วัยรุ่นหนุ่มสาวภายใต้การนำของมิล่าถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม กลุ่มแรกทำหน้าที่หาไม้แห้งมาทำฟืน สมาชิกส่วนใหญ่จึงเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างกำยำแข็งแรง มีสาวๆ บ้างแต่ก็เป็นสาวน้อยร่างใหญ่พอที่จะทำงานแบกหามได้ กลุ่มที่สองทำหน้าที่หาเปลือกไม้ สมาชิกเป็นเด็กโตที่รู้จักเส้นทางในป่าและรู้จักต้นไม้ชนิดต่างๆ ที่จะนำมาทำสีย้อมผ้า กลุ่มที่สามหาไม้ไผ่มาทำราวสำหรับตากผ้า ส่วนกลุ่มสุดท้ายทำหน้าที่จัดหาอาหารสำหรับมื้อกลางวันและมื้อเย็น แต่ละคนที่อยู่กลุ่มนี้แค่เห็นรูปร่างก็รู้ได้เลยว่าทำไมเลือกที่จะเป็นฝ่ายจัดหาเสบียงกลุ่มสุดท้ายนี่ ... อวบระยะสุดท้ายกันทั้งนั้น มิล่ากระซิบบอกมีร์ แต่ดูเหมือนคนในบริเวณนั้นจะได้ยินกันหมดโอ๊ย คุณพี่มิล่าขา คุณพี่สวยมาก ผอมมาก หุ่นดีมากนะคะ ใครคนหนึ่งในหมู่แม่ครัวรุ่นเยาว์โวยวาย หุ่นตุ้ยนุ้ยกับแก้มยุ้ยตาหยีขัดกับเสียงเล็กๆ ราวกับมาจากคนละคนของมันแน่อยู่แล้ว ... ใช่ไหมคะพี่มีร์ มิล่าตอบอย่างมั่นใจแล้วหันไปพยักพเยิดกับ คนหล่อ ซึ่งได้แต่ยืนยิ้มแหยๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธรีบไปกันดีกว่ามั้ยคะพี่มิล่า จะได้มีเวลาทำงานมากๆ อย่าลืมว่าเราต้องกลับมามัดลายผ้าและย้อมสีผ้าให้เสร็จอีกนะ พวกหาฟืนเค้าไปโน่นกันแล้ว หนึ่งในทีมหาเปลือกไม้โพล่งออกมาเมื่อเห็นท่าทางมิล่าจะโปรยยิ้มหวานให้หนุ่มน้อยหน้ามนมากจนเกินเหตุ มิล่าหันไปมองก็พบว่ากลุ่มหาฟืนเดินนำไปแล้วตายแล้ว ไม่ได้ๆ เดี๋ยวงานช้าเพราะกลุ่มเราจะเสียชื่อมิล่าหลานสาวคนสวยของนายบ้าน เรารีบไปกันเถอะค่ะนายน้อย พี่มีร์มานี่เร็วค่ะ ตามมิล่ามาเร้ว..ว..ว..มิล่านำกลุ่มเดินลัดถนนเข้าไปในเขตหุบเขา ทั้งมีร์และศวัสธรซึ่งเลือกเข้ากลุ่มนี้เพราะอยากรู้เรื่องการเลือกไม้มาทำสีย้อมผ้าต่างก็เดินตามไปเงียบๆ เสียงหนุ่มสาวเดินคุยกันเบาๆ ถึงสิ่งที่ตัวเองจะทำให้พ่อแม่ทำให้ศวัสธรสนใจฟังเป็นพิเศษทั้งหมดเดินกันไปเรื่อยๆ ไปตามทางรกชัฏ กิ่งไม้และหญ้าป่าที่ขึ้นสูงเป็นอุปสรรคในการเดิน แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้ยากลำบากมากนัก หนุ่มน้อยสองคนที่เดินแซงมิล่าขึ้นไปเพื่อทำหน้าที่กรุยทางใช้มีดลักษณะคล้ายกริชคมกริบฟันกิ่งไม้และใบหญ้าที่รกเรื้อพอเป็นช่องทางให้เดินได้สะดวก