|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
บทสัมภาษณ์คอลัมน์หอมกลิ่นสาบกวี : "เจริญขวัญ..กวีเขียนกวีด้วยสีใด"
บทสัมภาษณ์ "เจริญขวัญ" ..กวีเขียนกวีด้วยสีใด คอลัมน์ "หอมกลิ่นสาบกวี"
เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 เมษายน 2554
โดย ไพวรินทร์ ขาวงาม
............................
.
. "เจริญขวัญ" เป็นนามหนึ่งของเจริญขวัญ แพรกทอง ด้วยเธอใช้หลายนาม
ในการเขียนหนังสือ ทั้งสารคดี บทความ ความเรียง คอลัมน์ โดยเฉพาะสิ่ง
หนึ่งที่เธอรักคือบทกวี
.
.
ในบล็อคโอเคเนชั่น บทกวีของเธอเคลื่อนไหวต่อเนื่อง มีชีวิตชีวา เป็นพื้นที่
เผยแพร่บทกวี เป็นพื้นที่บทกวีที่เต็มไปด้วยแสงเสียงและสีสัน นอกจากอ่าน
ตัวบทกวี เรายังจะได้ฟังเพลงไพเราะระดับโลกและภาพเขียนของปวงจิตรกร
โลก ในขณะเดียวกันในพื้นที่เฟสบุ๊ค เธอก็เคลื่อนไหวอยู่เสมอใน
นาม "เจริญขวัญ บลาฮาสกี้"
.
.
ในวิถีแสวงหานานาจริงฝัน สักยี่สิบปีผ่าน คนรักชอบทางเดียวกัน ย่อมเคย
พบผ่านทางกัน แม้ผมไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็มักมีเหตุให้ ไปป้วน
เปี้ยนตามมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยเฉพาะธรรมศาสตร์ ทำให้ได้รู้จักนักศึกษา
ที่เขียนกลอนดีๆ หลายคน อาทิ โกศล อนุสิม วัน ณ จันทร์ธาร และเจริญ
ขวัญ แพรกทอง
.
.
คบหาเป็นเพื่อนพี่น้องกันยาวนาน บางทีก็ร่วมกองบรรณาธิการหนังสือฉบับ
เดียวกัน บางคราวก็ร่วมกินดื่มฟังดนตรีในทิศทางเดียวกัน ส่วนหนึ่งพวกเรา
หลายคนเกิดเดือนเดียวกัน เกิดการรวมกลุ่มคนเดือนกุมภาพันธ์ อยู่บ่อย
ครั้ง จนกระทั่ง ห่างร้างกันไปตามจังหวะชะตาการดำเนินชีวิต
.
.
บางคนเงียบหายเหมือนจงใจเก็บตัว ขณะบางคนไม่น่าเชื่อ เราพบกันคุ้นเคย
เช่นเดิมอีกครั้งผ่านโลกไซเบอร์
.
.
สำหรับ "เจริญขวัญ" อยู่ๆ เธอก็ปรากฏนามในพื้นที่เวลา และแวดล้อม
บุคคล ณ สหรัฐอเมริกา บาง "คลิก" ของเราจึงสื่อสารเหมือนนั่งกินดื่มกันใน
ผับเพื่อชีวิตย่านอนุสาวรีย์ชัยยุคกระโน้น
.
.
ผมชอบบทกวีของเธอ ทั้งรูปกลอน ถ้อยกลอน และอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด
ในบทกลอนของเธอ เมื่อปีที่แล้ว สำนักหัวใจเดียวกันของชุมศักดิ์ นรารัตน
วงศ์ รวมบทกวีของเธอในชุด "นาฏกรรมแห่งการเฝ้ามอง"และบางห้วงเวลา
ผมมักคิดถึง "กวีเขียนกวีด้วยสีใด" ของ "เจริญขวัญ"
.
.
"บทกวีชิ้นนั้นเขียนขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2552 ช่วงที่สถานการณ์ในเมือง
ไทยปั่นป่วนไปด้วยกีฬาสีแห่งชาติ ซึ่งในแวดวงกวีเองก็มีการแบ่งข้างแบ่งสี
กันอย่างชัดเจน สำหรับตัวเองซึ่งอาศัยอยู่อเมริกาแล้วมองกลับมาที่แผ่นดิน
เกิดแล้วรู้สึกปวดร้าวใจมากที่เห็นปรากฏการณ์ทางสังคมแบบนี้ กับการได้
เห็นกวีหลายคนแสดงตัวตนประหนึ่งว่าการเป็นกวีคือ ความผยองจนอัตตา
เบ่งบานเสียจนมองไม่เห็นหัวมนุษย์คนอื่น เลยอยากเขียนเพื่อบอกโลกว่า
กวีก็คือ สามัญชนคนธรรมดาเท่านั้นเอง เพียงแต่อาจจะมีสายตาที่เก็บราย
ละเอียดได้ถี่กว่าคนทั่วไปนิดหนึ่งหรืออารมณ์ไหวง่ายกว่าคนส่วนใหญ่ก็เท่า
นั้นเอง ไม่ได้วิเศษเลิศฟ้ามาจากสวรรค์ชั้นไหน เพราะส่วนตัวแล้วคิดแบบนี้
มาตลอดว่า การเป็นกวีไม่ได้ทำให้ความเป็นคนของใครสูงกว่าใครและการ
เป็นกวีก็ไม่ได้สูงส่งไปกว่าคนที่ทำอาชีพอื่น"
.
