***การอ่านหนังสือ คือ การเปิดโลกทัศน์ให้กับตัวเอง*** Open Your Mind by Reading***
Group Blog
 
<<
เมษายน 2557
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
1 เมษายน 2557
 
All Blogs
 
ญาติ...พี่น้อง

สัปดาห์ที่แล้ว เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ฉันได้มีโอกาสเจอหน้าญาติพี่น้องทางพ่ออีกครั้ง ในงานศพของหนูเก๋ (ตัวละครในนิยายเรื่องแรกของฉัน) ลูกสาวของพี่ชายคนสุดท้องของแม่ใหญ่ เธอจากไปง่ายโดยไม่ทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดเลย เพราะล้มลงกับพื้นแล้วสิ้นลมหายใจไปในทันที

ฉันเคยเลี่ยงงานที่เจอบรรดาญาติ ๆ มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ครั้งที่หลานสาวคนโต (ลูกสาวของพี่ชายคนโตคนละแม่กับฉัน) ซึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่ทางภาคอีสาน มาจัดงานแต่งงานให้ลูกชายของเธอที่โรงแรมในกรุงเทพฯ โดยมีชื่ออดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ปรากฏในการ์ดเชิญว่าเป็นเจ้าภาพงานนี้ ฉันนึกภาพว่ามันต้องอลังการงานสร้างแน่ ฉันไม่ได้ออกงานมานานหลายสิบปี ไม่ชอบไปงานสังคมแบบนี้ด้วย แม้จะเคยทำงานร้องเพลงมาก่อน และไปร้องในงานแต่งงานบ่อยครั้งก็ตาม

ฉันมานึกได้เอาตอนที่อายุล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัยนี่เองว่า ฉันเสียสมดุลของชีวิตและจิตใจมาโดยตลอด นับตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จนกระทั่งเกิดมาลืมตาดูโลก เส้นทางชีวิตฉันจึงไม่เคยราบเรียบหรือเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น มันเอียงไปในทางจริงจังกับทุกอย่างจนเครียด เมื่อโกรธหรือรู้สึกแย่กับใคร ฉันก็ไม่อาจปั้นหน้ายิ้มแย้มหรือโอภาปราศรัยกับใครได้เหมือนเดิม หรือเมื่อใดที่รู้สึกว่าตัวเองทำให้คนอื่นลำบากยุ่งยากใจ ฉันก็จะหลบลี้หนีหายออกไปจากชีวิตเขาเสีย (ด้วยความละอายหรือไม่ก็อยากทำให้เขาสบายใจว่าฉันจะไม่โผล่มาให้เขาเกิดความรู้สึกแย่อีก) ไม่เว้นแม้แต่พี่น้องท้องเดียวกัน อาจเพราะเหตุนี้ ฉันจึงรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่คนเดียวในโลกมาโดยตลอด

งานนี้ก็เช่นกัน ถ้าน้องสาวฉันไม่เน้นว่า พี่ชายถามหา ฉันก็คงไม่ไป เว้นแต่จะรู้จากปากเจ้าภาพโดยตรง เพราะพี่โทร.ไปแจ้งข่าวกับเธอ ฉันไม่ได้ติดต่อหรือไปหาพี่หลายปีแล้ว หลังจากรู้สึกว่า พี่ไม่ชอบขี้หน้าฉัน พี่รู้สึกยุ่งยากใจเมื่อเจอหน้าฉัน พี่ชอบน้องชายของฉันมากกว่า เพราะเป็นข้าราชการเหมือนกัน และฐานะเป็นปึกแผ่นมั่นคงมากกว่าฉัน เรื่องของน้องชายคนนี้ ฉันก็เอามาเขียนเรื่องสั้นส่งประกวดในโครงการใหญ่ของสำนักพิมพ์ใหญ่แห่งหนึ่งและได้รางวัลชมเชยมาแล้ว เช่นเดียวกับเรื่องราวครอบครัวของพี่ชาย ที่ฉันเอามาเขียนเป็นนิยายเมื่อหลายปีก่อน และมีสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งกรุณานำไปพิมพ์จำหน่าย

อาจเพราะฉันไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนมานานมาก เลยออกรู้สึกประหม่าเมื่อเจอหน้าญาติ ๆ พวกเขาดูยังไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่เลย ขณะที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองแก่ขึ้นมาก ทุกคนทำให้ฉันมองเห็นคุณค่าในตัวเองและไม่โดดเดี่ยวเหมือนที่เคยรู้สึกมาโดยตลอด เออนะ ! ฉันคิดว่าฉันไม่มีญาติ เพราะแม้แต่พี่น้องท้องเดียวกันยังมีปัญหาจนเหมือนอยู่กันคนละโลก แต่ญาติทางพ่อที่พบกันวันนี้ ทำให้ความคิดฉันต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง ทุกคนยังนับญาติกับฉัน ทั้งที่ฉันมองตัวเองต่ำต้อยติดดิน เป็นคนขี้แพ้ ตัดสินใจพลาดไปเสียทุกเรื่อง จนไม่อยากไปเจอหน้าผู้คนในสังคม โดยเฉพาะบรรดาลูก ๆ ของพี่ชายคนละแม่ที่มีศักดิ์เป็นหลานฉัน บางคนอายุมากกว่าฉัน ก็ยังเรียกฉันว่า “อาโกว” (น้องสาวของพ่อ) ญาติทุกคนที่ฉันพบปะล้วนประสบความสำเร็จในชีวิต มีครอบครัวอบอุ่น และมีต้นทุนทางสังคมค่อนข้างสูง ซึ่งต่างจากฉันโดยสิ้นเชิง