ศวัสธรและมีร์เดินถัดจากมิล่าตามด้วยวัยรุ่นชายหญิงอีกสามสี่คนระหว่างทางมิล่าก็ชี้ชวนให้ดูต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา อธิบายว่าคือต้นอะไร ใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง มีพืชหลายชนิดที่มีสรรพคุณทางยา ซึ่งมีร์และศวัสธรเองก็ไม่ทราบมาก่อน ทั้งสองจึงฟังอย่างตั้งใจมากเมื่อทั้งหมดเดินมาถึงทางแยก มิล่าให้กลุ่มชายหนุ่มที่เดินนำหน้าแยกไปทางซ้ายซึ่งเป็นทางขึ้นเขา กลุ่มที่ตามหลังมามีสาวๆ มากหน่อยเดินตรงไปด้านหน้าซึ่งน่าจะเป็นทางที่เดินสบายที่สุด ส่วนตนเองนำทางศวัสธรและมีร์ลงเขาไปด้านล่าง ไม่เหนื่อยในการที่ต้องต้านแรงโน้มถ่วงของโลกแต่ลำบากตรงที่จะต้องทรงตัวให้ดี ไม่เช่นนั้นก็อาจจะลื่นไถลลงไปด้านล่างได้แว้กกกกกกเสียงร้องของมีร์ดังไปทั่วป่า เมื่อเจ้าตัวเล็กก้าวพลาดเพียงนิดเดียวหากยังผลให้ลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า ร่างเล็กยังไม่ทันลื่นไถลลงไปตามทาง ดีที่ศวัสธรคว้าข้อมือไว้ได้ทันกำลังจะบอกพี่มีร์อยู่เชียวค่ะว่าให้ระวังเพราะพื้นดินแห้งแบบนี้มันค่อนข้างลื่นขอบใจนะมิล่า ดีที่ไม่บอกซะตอนพี่ลงไปอยู่ข้างล่างโน่น มีร์แกล้งกัดเบาๆ แบบไม่ได้โกรธเคืองอะไร มิล่าหัวเราะแหะๆ ทำตาเล็กตาน้อยโถ พี่มีร์ มาๆๆ เดี๋ยวมิล่าปัดกางเกงให้ไม่ต้องๆ พี่ปัดเองได้มีร์ร้องลั่นรีบจัดการกับกางเกงที่เปื้อนฝุ่นของตนเอง ศวัสธรส่ายพระพักตร์เมื่อเห็นสองคนวุ่นวายกันไม่เลิก รัชทายาทแห่งปุระตาราดำเนินลงไปตามแง่งหินเพื่อให้ฉลองพระบาทสามารถยึดพื้นไว้ได้ โดยมีเด็กคลุกฝุ่นไต่ตามลงไปติดๆ ส่วนมิล่านั้นแทบไม่ต้องเป็นห่วง แม้เด็กสาวจะมีรูปร่างอวบท้วมหากการทรงตัวกลับดีเยี่ยม ไต่ตามลงไปอย่างคล่องแคล่วว่องไวด้วยความเคยชินกับพื้นที่เพียงครู่เดียวเมื่อลงไปถึงพื้นด้านล่าง ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่จำนวนมากขึ้นอยู่ในระยะห่างกันพอประมาณ มิล่าสอดส่ายสายตาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเดินตรงไปยังไม้ยืนต้นขนาดความสูงราวห้าเมตรซึ่งอยู่ข้างทาง ไม้ต้นนั้นมีกิ่งก้านไม่มากนัก ใบเป็นรูปรีคล้ายรูปไข่ปลายออกแหลมๆ มนๆ เฮ้ มิล่าทำอะไรน่ะ ไปถากต้นไม้แบบนั้นมันมิตายหรอกหรือ มีร์ร้องถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นสาวน้อยมิล่าใช้มีดคมกริบฟันฉับๆ ลงบนเปลือกไม้ เราต้องการเปลือกไม้ เอาไปใช้เป็นสีย้อมผ้าไงคะอ้าว เหรอ ... ทีแรกนึกว่าเก็บจากที่มันแห้งตายแล้วซะอีกมีร์ออกอาการเขินที่ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มออกไป มิล่าส่งยิ้มหวานให้ สดๆ นี่แหละค่ะ สีสดและติดทนนานนี่มันต้นอะไรหรือ คนอยากรู้ยิงคำถาม ลิ้นฟ้าค่ะ มิล่าตอบ แล้วอธิบายต่อ เป็นพืชสารพัดประโยชน์ เมล็ดใช้ทำยาแก้ไอ ยาระบาย ส่วนเปลือกก็ใช้ผสมกับสุราเป็นยาทาแก้ปวด ฟกช้ำ นอกเหนือจากที่เราจะเอาไปย้อมผ้าให้เป็นสีเขียวมีร์ชะโงกหน้าไปดูเปลือกไม้ที่ตกลงบนผ้าใบผืนใหญ่ที่มิล่าปูเอาไว้ที่โคนต้นก็พบว่าเปลือกไม้ที่ชื่อว่าลิ้นฟ้านั้น มีเนื้อในสีเหลืองอมเขียว ดูสว่างสดใส ลองเอานิ้วแตะดูก็มีสีเหลืองติดมือมาด้วยเอ้า ซนได้อีกนะเจ้าศวัสธรซึ่งประทับอยู่ใกล้ๆ ซัดผัวะเข้าให้ที่หลังมือ มีร์รีบชักมือกลับ หน้างอหงิก จับแค่นี้ก็ไม่ได้นี่ไม่ใช่ของเล่น ยื่นมือไปอย่างนั้นหากพลาดพลั้งมีดเหวี่ยงมาโดนเข้าจะเป็นอย่างไร เจ้าชายเอ็ด แต่พอทอดพระเนตรนัยน์ตาซุกซนแสนจะเอาเรื่องของอีกฝ่ายก็ทรงดำริบางอย่างขึ้นในฉับพลัน เอาล่ะ ไหนๆ ก็มือเปื้อนแล้ว จะลองทำดูบ้างไหมล่ะเด็กคลุกฝุ่นฉีกยิ้ม ด้วยเห็นเป็นเรื่องน่าสนุก รีบพยักหน้าหงึกๆ จนคนเอ่ยคำอนุญาตต้องกลับมาใคร่ครวญในใจ ... คิดผิดหรือคิดถูกกันแน่ ...มิล่า ขอยืมมีดของเจ้าให้มีร์หน่อยสิ เด็กสาวยิ้มให้ก่อนจะยื่นมีดส่งให้ มือเล็กบางที่ดูเหมือนจะไม่เคยผ่านงานหนัก จับด้ามมีดเงื้อจนสุดเอื้อมยังผลให้ศวัสธรรีบคว้าข้อมือเล็กๆ นั้นไว้ ใครใช้ให้เจ้าเงื้อซะสูงขนาดนั้น แค่ระดับนี้ก็พอ ว่าแล้วก็ทรงโอบไหล่จากด้านหลัง สองพระหัตถ์กระชับสองมือเรียว แล้วช่วยกำกับว่าควรยกสูงขึ้นเพียงไม่เกินไหล่ จากนั้นฟันฉับลงบนเปลือกไม้ เพียงพลิกข้อมือก็สามารถงัดให้เปลือกไม้หนาฉีกออกจากลำต้น ฟันอีกสองสามครั้งเปลือกไม้ส่วนนั้นก็หล่นลงผ้าใบที่รองรับอยู่กับบนพื้นไออุ่นจากร่างกายที่ทาบอยู่ด้านหลังทำให้มีร์ต้องกลั้นหายใจ นึกภาวนาให้ใจของตัวเองไม่สั่นเพราะหวั่นไหว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ยังคงจับข้อมือเตรียมจะฟันเปลือกไม้ต่อไปอีกนี่ท่าน สอนแค่นี้ก็ทำเป็นแล้ว มีร์กลั้นใจบอกออกไป