วันหยุดยาวในช่วงสงกรานต์ใคร ๆ ก็ไปเที่ยวกันทั้งนั้น อากาศช่วงสงกรานต์ร้อนมากอยู่แล้ว พอเกิดสถานการณ์บ้านเมืองทำให้ยิ่งร้อนมากขึ้นอีก หนีไปหาอากาศหนาว ๆ เย็น ๆ ดูใบไม้ผลิ ดอกไม้บาน ให้เพลิดเพลินเจริญตา
ตอนแรกเลือกอยู่ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลี เนื่องด้วยช่วงเทศกาลวันหยุดแบบนี้ ราคาทัวร์ญี่ปุ่นจึงสูง แถมค่าเงินเยนยังแข็งอีกด้วย ทำให้เวลาช้อปปิ้งต้องคิดแล้วคิดอีกกลัวว่าราคาจะไม่ต่างกับเมืองไทย จึงตัดสินใจเลือกเกาหลี
นัดพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา 23.00 น. ของวันอังคารที่ 14 เม.ย. พวกเราไปถึงสนามบินตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลานัด ในสนามบินสุวรรณภูมิมีการจัดให้สรงน้ำพระ ตกแต่งด้วยภาพให้เข้ากับประเพณีสงกรานต์อีกด้วย
ทริปนี้มีทั้งหมด 27 คน ไกด์ไทย 1 คน รวม 28 คน มีเด็กเพียง 2 คนนี้เท่านั้นเอง (จับปู 2 ตัวใส่กระด้ง) สนุกสนานกันแน่ละ...คราวนี้
เครื่องเริ่มบินเอา 02.05 ของวันใหม่ เล่นเอาปู 2 ตัวทั้งเพลีย และง่วง ก็วิ่งวุ่นทั่วสนามบินยังกับสนามเด็กเล่นกันเลย พอขึ้นเครื่องได้ก็หลับกันนิ่งเลย สาวสวยบนเครื่องเสิร์ฟอาหารเช้าก็ไม่ยอมตื่นมากินกันเลย
กัปตันขับเครื่องบินนิ่มมาก ตอนที่เครื่องกำลังลงจอดนี่แทบไม่รู้สึกเลย รู้สึกอีกครั้งก็ถึงพื้นเรียบร้อยแล้ว ต้องปลุกเด็ก ๆ แล้วซิเนี่ย พอลืมตาตื่นขึ้นมามองออกทางหน้าต่างเห็นเครื่องบินลำอื่นก็ตาโตกันเชียว ทำอย่างกับไม่เคยเห็นอย่างนั้นแหละ....
พอลงจากเครื่องบิน ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว ระหว่างรอรถบัสในบริเวณผู้โดยสารขาเข้า (เกาหลี) อุณหภูมิที่สัมผัสได้ก็คงจะสัก 15 องศาละมั้ง อากาศเย็นน่าดูเลยนะ พอออกไปสัมผัสกับอากาศด้านนอก รู้สึกหนาววูบทันที เตรียมกระเป๋าขึ้นรถบัสฝนก็ลงเม็ดเล็ก ๆ ปรอย ๆ ทำให้อากาศยิ่งเย็นขึ้นไปอีก โอ๊ย...หนาวมากจ้า
เลือกที่นั่งบนรถกันเรียบร้อย จากนั้นไกด์ไทยก็แนะนำไกด์ท้องถิ่นของทริปนี้ คุณเธอชื่อว่า "ปีเตอร์" เป็นคนไทย อยู่เกาหลีมาหลายปีแล้ว เธอบอกว่าพูดไม่ค่อยเก่ง แต่ก็พูดไม่ได้หยุดเลยนะ เอ๊ะ...ยังไงกันแน่
จากนั้นเธอก็จะแนะนำเกี่ยวกับข้อมูลเบี้ยงต้นของประเทศเกาหลี สถานที่ที่จะไปเที่ยวในแต่ละวัน
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ฉันด์ใด..ฉันด์นั้น เริ่มต้นด้วยสถานที่แรกที่จะแวะ ร้านอาหาร...
