่ช้างแรลลี่..โดยไม่ได้เจตนาแล้ว.........อาทิตย์ต่อมาเราก็ได้ทราบข่าวดี...ที่ทำให้พวกเราตื่นเต้นกันสุด ๆ...ซึ่งก็คือ....ท่านมุ้ยทรงบอกพวกเราว่าสมเด็จพระนางเจ้า ฯพระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดกล้อง ภาพยนตร์ เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช....ที่กองถ่ายค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี โดยมีหมายจะเสด็จพระราชดำเนินในราวเดือน ธ.ค. ซึ่งทุกคนตื่นเต้นกันมาก ๆ.........ในที่สุดเราก็จะได้เปิดกล้องหนังกันอย่างเป็นทางการสักที..และ..ที่น่าดีใจอีกเรื่องก็คือ.......ในวันที่เสด็จพระราชดำเนิน จะมีการถ่ายทำฉากเปิดตัวพระนเรศวร กับเหล่าทหารเอกทั้งหมดด้วย ก็คือ ฉากที่พระนเรศวรเสด็จกลับมาเยี่ยมพระมหาธรรมราชา.... ซึ่งตอนนั้นเอง ท่านมุ้ยได้บอกกับเราว่า..เบิร์ด คือ คนที่จะรับบทเป็นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช....และกำลังจะถ่ายทำฉากพระนเรศวรแล้ว............คราวนี้เราทุกคนได้รู้ว่าใครรับบทอะไรกันหมดแล้วก็ยิ่งเริ่มเดินหน้าฝึกกันหนักเข้าไปอีก.....ยิ่งตัวเบิร์ดเองแล้วนั้น ไม่ตั้งห่วงเลยครับ..ยิ่งต้องเตรียมตัวหนักกว่าทุกคน.....ในระหว่างที่เราฝึกซ้อมกันอยู่นั้น...ก็ได้เริ่มทำการถ่ายทำฉากสำคัญอีกฉากหนึ่ง..นั่นก็คือ...ฉากค่ายศรีเทพ.....ก็คือตอนที่พระศรีถมอรัตน์ และ พระชัยบุรี มาปลูกค่าย และ วางแนวปืนใหญ่สกัดทัพของสุระกำมา.............เอาหล่ะ...คราวนี้มาถึงเรื่องของพระศรีพระชัยกันบ้าง....นี่เป็นฉากแรกที่ ผมกับพี่ปราปต์ ได้เข้าฉากถ่ายทำด้วยกัน...แล้วก็เป็นการถ่ายทำที่ยาวนานมาก ๆ ซะด้วย..เนื่องจากว่าฉากนี้เป็นฉากที่ใหญ่..มีทั้งระเบิด ทั้งช้าง ทั้งม้า..มียิงปืนด้วย....นักแสดงประกอบก็เกือบห้าร้อยคน..วันแรกที่ผมเข้าฉากนั้น..ยังไม่มีพี่ปราปต์ครับ มีแค่ผมคนเดียว..เป็นฉากที่พระศรีเดินตรวจ แนวคู่ค่ายเพื่อเตรียมการตั้งรับทัพของสุระกำมา...........เป็นฉากที่ไม่มีบทพูดเลยสักคำ...แต่ว่าถ่ายกันทั้งวันเลยครับ...ซึ่งพระศรีน่ะ..แค่เดินอย่างเดียว..มองโน่นมองนี่ ....คือท่านมุ้ย บอกให้ทำสีหน้าที่ไม่พอใจ การทำงานของไพล่พล..ก็คือ หน้าตาหงุดหงิดอย่างแรงนั่นหล่ะครับ....โธ่...ก็การถ่ายทำภาพยนตร์ครั้งแรกของชีวิตน่ะครับ...มันก็ต้องมีตื่นเต้นกันเป็นธรรมดาใช่มั๊ยครับ...แค่ให้ผมเดินอย่างเดียวน่ะ..วันแรกก็แทบตายอยู่แล้ว...ตัวมันเกร็งไปหมดหล่ะครับ............พอท่านมุ้ยสั่ง เทปเดิน....กล้องเดิน...แอ็คชั่น...ผมก็เหมือนจะหายใจไม่ออกเลยครับ...ต้องเดินคิดไปว่าหงุดหงิด...แล้วก็ต้องคำนึงถึงมาร์ค..ที่จะต้องเดินไปหยุดอยู่ด้วย....