.
คนชอบบทกวีหรือได้วิชานี้ติดตัวติดหัวใจ ถึงอย่างไรก็ยังคงหาหนทางหล่อ
เลี้ยงมันอยู่ บทกวีสำหรับบางคนไม่จำเป็นว่า จะต้องได้รางวัลหรือชื่อเสียง
หากมันคือเครื่องมือหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ
.
.
"เหตุจูงใจให้เขียนบทกวีอยู่ ณ ปัจจุบันดีกว่าค่ะ จะบอกว่า ตลอดมานี่คงไม่
จริงเท่าไหร่ เพราะขี้เกียจสันหลังยาวมาก แถมทำงานไม่ต่อเนื่องเลย เหตุที่
ยังเขียนบทกวีอยู่ก็เพราะความคันล้วนๆ คือ เวลาไปเจอเหตุการณ์หรือเรื่อง
อะไรกระทบใจมา มันคัน จะต้องเขียนออกมาเดี๋ยวนั้น ถ้าไม่เขียนแล้ว มัน
จะคัน มันจะชักดิ้นชักงอลงแดง เลยต้องหาทางระบายออกเป็นตัวหนังสือ
สมัยอยู่เมืองไทย คว้าได้อะไรก็เขียนลงบนนั้น ถุงกล้วยแขกก็เคยเขียนมา
แล้ว แรงจูงใจหลักก็คงเป็นความรักกวีนิพนธ์นั่นแหละค่ะ ถึงตอนนี้ จะหันมา
ทำธุรกิจเป็นหลักแล้วก็ตาม แต่ก็รู้สึกว่า เราจะต้องมีอะไรบางอย่างมาหล่อ
เลี้ยง ภายในให้รู้สึกว่า ตัวเองดมดอกไม้แล้วยังรู้สึกหอมหวานในจิต
วิญญาณอยู่ หรือยังสะเทือนใจเมื่อเห็นโศกนาฏกรรมแห่งโลกใบนี้"
.
.
กวีเมื่อมี "ความคัน" ย่อมอยากขีดเขียน ย่อมปรารถนาอยากขับขาน และ
บทกวีย่อมเป็นหนึ่งเดียวกับกวี
"มีคำถามหนึ่งที่ถามกันมาเนิ่นนานว่า จำเป็นไหมที่งานเขียนและตัวตนของ
นักเขียนจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยส่วนตัวแล้ว งานเขียนและชีวิตทั้งหมด
คือหนึ่งเดียว เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น สิ่งที่เขียนออกมาทั้งหมดก็คือ ความ
จอมปลอม ซึ่งก็เหมือนกับว่านักเขียนคนนั้นยืนอยู่บนฐานง่อนแง่นของความ
ลวง ต่อให้งานเขียนมีคุณค่าแค่ไหนก็เป็นได้แค่การตบแต่งถ้อยความให้ดูดี
แต่หาประโยชน์อะไรไม่ได้ หากนักเขียนคนใดภาคภูมิใจกับฐานแห่งความ
เปล่ากลวงแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย "
.
.
ชีวิตคนเราพลิกผันได้ตลอดเวลา ชีวิตวันนี้ของแต่ละคนอาจจะไม่อยู่ในคาด
ฝันของวันนั้นๆ แต่แน่นอน..บางความฝัน บางความรัก บางเสียงเรียก บาง
สัญชาตญาณ จะยังอยู่กับเรา เช่นคนที่มีหัวใจกวี ยังครุ่นคิดถึงบทกวี แม้
เจริญขวัญจะอยู่ไกลถึงอเมริกา แต่ผมก็ยังคงได้ยินเสียงหัวใจดวงเดิมของ
เธอ .
.