จำชื่อภาษาเกาหลีไม่ได้แล้ว ดูหน้าตาก็คล้ายกับสุกี้นะ ในหม้อ...ด้านล่างสุดจะเป็นปลาหมึกกับหมู โรยทับด้วยผัก แล้วทับด้วยเส้นใสคล้ายวุ้นเส้น แต่ใหญ่กว่าอีกชั้น เสริฟพร้อมกับข้าวสวย สาหร่ายคลุกน้ำมันงา ขาดไม่ได้เลย...กิมจินั่นเอง
อิ่มหนำสำราญแล้ว เตรียมตัวเดินทางกันต่อ มุ่งหน้าสู่เมือง Suwon "ป้อมฮวาซอง" นั่งรถเกือบ 2 ชั่วโมง เมื่อหนังท้องตึง..หนังตาก็หย่อน พอขึ้นรถได้ก็เคลียร์พื้นที่หลับกันเลยทีเดียว
ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงปลุกจากไกด์ "ปีเตอร์" เกริ่นนำประวัติความเป็นมาของป้อมฮวาซอง สร้างขึ้นโดยกษัตริย์องค์ที่ 22 แห่งราชวงศ์โชซอน นามว่า JEONGJO เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ.1794 - กันยายน ค.ศ.1796 เนื่องจากต้องการย้ายสุสานของพระบิดา JANGHEON จากภูเขาเบบองในเมืองยางจู มาไว้ที่ภูเขาฮวา เมืองซูวอน และสถาปนาวัดยองจูซาซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงไว้เป็นที่สวดทำพิธีให้กับวิญญาณของพระบิดา ย้ายที่ทำหารของทางการและบ้านเรือนของประชาชนมาอยู่บริเวณตอนล่างของเมืองซูวอน พร้อมทั้งสร้างพระราชวังขึ้นที่ซูวอน เพื่อเป็นที่พักผ่อนเมื่อเวลาเสด็จมาทำพิธี ซึ่งพระราชวังแห่งนี้ได้ใช้เป็นฉากในการถ่ายทำละครสุดฮิต "แดจังกึม" และ THE KING AND THE CLOWN
ป้อมฮวาซองและกำแพงเมืองมีความยาวมากกว่า 5 กิโลเมตร ประกอบด้วยเชิงเทินถึง 48 เชิง แต่มีการบูรณะเพียง 41 เชิงเท่านั้น
พอถึงที่ป้อมฮวาซอง ฝนก็เริ่มลงเม็ดหนักขึ้น ไหนจะลม ไหนจะฝน อากาศก็เย็นเป็นทุนอยู่แล้ว เลยเดินก้าวขาไม่ออก แถมไม่มีร่มติดไปด้วย กลัวเด็ก ๆ จะไม่สบาย เดินไปถึงแค่ซุปเปอร์เล็ก ๆ ก็แวะพักอยู่ในนั้นเลย อุ่นดีแถมไม่ต้องเปียกฝนอีกด้วย
ระหว่างที่เดินเลือกของอยู่ในซุปเปอร์ มีเด็กเกาหลีเมียงมองแล้วก็ทำท่าทางแปลก ๆ พอเห็นเด็ก ๆ (เฟิร์สกับเอิง) แล้วแอบถ่ายรูปด้วยกล้องจากมือถือด้วย มาทราบทีหลังว่าเด็กเกาหลีชอบที่เห็นเฟิร์สกับเอิงตากลมโต ก็เลยขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อย...