ยังผลให้ข้อมือถูกคลายออกโดยพลันงั้นก็ทำต่อไป เราจะลองไปหาเปลือกไม้จากต้นอื่นๆ ทางด้านโน้น ศวัสธรรับสั่ง แล้วก็ดูให้ดีๆ ล่ะ ฟันลงไปพอประมาณ เมื่อเจอเนื้อไม้ขาวๆ ก็ให้หยุด เข้าใจหรือไม่มีร์พยักหน้าตอบ! ศวัสธรตรัสเสียงดัง จนอีกฝ่ายตอบกลับแทบจะทันควันรับทราบครับอีกอย่าง ... ลอกเปลือกแต่ละต้นแค่พอประมาณ ไม่ต้องเอาออกมาทั้งหมด เดี๋ยวต้นไม้จะตายซะก่อนครับ!! มีร์รับคำเสียงดังกว่าเดิมคนตัวโตเดินจากไปแล้ว คนตัวเล็กยังคงสนุกกับการฟันเปลือกไม้ จนได้ปริมาณพอสมควรจึงก้มลงไปเก็บเปลือกไม้ใส่ถุงที่เตรียมไว้ พี่มีร์คะ มิล่าร้องเรียก พร้อมยื่นกระบอกไม้ใส่น้ำเต็มเปี่ยมมาตรงหน้า เอาน้ำนี่ราดลงไปบนดิน แล้วเอาขี้เลนป้ายตรงที่เราฟันเปลือกไม้ ป้ายให้ทั่วเลยนะคะทำไปทำไมหรือมิล่ารักษาเนื้อไม้ค่ะ เป็นความเชื่อที่คนโบราณทำกันมา เหมือนเราเป็นแผลก็ทายาใช่ไหม นี่เราไปฟันเขาจนเป็นแผลก็ต้องทายาให้มีร์อมยิ้มกับความเชื่อของชาวบ้าน ไม่ว่าในความเป็นจริงวิธีการนี้จะมีส่วนช่วยให้ต้นไม้หายเจ็บหายป่วยหรือไม่ แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาจากความคิดและการกระทำของคนเหล่านี้คือความอ่อนโยน มีเมตตา และกตัญญูรู้คุณ ====================================================================วัยรุ่นหนุ่มสาวที่ไปหาไม้ไผ่ ฟืน และเปลือกไม้ทยอยกันกลับมาที่ลานกลางบ้าน กลุ่มเด็กหนุ่มช่วยกันจัดการกับก้อนหินใหญ่ซึ่งนำมาตั้งเป็นสามเส้า แล้วนำฟืนที่หามาได้ก่อเป็นกองไฟ ถังขนาดใหญ่บรรจุน้ำสะอาดถูกยกมาตั้งบนเตาสามเส้า ระหว่างรอให้น้ำเดือดหนุ่มสาวก็ช่วยกันสับเปลือกไม้ที่ได้มาให้ละเอียด มีร์สังเกตเปลือกไม้ที่กลุ่มอื่นหามามีสีออกแดงเข้มบ้าง สีส้มจัดคล้ายหมากสุกบ้าง มิล่าเห็นอาการสนใจของคนรูปหล่อจึงอธิบายให้ฟังว่า เปลือกไม้แต่ละชนิดให้สีต่างกันอย่างไร นอกจากสีสันที่เราสามารถกำหนดได้จากเปลือกไม้ที่เลือกใช้ เรื่องลวดลายของผ้าเราก็จะกำหนดกันเองค่ะ ที่มิล่าไม่แบ่งให้มีกลุ่มคนมัดลายผ้าก็เพราะแต่ละคนต่างก็ต้องการที่จะคิดลายของตัวเอง เดี๋ยวระหว่างที่เราต้มเปลือกไม้ซึ่งต้องทิ้งเอาไว้จนเดือดจัดเพื่อให้สีออกมามากที่สุด เราก็จะมีเวลาที่จะมัดลายผ้าค่ะ ผ้าแต่ละผืนจะมีลายไม่เหมือนกัน