เพราะถ้าเดินไปหยุดไม่ตรงมาร์ค...โฟกัสและมุมกล้องก็จะไม่ได้...เฮ่อ.....วันแรกนี้ทำให้ผมรู้สึกเลยว่าการถ่ายหนังไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างที่เราเห็นกันในจอภาพยนตร์หรือในจอทีวีซะแล้ว.............เพราะวันนั้นน่ะ..ผมเดินอยู่ไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว....แล้วก็ซ้อมอยู่นานมาก....กว่าคัทนั้นจะผ่านไปได้......จนผมเกือบต้องจ่ายค่าฟิลม์เอง....เพราะเทคเยอะเหลือเกิน...ฟิลม์หนังมันแพงครับ..ม้วนละประมาณ ๘,๐๐๐ บ.ถ่ายได้แค่ ๓ นาที.....หลังจากท่านให้คัทนั้นผ่าน...ผมก็มานั่งดูเทปคัทที่ถ่ายไปนั้น...ฮ่า ๆ ขอบอกครับ..เห็นตัวเองเหมือนหุ่นยนต์เดินอยู่ในจอเลยครับ..ภาษาชาวบ้านเค้าเรียกว่าแข็งเป็นสากกะเบือนั่นหล่ะครับ..ฮ่า ๆ.........แต่ฉากนี้ท่านก็ให้ผ่านแล้วบอกว่าใช้ได้...ดังนั้นผมก็เลยโล่งใจไป..เพราะว่าตอนเรียนแอคติ้งน่ะครูอ้อเคยสอนว่าต้องเชื่อผู้กำกับ ผู้กำกับให้ทำอย่างไหนก็ทำอย่างนั้น..อย่าเถียงทำตามไปอย่างเดียว..ถ้าผู้กำกับบอกว่าใช้ได้..ก็หมายความว่าใช้ได้...เพราะถ้าใช้ไม่ได้ผู้กำกับเค้าไม่มีทางปล่อยผ่านไปหรอก.....สิ้นสุดการถ่ายทำวันแรกของค่ายศรีเทพด้วยความตื่นเต้นระคนความโล่งอกของพระศรี..............พอวันต่อมา....ผมก็ได้มีโอกาสเข้าฉากพร้อมพี่ปราปต์เป็นครั้งแรก.....ซึ่งเป็นฉากที่ผมกำลังสั่งให้ทหารเอาอุปนิกขิตหงสาที่จับมาได้ ๒ คนนั้น ให้เอาไปตัดหัวแล้วแขวนประจานกับขื่นประตู แล้วพี่ปราปต์ก็เดินเข้ามาแซวว่า..." ให้เอาไปกุดหัว..แล้วแขวนประจานกับขื่อประตู...แล้วมันจะมีสิ่งใดให้แขวนหล่ะครับ..ใต้เท้า..." ...แล้วผมก็หันหน้ามาทำตาเขียวใส่ลุงปราปต์...นั่นหล่ะ...จากนั้นลุงปราปต์ก็เลยชวนผมนั่งเล่นหมากรุกซึ่งก็จะเป็นฉากหมากรุกต่อไปครับ............ซึ่งฉากนี่..มีบทพูดด้วย...เฮ่อ..กรรมของพระศรี..ต้องพูดด้วย..แล้วไอ้ผมน่ะ..เป็นคนที่พูดเร็วมาก ๆ ซึ่งต้องพยายามให้มันช้าลงเพราะไม่งั้นแล้ว..คนดูจะฟังไม่รู้เรื่อง...การแสดงภาพยนตร์หรือละครนั้น..นอกจากจะต้องจำบทพูดแล้ว...ยังต้องรักษาทางท่า..สีหน้า..อารมณ์..ซึ่งจะต้องทำพร้อมกัน.....ในตอนเรียนแอคติ้งนั้นครูอ้อสอนเสมอว่า..การเป็นนักแสดงนั้น..เราจะต้องรู้สึกว่าตัวเราน่ะคือคนที่เราสวมบทบาทจริง ๆ ............เฮ่อ..แล้วในเวลานั้นน่ะ..ผมยังไม่อินกับบทพระศรีเลยครับ....ก็เลยต้องฟังท่านกำกับอย่างเดียว....อารมณ์..ท่าทางแววตา..ทุกอย่างมันยังไม่ได้หรอกครับ..ก็ได้พี่ปราปต์นี่หล่ะที่มานั่งคุยช่วยอธิบายวิธีทำอารมณ์ให้......ซึ่งพี่ปราปต์ถือเป็นพี่เลี้ยงชั้นยอดให้กับผมในตอนที่ผมเริ่มแสดงภาพยนตร์.......