"เคยคุยกับอาจารย์เทพศิริ สุขโสภา สมัยที่ตัวเองยังทำงานเป็นประชา
สัมพันธ์ที่มูลนิธิเด็ก อาจารย์ย้ำนักหนาว่า อย่าดูถูกคนอ่าน เพราะคนอ่าน
ไม่ใช่สิ่งที่เราจะดูถูกกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นกวี หรือนัก
เขียน ยิ่งไม่ควรดูถูกคนอ่านโดยประมาทว่าคนอ่านนั้นโง่กว่าตน ตรงจุดนี้
แหละค่ะ ที่จำขึ้นใจมาจนทุกวันนี้ แต่นอกจาก อย่าดูถูกคนอ่าน ตามที่
อาจารย์สอนไว้แล้ว นักเขียนทุกคนพึงสังวรว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้อง
ขอบคุณคนอ่านทุกคน ความเป็นกวีมิได้สอนให้ทำตัวสูงส่งเหนือกว่าผู้ใด
หากแต่กวีทุกคนสมควรยิ่งค้อมกายต่ำราวหลิวลู่ลมเพื่อแสดงคารวะต่อนัก
อ่าน ดังที่คาลิล ยิบรานกล่าวว่า
อย่าทำตนพิเศษและอย่าแบ่งแยกเลย
ดวงใจกวีและหางแมงป่องชูสง่า
จากผืนดินเดียวกัน"
-1-
กวีเขียนกวีด้วยสีขาว
แต่งในความรวดร้าวจะได้ไฉน
โลกวิบัติปัจจุบันล้วนจัญไร
จะหาถ้อยงามใดมาพร่ายพรม . .
กวีเขียนกวีด้วยสีดำ
ระบายโลกโศกร่ำกระหน่ำถม
ดอกไม้ไม่สะพรั่งใจกลางตม
ฤาว่าโลกจ่อมจมแต่ตรมตาย . .
กวีเขียนกวีด้วยสีเทา
หวังให้งามในความเท่าแห่งเงาฉาย
ระยะห่างระหว่างเส้นความเป็นตาย
แก้เงื่อนงำสำคัญหมายในมืดมิด
.
.
กวีเขียนกวี-สีแห่งโลก
งามสุขโศกเรื่องราวเคล้าถูกผิด
คลี่คลายบรรยายความตามห้วงคิด
ถ่ายทอดถอดชีวิตเขียนจิตใจ
.
.
กวีเขียนกวี-สีความงาม
แต่งแต้มแย้มนิยามความสดใส
ปลูกวิถีแห่งสติ-ผลิดอกไม้
ท่องทุ่งทาง ณ กลางใจ-ในกลางตา
.
.
กวีเขียนกวี-สีแห่งฝัน
วาดวงจันทร์อย่างบรรจงลงตรงหน้า
ถ้กร้อยถ้อยคำร่ำจินตนา
ตะวันเข้มเต็มนัยน์ตา-คะนึงคิด
.
.
กวีจะเขียนกวีด้วยสีใด
ทบถ้วนกระบวนใจให้นิ่งสนิท
ด้วยภาระเช่นนี้แห่งชีวิต
หาได้มีอภิสิทธิ์ชนิดใด !
.
-2-
เพียงนักเล่าเรื่องราวที่เหงาเปลี่ยว
ถ้กทอเสี้ยวอักษรอย่างอ่อนไหว
เล็มขอบรุ้งแห่งทุ่งฟ้ามาปรุงใจ
เพียงหนึ่งเงาไม้ไหวในสายลม
.
.
สั่นไหวไปตามทำนองโลก
อยู่เพื่อร่ายบทโศลกอันโศกขม
มองดวงตาในกระจกสะทกตรม
พลันดิ่งจมเงาชีวิตสีซีดจาง .
.
กวี
เป็นเพียงหนึ่งผงธุลีแห่งโลกกว้าง
เราต่างมาและจากไปในหนทาง
ล้วนเรียนรู้เพื่อลาร้างระหว่างชะตา
.
.
กวีเขียนกวีด้วยสีใด
ระบายโลกด้วยหัวใจปรารถนา
คือคนหนึ่งซึ่งจรผ่านกาลเวลา
สุขทุกข์ไปในโลกหล้าอย่างสามัญ
.
.
ตีพิมพ์ครั้งแรก : รวมบทกวีนาฏกรรมแห่งการเฝ้ามอง
สนพ หัวใจเดียวกัน 2010
Create Date : 15 เมษายน 2554 |
|
4 comments |
Last Update : 15 เมษายน 2554 5:12:51 น. |
Counter : 1700 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Tristy 15 เมษายน 2554 1:32:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: ดา ดา 19 พฤษภาคม 2554 1:20:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: Tristy 2 กรกฎาคม 2554 9:12:54 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Indiana United States
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
**งานเขียนทุกชิ้นที่ปรากฏในเวบไซต์นี้ เป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบทประพันธ์นั้นๆ แต่เพียงผู้เดียว ห้ามกระทำการดัดแปลง แก้ไข หรือแอบอ้างไปเป็นผลงานของตน โดยไม่มีการอ้างถึงเจ้าของลิขสิทธิ์ หากผู้ใดมีความประสงค์ จะนำข้อมูลดังกล่าวออกเผยแพร่ ตีพิมพ์ หรือนำไปใช้เพื่อประโยชน์อื่นใด โปรดติดต่อเจ้าของบทประพันธ์โดยตรง**
สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่และอ้างอิง ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของข้อความ ในสื่อคอมพิวเตอร์แห่งนี้เพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
"เจริญขวัญ" (kala_mydog)
|
|
|
|
|
|
|
ปล. ภาพประกอบคลาสสิคมากกกก 55+