เป็นสิ่งพิเศษที่เราสร้างขึ้นมาด้วยมือเราเองอย่างนี้ก็เรียกได้ว่ามีชิ้นเดียวในโลกเลยสิใช่ค่ะ ของขวัญชิ้นเดียวในโลกที่เราจะมอบให้คนที่เรารักที่สุดคือพ่อกับแม่ของเราเองดีจัง มีร์พึมพำ รอยยิ้มระบายเต็มหน้า พี่อยากทำบ้าง แต่ไม่มีผ้ามิล่าฉีกยิ้มกว้างบอกให้มีร์ช่วยสับเปลือกไม้ไปก่อนแล้วตัวเองก็วิ่งตื๋อออกไป ครู่ใหญ่มิล่าก็กลับมาพร้อมผ้าสองผืน ซึ่งดูยังไงก็คงไม่สามารถนำมาทำผ้าห่มได้มีผ้าที่ใช้ทำผ้าพันคอเหลืออยู่ค่ะ นี่สำหรับพี่มีร์ มิล่าส่งผ้าในมือให้มีร์หนึ่งผืน แล้วผืนนั้นล่ะ คนที่เพิ่งรับผ้ามาไว้ในมือถามอย่างรวดเร็วของนายน้อยค่ะ เดี๋ยวมิล่าเอาไปให้นายน้อยก่อนนะคะ ว่าแล้วแม่สาวน้อยผู้ร่าเริงก็เดินตรงไปหาศวัสธรซึ่งกำลังทรงงานอยู่กับกลุ่มหนุ่มๆ ที่กำลังทำราวตากผ้าจากไม้ไผ่อยู่อีกด้านหนึ่ง====================================================================อาหารมื้อกลางวันฝีมือแม่ครัวยุวชนถูกจัดการอย่างรวดเร็ว ด้วยความหิวบวกกับความเหน็ดเหนื่อยของทุกคนทำให้เจริญอาหารกันมาก เหล่าบรรดาแม่ครัวมือยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ด้วยความภูมิใจในฝีมือเสร็จจากอาหารแล้ว ก็ได้เวลาที่จะนำผ้ามามัดลาย แต่ละคนเตรียมอุปกรณ์กันมาหลากหลาย ที่มีกันทุกคนก็คือกิ่งไม้กับเชือกป่านสำหรับมัดผ้า มิล่าสอนให้มีร์เข้าใจหลักการง่ายๆ ของการมัดย้อม นั่นก็คือ สีที่ใช้ย้อมจะไม่ซึมเข้าไปในผ้าส่วนที่ถูกมัด ดังนั้นลวดลายที่เกิดขึ้นก็จะมาจากการมัดผ้าในรูปแบบต่างๆ ซึ่งไม่มีข้อกำหนดตายตัว ใครอยากออกแบบลวดลายอย่างไรก็สามารถทำได้มีร์หยิบผ้าฝืนขนาดกว้างเท่าสองฝ่ามือยาวประมาณเมตรครึ่ง ที่ได้มาจากมิล่านำมาพับตามยาวแบบสลับฟันปลาแล้วใช้เชือกมัดเป็นปล้องตามขวางลายอะไรคะพี่มีร์พี่หวังว่ามันจะออกมาเป็นตารางมีร์ตอบพลางมองไปที่ผลงานของตัวเองอย่างไม่มั่นใจนัก ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ มิล่าเชื่อว่าต้องออกมาสวยแน่ๆ ก็พี่มีร์เป็นคนทำนี่นารอยยิ้มให้กำลังใจของสาวน้อยร่างอวบทำให้มีร์มั่นใจมากขึ้น มัดผ้าต่อไปเรื่อยๆ จากด้านหนึ่งไปจนสุดอีกด้าน ก่อนจะนำไปหย่อนลงในถังน้ำสีจากเปลือกไม้ซึ่งเดือดพล่านอยู่บนเตาสามเส้า อีกนานไหมกว่าจะเอาออกได้ มีร์ถามเด็กสาวที่ใช้ไม้ยาวกดผ้าลงไปจนจมน้ำสี ไอร้อนระอุขึ้นมาปะทะผิวหน้า