ฝนยังตกอยู่เรื่อย ๆ ตกไม่หนก แต่ไม่ยอมหยุดตกสักที ต้องวิ่งพร้อมกับอุ้มเด็ก ๆ รีบไปขึ้นบนรถ เปียกกันนิดหน่อย พอขึ้นบนรถ เคลียร์พื้นที่เรียบร้อย ก็เตรียมตัวหลับกันได้เลย จุดหมายต่อไป....ยังอีกยาวนัก
จุดหมายปลายทางต่อไปก็คือ "วัดว๊าวจงซา" หรือที่ทัวร์ไทยจะเรียกว่า "วัดพุทธวาโว"
วัดที่มีอายุเพียง 35 ปี ก่อตั้งขึ้นในปี 1970 โดยสังฆราชแฮเยอุน (Patriarch Haegeun) แต่ได้รับความนิยมเลื่อมใสจากชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก มีพระพุทธรูปครึ่งองค์ขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่หลังสระน้ำขนาดย่อม บริเวณรอบ ๆ สระมีพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ วางเรียงรายอยู่ บนเนินเขาจะเห็นพระพุทธรูปปางต่าง ๆ รวมไปถึงพระนอนขนาดใหญ่แกะสลักจากไม้และนำมาจากอินเดีย
เดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จะผ่านกำแพงซึ่งมีภาพวาดพุทธประวัติ ตั้งแต่ประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพพาน ด้านบนสุดของวัดก่อสร้างเป็นโดมมียอดเป็นเสมาธรรมจักร ภายในมีพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกขกิริยาทำจากหยกขาวประดิษฐานอยู่
หากเห็นโคมไฟสีสันหลากหลายแบบนี้แขวนอยู่ แสดงว่าบริเวณนั้นมีวัดหรือสถานที่เกี่ยวกับศาสนาตั้งอยู่
เดินทางกันจนเหนื่อยแล้วได้เวลาอาหารมื้อค่ำ ได้แก่..."ซัมเคทัง" หรือ "ไก่ตุ๋นโสมตำรับชาววัง"
โดยคัดสรรไก่ที่มีอายุ 45 วัน ล้างเครื่องในออก และยัดไส้ด้วยข้าวเหนียว, เม็ดพุทราแห้ง, รากโสมเกาหลี, เก๋ากี้ บรรจุในชามหม้อดินเดือด เสริฟพร้อมเส้นอุด้งขาว เพื่อเพิ่มรสชาติควรใส่เส้นอุด้งลงในไปชามขณะน้ำซุปไก่กำลังเดือด ปรุงรสด้วยพริกไทยและเกลือป่นของเกาหลี พร้อมกับ Ginseng Wine (เหล้าไวน์รสโสม)
มีเครื่องเคียงเป็นกิมจิ 2 ชนิด ประเทศเกาหลีมีกิมจิทั้งหมด 140 ชนิด แต่มีเพียงไม่กี่ชนิดที่คนไทยกินได้
ทานอาหารกันเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาพักผ่อนกันแล้ว โรงแรมที่พักในคืนแรก... Lotte World Hotel
Lotte World นี้เป็นคอมเพล็กซ์ที่รวมความบันเทิงต่าง ๆ ทั้ง ล็อตเต้เวิลด์ (ธีมปาร์ก) เมจิกไอส์แลนด์ ช้อปปิ้งมอลล์ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน สระว่ายน้ำ ลานสเก็ต สปอร์ตเซ็นเตอร์ โรงแรม และห้างสรรพสินค้า Lotte World เปิดตลอดปี พร้อมต้อนรับทุกคนด้วยเครื่องเล่นสุดตื่นเต้น มัลติมีเดีย การแสดงมากมาย ร้านอาหารนานาชาติ และอื่น ๆ อีกมากมาย
เสียดายที่พวกเราไปถึงกันดึกไปนิด แหล่งรวมความบันเทิงอื่น ๆ เลยปิดกันเรียบร้อยแล้ว
ชั้น 7 และ 8 เป็น Character Floor จะมีตุ๊กตาตัวใหญ่ 2 ตัวบนโซฟา ตกแต่งทั้งชั้นด้วยลวดลายการ์ตูน กระทั่งในห้องพักยังมีตุ๊กตาตัวใหญ่ 2 ตัวอีกด้วย เสียดาย...ที่พวกเราไม่ได้พัก 2 ชั้นนี้
ห้องที่เลือกเป็นแบบเตียงคู่ พวกเราก็เลยต้องไปพักกันที่ชั้น 10
บรรยากาศรอบ ๆ โรงแรมในตอนเช้าวันใหม่
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อรับประทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางสถานที่ต่อไป "Sangsoo Herbland"
ภายในมีพื้นที่ทั้งหมด 197,700 sq yard ประกอบด้วยสมุนไพรที่คัดเลือกและดูแลอย่างพิถีพิถันกว่า 550 ชนิด จากสมุนไพรกว่า 3,500 ชนิดที่เป็นที่รู้จักและมีประโยชน์ต่อร่างกายที่ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีภัตตาคารสมุนไพร บริการอาหารหลากชนิดอันมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ด้วยเครื่องปรุงที่มีสมุนไพรเป็นหลัก และผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร อาทิเช่น น้ำพริกสมุนไพร, ครีมบำรุงผิว, สบู่, ยามสระผม, น้ำหอม, เทียน, เครื่องสำอาง, น้ำมันบำรุงผิว และยังมีสินค้าอื่นๆ เช่น ผ้าเช็ดตัว, เครื่องแต่งกาย ฯลฯ ให้ท่านได้ เลือกซื้อกลับไปเป็นของฝาก
ต้นไม้รูปร่างหน้าตาแปลก มีกลิ่นแปลกด้วย
เดินชมสมุนไพรจนเมื่อยและเหนื่อย ก็ได้เวลาอาหารมื้อกลางวันอีกแล้ว เมนูที่นำเสนอคือ "Catbap of Love (Flower Rice)" หรือ "ข้าวดอกไม้แห่งความรัก" ตั้งชื่อซะหวานเชียว หน้าตาจะเป็นอย่างไรกันนะ...