เพราะว่าพี่ปราปต์ทำให้ผมได้แง่คิดในด้านการแสดงและมีความเข้าใจทิศทางของการเป็นนักแสดงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น...โดยเฉพาะเมื่อเราอยู่ต่อหน้ากล้องและทีมงานเยอะ ๆ ไหนจะคนมุงดู ไหนจะเสียงดังอีกต่าง ๆ นานา............สมาธิอันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการแสดงภาพยนตร์มันก็พาลจะวิ่งหนีหายไป..เพราะความตื่นเต้นและเสียงต่าง ๆ ที่ดังอยู่แวดล้อม.........โดยพี่ปราปต์สอนผมว่า....เวลาที่เราท่องบทหรือว่าเวลาที่เราจะแสดงฉากอะไรสักฉากน่ะ.....เราจะต้องรู้ว่าฉากนี้เนื้อความหลัก ๆ ต้องทำอะไร..แล้วเราคิดยังงัยอยู่..เวลาที่จะพูดกับตัวละครในฉากนั้น...พร้อม ๆ กับที่ว่าเมื่อเราต้องแสดงท่าทางด้วยแล้วน่ะ..เราจะต้องแสดงจากความรู้สึกข้างใน......เวลาโมโหก็ต้องใส่ความรู้สึกลงไปในการแสดงนั้นด้วย...ซึ่งในการแสดงนั้น..มีหลายวิธี..แต่การที่จะแสดงออก..น้ำหนักของการแสดงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเรา..แต่ถ้าเราทำให้มันออกมาเต็มที่.....ถ้ามากไปผู้กำกับจะสั่งให้ลดเอง..แต่ถ้าน้อยไป...ก็จะบอกให้เราเพิ่ม..ดังนั้น..เราต้องทำให้เต็มที่ก่อน..อย่าไปกังวลเรื่องอื่น............ซึ่ง...ข้อดีอีกประการหนึ่งที่ผมสังเกตุได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์โดยมีหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ทรงเป็นผู้กำกับก็คือ......บทที่ท่านให้นั้น..จะไม่เคยให้ก่อนวันที่จะถ่ายเลย...ทำให้นักแสดงไม่มีเวลาจินตนาการถึงการแสดงล่วงหน้าได้เลย...ดังนั้น...การแสดงของนักแสดงแต่ละคนจะออกมาจากพื้นฐานโดยลักษณะความเป็นจริงของตัวบุคคลนั้นๆ เป็นปฐม.....ซึ่งก็หมายถึง...ให้ความเป็นตัวของตัวเองนักแสดงสูงมาก................อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ ก็คือ การส่งอารมณ์ของบุคคลที่เราเข้าฉากด้วย..ซึ่งผมได้บอกไปแล้วว่าผมโชคดีมาก ๆ ที่ได้เข้าฉากกับพี่ปราปต์ในครั้งแรก ๆ ที่ผมได้มีโอกาสถ่ายทำภาพยนตร์...ถึงแม้ว่าการถ่ายทำภาพยนตร์นั้น...จะมีโอกาสน้อยมากที่จะอยู่ร่วมในเฟรมเดียวคือมองเห็นทั้งสองคนในตอนที่สนทนา...ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นลักษณะที่เวลาตัวละคร ๒ ตัวคุยกัน..แต่ก็จะแบ่งถ่ายกันคนละทีหรือคนละฝั่ง.............ซึ่งเวลาผมพูดผมก็จะพูดกับกล้องไม่ได้พูดกับพี่ปราปต์....ซึ่งมันก็คือการที่เราต้องพูดคนเดียวนั่นเอง......แต่ว่าพี่ปราปต์น่ะ..เวลาที่ผมถ่ายบทพูดกับพี่เค้า...พี่ปราปต์จะคอยมายืนอยู่หลังกล้องเป็น Eye Line ให้ผมมอง...แล้วแกก็ส่งสีหน้าให้ผมรู้สึกว่าผมพูดอยู่กับแกจริง ๆจะยิ้มเยาะบ้างหล่ะ..