หากอากาศที่หนาวเย็นเป็นทุนเดิมทำให้เด็กคลุกฝุ่นรู้สึกว่าความร้อนจากเปลวเพลิงในเตาไม่รุนแรงเท่าที่ควรจะเป็นเราต้องต้มจนสีเข้าเนื้อค่ะ อย่างน้อยก็สักสองสามชั่วโมง เสร็จแล้วก็นำมาล้าง ถ้าเรานำผ้าที่ต้มแล้วไปใส่ในถังน้ำด่างจากขี้เถ้าจะทำให้สีที่ได้ต่างจากล้างด้วยน้ำเปล่า ถมยังทำให้สีติดทนนานด้วยค่ะ เด็กสาวอธิบายมีร์ช่วยสาวๆ อยู่สักพักใหญ่ มิล่าก็เดินยิ้มแป้นมาหาพี่มีร์คะ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วค่ะ ระหว่างรอให้สีเข้าเนื้อผ้า...สนใจไปดูพระอาทิตย์ตกกันมั้ยที่ไหนเหรอ มีร์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหน้าผาอีกฟากหนึ่งค่ะ นั่งรถไปใช้เวลาไม่นาน ที่นั่นมีวิวสวยๆ ให้ถ่ายรูป แล้วก็มีวัดถ้ำ ไปไหว้พระกันนะคะมีร์เหลียวซ้ายแลขวามองหาใครอีกคนเพื่อถามความเห็น มิล่าพอจะเดาออกว่าพ่อรูปหล่อของหล่อนมองหาใครจึงรีบรายงานทันทีนายน้อยรออยู่ที่รถแล้วค่ะ ที่มิล่ามาตามนี่ก็เป็นคำสั่งนายน้อยค่ะสั่งอีกแล้ว พี่ไม่ไปได้มั้ย คนไม่ชอบถูกสั่งถามเสียงขุ่นไปเถอะค่ะพี่มีร์ คิดซะว่าไปเที่ยวกับมิล่านะคะ สาวน้อยว่าพลางก็ฉีกยิ้มหวานเยิ้ม มีร์ยักไหล่ก่อนจะเดินตรงไปยังทิศทางที่รถจอดอยู่====================================================================จุดชมพระอาทิตย์ตกที่มิล่าพูดถึงเป็นภูผาอีกด้านหนึ่งซึ่งใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ไม่เกินยี่สิบนาที หลังจากจอดรถไว้บริเวณลานแคบๆ ขนาดพอจอดได้สักสองสามคันเด็กสาวอารมณ์ดีก็เดินนำหน้าศวัสธรและมีร์พาเดินไปตามทางเล็กๆ ที่สองฟากเต็มไปด้วยต้นไม้ใบครึ้ม ถนนขรุขระคล้ายลูกรังไปจบลงตรงทางขึ้นเขาสูงชัน ป้ายด้านหน้าบริเวณนั้นเขียนด้วยตัวอักษรโย้เย้ประสาชาวบ้าน ผาตะวันลับมีร์แหงนมองบันไดที่สกัดจากหินก้อนใหญ่ ทำกันง่ายๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับคนที่ต้องการขึ้นไปบนจุดชมพระอาทิตย์ตก ความสูงชันของมันทำให้คนตัวเล็กแอบทอดถอนใจเป็นไง แหยงล่ะสิศวัสธรแสร้งรับสั่ง แน่นอนว่าได้ผล คนที่ดูเหมือนจะถอดใจกับความสูงรีบส่งเสียงออกมมาทันทีใครแหยงกันขอรับท่าน แค่นี้เอง โธ่เอ๊ย จิ๊บจิ๊บใช่ค่ะพี่มีร์ มิล่าคิดว่าคนหล่อและแข็งแรงอย่างพี่มีร์จะต้องเดินขึ้นไปได้อย่างสบายๆ ไม่ทันเหนื่อยหรอกใช่ไหมคะสามร้อยหกสิบห้าขั้นแค่นี้เองหา!!! มิล่า ว่ายังไงนะ ... สะ สามร้อย ... หกสิบห้าขั้น ... พูดเป็นหนังการ์ตูนไปได้ ...