วิธีการทานข้าวนี้ก็ค่อนข้างจะมีหลายขั้นตอนหน่อย เริ่มจากตักดอกไม้ออกมาแช่ในน้ำซุปเย็นใส เทข้าวสวยลงไป ตักซอสสีแดงราดตามความพอใจ โรยด้วยหมูฉีก, สาหร่าย และน้ำมันงานิดหน่อยให้มีกลิ่นหอม จากนั้นก็เคล้า ๆ ให้เข้ากัน ตักดอกไม้ออกมาเรียงให้สวยงาม แล้วก็ใส่ปากได้เลย....
หน้าตาออกมาสวยงาม ขั้นตอนการกินยุ่งยากไปนิด ส่วนเรื่องรสชาดก็....ต้องไปชิมเองก็แล้วกัน
จากนั้นพวกเราก็เดินทางสู่ Everland สวนสนุกกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลี
เอเวอร์แลนด์นี้บริหารงานโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลี คือ บริษัท Samsung (ซัมซอง) หรือคนไทยเรียกว่า ซัมซุง นั่นเอง
สวนสนุกแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา แบ่งเป็นหลายโซน โลกของสัตว์ป่าซาฟารี จะพบกับดาวเด่น "ไลเกอร์" ฝาแฝดลูกผสมที่เกิดจากสิงโตผู้เป็นพ่อและเสือผู้เป็นแม่ นับเป็นแฝดผสมเสือ-สิงโตคู่แรกในโลก
ขบวนพาเหรดตัวการ์ตูนน่ารัก ๆ เด็ก ๆ ชอบกันใหญ่ต้องแวะดูก่อน
พาเหรดเรียบร้อยแล้วก็เป็นช่วงเวลาให้ถ่ายรูปกับตัวการ์ตูน
ดอกทิวลิปหลากสีสัน ชูช่อสวยงาม
ช่วงค่ำพบกับขบวนพาเหรด Moon Light Parade ที่ประดับประดาด้วยไฟสีสันสดใส การจุดดอกไม้ไฟสวยงาม และการแสดง Laser Show
ระหว่างนั่งรอให้ค่ำเพื่อดูขบวนพาเหรด มีซากุระต้นใหญ่ดอกกำลังบานสะพรั่ง กลีบปลิวไสวสวยงามมาก
หลังจากจบขบวนพาเหรดแล้ว แวะรับประทานอาหารมื้อค่ำ (หรือเรียกว่ามื้อดึกก็ได้เลย) แล้วเข้าพักใน Lake Hills Hotel
ตื่นตอนเช้าเปิดกระจกมาเห็นทะเลหมอกสวยมากเลย
หนีร้อนo(‧""‧)oไปหาอากาศหนาว (^人^) ที่เกาหลี :*´¨`*: ภาคจบขอบคุณ กรอบน่ารัก จากคุณ
KungGuenter
รักษาสุขภาพด้วยค่า