ยิ้มยั่วบ้างหล่ะ..ทำให้ผมพูดบทได้สะดวกขึ้นโดยที่รู้สึกว่าพูดอยู่กับแกจริง ๆ .....ซึ่งพี่ปราปต์จะทำแบบนี้เสมอเวลาที่ผมต้องเข้าฉากแล้วต้องพูดบท......ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยเหลือกันอย่างมากสำหรับนักแสดงด้วยกัน......ผมจึงค่อย ๆ พัฒนาการแสดงเป็นลำดับโดยมีพี่เลี้ยงชั้นดีที่ชื่อปราปต์ปฏล สุวรรณบาง.............ฟังเรื่องแบบเป็นเรื่องเป็นราวมาเยอะแล้ว..มาฟังเรื่องมันส์ ๆ กันบ้างดีกว่าครับ.....เอาเรื่องเบา ๆ สมองแต่หนักอก กันสักหน่อยดีมั๊ยครับ....ฮ่า ๆ...ที่ว่าเบาสมองแต่หนักอกน่ะ..จะมีเรื่องอะไรซะอีกหล่ะครับ..ก็เรื่อง นมอ่ะครับ...นมซึ่งอันจะมีดาษดื่นในภาพยนตร์เรื่องนี้...ถ้าสังเกตุกันให้ดี.......ต้องเท้าความนิดนึงก่อนครับ..เดี๋ยวผู้อ่านจะคิดว่าผมน่ะลามก...ที่เอาเรื่องนี้มาพูดมันมีมูลเหตุที่มาที่ไปน่ะครับ............ในสมัยก่อนน่ะอโยธยาน่ะ..มีคนอยู่หลายเชื้อชาติ....ทีนี้..บางเชื้อชาติน่ะ..ผู้หญิงเค้าไม่นิยมใส่เสื้อกัน...อย่างดีก็แค่นุ่งผ้าซิ่นแล้วก็มีผ้าคล้องคอหนึ่งผืน...แต่บางคนเดินโทง ๆ เลยก็มีนะครับ.....ที่เห็นในภาพยนตร์น่ะมีเต็มไปหมดหล่ะครับ..เว้นแต่พวกเราดูไม่ทัน....เพราะท่านมุ้ยทรงตัดเร็วมาก..เพื่อไม่ให้ภาพมันออกแนวจงใจเกินไป...แค่ต้องให้บรรยากาศและองค์ประกอบต่าง ๆ มันย้อนไปเหมือนกับสมัยนั้นจริง ๆ เท่านั้น.................พวกเราที่ไปดูหนังน่ะ..เห็นนมแค่ลาง ๆ แว๊บ ๆ แต่ผมน่ะ..นั่งอยู่กับนมทุกวันเกือบเดือน...ก็ฉากที่นั่งเล่นหมากรุกกับพี่ปราปต์ยังงัยหล่ะครับ....นางสนมของพระศรีน่ะ..แต่งตัวเรียบร้อยเชียว..แต่นางสนมของพระชัยน่ะ......ผ้าอะไรก็ไม่คาด...มีผ้าผืนเล็ก ๆ คล้องคออยู่ผืนเดียว....ซึ่งไม่แน่ใจว่าพวกเราสังเกตุทันกันรึเปล่า............ตอนที่เราถ่ายหนังกันน่ะ..ผมก็นั่งหันหน้าหาพี่ปราปต์ซึ่งตรงข้ามกับน้องที่มาเข้าฉากทั้งสองคน.......เชื่อมั๊ยครับ..ตลอดหนึ่งเดือนที่ถ่ายฉากเล่นหมากรุก..ผมไม่กล้าวาดสายตาไปหาน้องทั้งสองคนที่นั่งข้างพี่ปราปต์เลย.......แล้วก็กว่าจะรวบรวมสมาธิพูดบทออกไปได้แต่ละคำน่ะ..เฮ่อ.....เล่นเอาเหนื่อยเชียวหล่ะครับเพราะต้องคิดตลอดเวลาว่า อย่าไปมอง ๆ...แต่เบื้องหลังการถ่ายทำฉากนี้น่ะ..น้องที่เค้ามาเข้าฉากเป็นนางสนมของพี่ปราปต์น่ะ..เค้าไม่ได้เปิดหน้าอกแบบนั้นตลอดหรอกนะครับ...เวลาที่เรายังไม่ถ่ายก็เอาผ้ามาคลุมไว้...พอตอนจะสั่งกล้องเดินถึงจะมีทีมงานมาเอาออก....ซึ่งตอนนั้นน่ะ..สมาธิและสายตาของผมน่ะ..ก็จะต้องจับจ้องที่พี่ปราปต์หรือไม่ก็กระดานหมากรุกอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว...ไม่มีโอกาสสักนิดแม้จะชายหางตาไปมอง..เพราะกล้องจับอยู่ที่หน้าถ้าเหลือบตาหล่ะผู้กำกับและทีมงานที่หน้ามอนิเตอร์...จะเห็นทันที.............ดังนั้นผมจึงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าผมไม่เห็นเลยจริง ๆ ทั้งที่มันอยู่ตรงนั้นหล่ะครับ..ท่านผู้ชม....ห่างไปแค่ไม่ถึงวานึงเท่านั้น....พี่ปราปต์เองก็เหมือนจะรู้ว่าผมเองเกร็งกับการถ่ายทำฉากนี้อยู่พอสมควร..ก็พยายามที่จะช่วยให้ผมทำสมาธิได้ง่ายขึ้น...ด้วยการใช้เข่าข้างซ้ายของแก...มาบังน้องคนที่นั่งทางซ้ายมือของแกไว้.....เพื่อไม่ให้มีอะไรมารบกวนสมาธิผม.....ซึ่งในตอนหลังจะเป็นเพราะความหวังดีหรือว่าจะเป็นพระความอิจฉาก็ไม่ทราบได้...ฮ่า ๆที่ตัวเองนอกจากจะปิดตาขึ้งนึงแล้ว..ยังต้องมานั่งหันหน้าหาผมอีก..ซึ่งไม่มีทางเลย.....ที่พี่ปราปต์จะมองเห็นน้องนางสนมที่นั่งข้าง ๆ การถ่ายทำในฉากหมากรุกนี่............ทำให้ผมเห็นถึงสปิริตของนักแสดงประกอบที่มาเข้าฉาก..และความทรงพระปรีชาในการถ่ายทำภาพยนตร์ของท่านมุ้ย....เพราะว่าท่านทรงกำกับให้นักแสดงทุกคนรวมกระทั่งผมด้วย...ได้เข้าใจถึงฉากนี้อย่างเป็นภาพยนตร์ โดยที่ทุกคนไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่ต้องนั่งอยู่ต่อหน้าสุภาพสตรีที่ปราศจากอาภรณ์ปกปิดของสงวนส่วนบนของร่างกาย... และน้อง ๒ คนนั้นก็เป็นมืออาชีพมาก ๆ....อีกทั้งภาพที่ปรากฎในภาพยนตร์ก็ออกมาก็ไม่น่าเกลียดหรือชวนให้คิดไปในทางที่ไม่ดีเลยแม้แต่น้อย............ซึ่งท่านมุ้ยทรงอธิบายให้นักแสดงเข้าใจถึงเนื้อหาและความสำคัญของฉากที่จะถ่ายทำและทรงเลือกใช้มุมกล้องได้ดีมาก ๆ ครับคือดูแล้วไม่น่าเกลียดเลย....พอถ่ายฉากนั้นผ่านไปได้.....เราก็มีเรื่องล้อเรื่องแซวกันไปอีกพักใหญ่ ๆ เกี่ยวกับฉากนี้...โดยเฉพาะ ตาเบิร์ด...ลุงเตอร์..และพี่ต๊อด......ที่ในฉากหมากรุกนี้ดูจะเป็นห่วงเป็นใยผมกับพี่ปราปต์อยู่เสมอ ๆ ก็มาเฝ้าผมกับพี่ปราปต์ถ่ายกันทุกวัน......มาคิดได้ตอนหลังว่า.....อื่ม..แกเป็นห่วงเราจริง ๆ หรือว่ามาดูอะไรกันแน่....ฮ่า ๆ...แซวเล่นน่ะครับ......ทั้ง ๓ คนน่ะ..ไม่มีท่าหรอกครับ..เรื่องสาว ๆ น่ะ..เค้ายอมพระศรีกันหมดหล่ะครับ....ถ้าพระศรีล้อไม่หมุนหล่ะก็พวกนั้นก็พวกล้อตายกันหมดหล่ะครับ.............จบเรื่อง นม ๆ แล้วครับ....ขียนมากไปเดี๋ยวมันจะออกไปแนวอื่นเล่าให้ฟังสนุก ๆ ครับ....ไม่ได้คิดจะลบหลู่นักแสดงท่านใดเลย..อย่าคิดมากกันนะครับ....วันนี้เอาแค่นี้ก่อนนะครับ..ได้เวลากินข้าวกินยาแล้ว......เดี๋ยวมาต่อกันกับค่ายศรีเทพอีกครับ..ฉากนี้ถ่ายทำนานก็มีเรื่องเล่าเยอะหน่อยครับ....
จะติดตามต่อไปคร้าบบ