มีร์ร้องลั่นตาเหลือก อยากจะทรุดลงไปเดี๋ยวนั้น โอ...สามร้อยหกสิบห้าขั้น ... กว่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ตก คนที่ปีนขึ้นไปจะตกลงมาก่อนพระอาทิตย์มั้ยไม่พูดเล่นหรอกค่ะพี่มีร์ สามร้อยหกสิบห้าขั้น เท่าจำนวนวันในหนึ่งปีพอดีเป๊ะเลย มิล่าตอบ ฉีกยิ้มหวานจนตาหยี สบายมากใช่ไหมคะสบาย...สบายมาก มีร์กัดฟันตอบเพื่อรักษาฟอร์ม เมื่อเหลือบไปเห็นคนตัวโตยืนอมยิ้มอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่ความจริงในใจกำลังคิดว่าทำไมหนึ่งปีถึงไม่มีสักร้อยวันถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรอช้า ขึ้นไปเลยดีกว่า จะได้ทันเวลาพระอาทิตย์ตก เจ้าชายรัชทายาทรับสั่งเสียงเรียบ ก่อนจะทรงผายพระหัตถ์ มิล่าเดินนำขึ้นไปเป็นคนแรก มีร์ก้าวตาม และศวัสธรเสด็จปิดท้ายขบวน====================================================================บันไดหินสกัดค่อนข้างสูงชันแถมยังคดเคี้ยว ชาวบ้านนำกิ่งสนมาทำเป็นราวบันไดอย่างง่ายๆ เพื่อใช้ยืดเป็นหลัก แน่นอนว่ามีร์ได้ใช้บริการโหนราวบันไดอย่างเต็มที่ เดินขึ้นไปสักร้อยขั้นก็มีจุดพักเป็นลานเล็กขนาดนั่งได้สักสองถึงสามคน เด็กคลุกฝุ่นลงไปนั่งหอบ ไม่สนใจว่าจะมีต้นหญ้าขึ้นรกอยู่รายรอบประเดี๋ยวก็คันหรอกมีร์ หญ้าทั้งนั้นก็มันเหนื่อยนี่ท่าน โหย...เหลืออีกตั้งสองร้อยกว่าขั้นเชียวนะ ขอพักนิดนึงเหอะ มีร์ว่าพลางเทน้ำในกระบอกลงคออั้กๆ ดื่มรวดเร็วเอ้า ดูทำเข้า ประเดี๋ยวก็สำลักกันพอดีไม่ทันขาดคำคนที่ถูกพูดถึงก็สำลักน้ำพรวดออกมา ไอแค้กๆ จนหน้าแดงก่ำไปหมด มิล่าแทบจะถลาเข้าไปลูบหน้าลูบหลังด้วยความเป็นห่วงพี่มีร์เป็นไงบ้าง ให้มิล่าช่วยมั้ยจ๊ะไม่เป็นไร สำลักแค่นี้เอง มีร์รีบโบกมือห้าม ด้วยไม่ประสงค์จะให้เด็กสาวมาถูกเนื้อต้องตัวมากจนเกินไป ขอผ้าสะอาดสักผืนมาเช็ดหน้าก็พอมิล่ายังไม่ทันได้หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกจากกระเป๋า ก็ปรากฏผ้าสีเข้มส่งมาให้ตรงหน้าคนที่เพิ่งเอาน้ำล้างหน้าตนเองไปเมื่อครู่ ที่แท้มือใหญ่นั้นเป็นของศวัสธรสะอาด ยังไม่ได้ใช้ ทรงรับสั่งเมื่อเด็กคลุกฝุ่นเงยหน้าขึ้นสบตา รับไปสิมีร์ทำท่าลังเลอยู่เสี้ยววินาที