ฉันได้พบลูกสาวของอาโกวด้วย และเธอก็จำฉันได้ว่า เมื่อตอนที่ฉันยังเด็ก พ่อเคยพาฉันกับน้องชายคนรองไปเยี่ยมครอบครัวของเธอที่กรุงเทพฯ แม่เธอเป็นน้องสาวของพ่อฉัน ฉันจำเธอไม่ได้เลย อาจเพราะตอนนั้นยังเด็กเกินไป เธอเป็นรุ่นพี่ฉันหลายปี ครั้นเธอเตือนความจำ ฉันจึงระลึกได้ว่า บ้านเธออยู่ที่วัดดอน ยานนาวา ฉันเพิ่งเรียนอยู่ชั้นประถมต้น จำได้ว่า ขาไปกรุงเทพฯ พ่อพาฉันกับน้องไป แต่ขากลับ พ่อทิ้งน้องไว้ที่กรุงเทพฯ นั่นเอง แล้วไม่นานก็ไปรับกลับมา ฉันเห็นรูปน้องถ่ายกับอาโกวหน้าอาคารเรียนในโรงเรียนจีน เนื่องจากอาโกวเป็นครูสอนภาษาจีน น้องใส่ชุดนักเรียนเรียบร้อยทีเดียว

ฉันมารู้ทีหลังว่า ทีแรกอาโกวจะรับน้องเป็นบุตรบุญธรรม เพราะไม่มีลูกชาย แต่น้องซนจนอาโกวรับมือไม่ไหว เลยต้องส่งกลับ การกลับมาอยู่กับครอบครัวเดิมที่บ้านเกิด ทำให้ชะตาชีวิตของน้องเหมือนคนอาภัพ ลำบากลำบนมาตั้งแต่เด็ก กลายเป็นคนคิดมาก จนสุดท้ายเป็นจิตเภทให้ฉันต้องดูแลอยู่ร่วมยี่สิบปี จึงจากไปด้วยอัตวินิบาตกรรม ฉันร้องไห้อยู่หลายวัน แม้จะรู้สึกโล่งใจอยู่ลึก ๆ เมื่อคิดว่าเขาไม่ต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานใจอีกต่อไป และภาระฉันก็ลดน้อยลง นึกย้อนไปแล้ว ฉันผ่านช่วงเลวร้ายนั้นมาได้อย่างไรหนอ เพราะฉันไม่ได้ดูแลเขาเพียงคนเดียว มันทำให้ฉันกลายเป็นคนเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว บัดนี้ ฉันปลงกับชีวิตได้มากแล้ว มันคงเป็นไปตามวัยเหมือนคนอื่น ๆ นั่นแหละ

ลูกสาวอาโกวถามฉันว่าตอนนี้ทำอะไร อยู่ที่ไหน ฉันบอกเธอไปตามตรงว่าไม่ได้ทำงานประจำแล้ว และพอเธอรู้ว่าฉันอยู่สมุทรปราการ เธอก็ชวนฉันติดรถกลับบ้านด้วย เพราะเธออยู่แถวแบริ่ง อะไรบางอย่างทำให้ฉันปฏิเสธไป ทั้งที่ใจอยากคุยกับเธออีก เราได้คุยกันเพียงสองสามคำ เพราะเธอมาถึงงานตอนกำลังฌาปนกิจพอดี และฉันกำลังเตรียมตัวกลับ ญาติพี่น้องที่ไม่ได้เจอกันนานต่างทักทายกันให้วุ่นไปหมด

ระหว่างที่นั่งรถน้องชายกลับบ้านพร้อมน้องสาวและหลานอีกสองคน ฉันอดน้ำตาไหลไม่ได้ เมื่อรู้สึกตัวว่า ไม่อาจทะลายกำแพงบางอย่างที่กั้นฉันกับบรรดาญาติเหล่านั้นได้สำเร็จ ปมในใจของฉันมันแน่นหนาเกินกว่าจะแกะออกได้ง่าย ๆ อย่าว่าแต่ญาติ ๆ เลย แม้น้องชายน้องสาวฉันเอง ที่เพิ่งคุยกันวันนี้ หลังจากไม่ได้คุยกันมาหลายปี ฉันยังไม่รู้สึกสนิทใจเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต ฉันคงเคยชินกับความรู้สึกโดดเดี่ยวแล้วกระมัง โดดเดี่ยวทั้งที่ไม่ได้อยู่คนเดียวเหมือนเมื่อก่อน

จะว่าไปแล้ว ความโดดเดี่ยวเป็นธรรมชาติของมนุษย์นี่นา แม้จะมีทฤษฎีว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน มีวัฒนธรรมประเพณีร่วมกัน นั่นคือความรู้สึกที่เป็นนามธรรม แต่รูปธรรมคือ สุดท้าย เมื่อถึงคราวหมดลมหายใจ มนุษย์ก็ต้องจากไปเพียงลำพัง เช่นเดียวกับตอนกำเนิดมาจากท้องแม่เช่นกันมิใช่หรือ





Create Date : 01 เมษายน 2557
Last Update : 1 เมษายน 2557 19:30:09 น. 0 comments
Counter : 630 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wanalee
Location :
ระยอง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




คนธรรมดาที่กำลังพยายามละกิเลส เพื่อลดความอยากและไม่อยากให้มากที่สุด (ยากนะ แต่จะพยายาม)
New Comments
Friends' blogs
[Add wanalee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.