ในที่สุดก็ยื่นมือออกไปรับ ขอบคุณครับเช็ดหน้าเช็ดตาเสร็จแล้ว ทั้งสามก็เคลื่อนขบวนต่อไปยังจุดหมาย การเดินเริ่มช้าลงด้วยความล้า แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะศวัสธรทรงเผื่อเวลาเดินทางเอาไว้แล้ว เมื่อขึ้นไปถึงบริเวณจุดชมพระอาทิตย์ตกดินจึงยังเหลือเวลาอีกราวสิบห้านาทีมิล่า อยากถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไหมเจ้าชายรัชทายาททรงรับสั่งถาม สาวน้อยอารมณ์ดีเบิกตาโตแล้วยิ้มกว้างนายน้อยจะถ่ายให้หรือคะ โอ๊ย มิล่าดีใจ จะมีรูปถ่ายสวยๆ แล้วศวัสธรทรงแย้มพระสรวล ด้วยเอ็นดูเด็กสาวผู้นี้นัก เสียดายเด็กฉลาด มีน้ำใจ แต่ไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนสูงๆ หากเป็นไปได้พระองค์จะหาทางให้มิล่าและเยาวชนในหมู่บ้านได้เรียนต่อเมื่อจบชั้นมัธยมปลาย แต่หากจะให้เงินเปล่าๆ คงจะง่ายเกินไปและดูไร้ค่า อาจจะต้องตั้งเป็นกองทุนให้เป็นทุนไปเรียนแล้วกลับมาพัฒนาชุมชนท้องถิ่นของตนเอง ... กองทุนเช่นนี้ควรมีไว้สำหรับนักเรียนทั่วประเทศ ... พี่มีร์มาถ่ายรูปด้วยกันเร้ว..ว.. มิล่าตะโกนเสียงใส ยังผลให้เจ้าชายทรงผินพระพักตร์ไปทอดพระเนตรคนถูกเรียกมีร์เดินมายืนเต๊ะจุ๊ยวางมาดเท่สูดลมหายใจเข้าแล้วกอดอกอย่างผึ่งผาย เด็กสาวยืนเคียงข้างยิ้มกว้างราวกับจะให้เห็นฟันครบสามสิบสองซี่ สองคนแอ็คท่าถ่ายรูปโดยมีเจ้าชายรัชทายาทเป็นช่างภาพกิตติมศักดิ์ นั่งบ้างยืนบ้าง หันหน้าหันข้างเป็นที่สนุกสนาน นายน้อยถ่ายรูปบ้างไหมคะ มิล่าเป็นตากล้องให้เองศวัสธรทรงส่งกล้องในพระหัตถ์ให้เด็กสาว ทรงสอนวิธีใช้อย่างง่ายๆ มิล่าพยักหน้าหงึกหงักประหนึ่งเข้าใจเป็นอย่างดี ก่อนจะถอยห่างจากรัชทายาทไปตั้งหลักตรงที่มั่นพี่มีร์ ถ่ายคู่เสียงเรียกนั้นทำให้มีร์สะดุ้งโหยงไม่ต้องก็ได้มั้ง มีร์ว่า หากเสียงทรงอำนาจของอีกคนดังขึ้นมาสิ นั่นทำให้มีร์ต้องเดินไปยืนข้างนายน้อย เสียงมิล่าร้องบอกให้ยืนชิดๆ หน่อย แต่มีร์ก็ยังเว้นระยะห่าง มิล่ายังไม่พอใจไม่ยอมกดชัตเตอร์ ศวัสธรจึงทรงคว้าหมับเข้าที่หัวไหล่แล้วรั้งร่างเล็กกว่าเข้ามาประชิดตัวแชะ แชะ แชะมิล่ากดชัตเตอร์อย่างสนุกมือ ศวัสธรทรงแย้มพระสรวลกว้าง ขณะที่คนโดนโอบไหล่ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรถูก จึงได้แต่ฉีกยิ้มบ้าง แยกเขี้ยวบ้าง แม้แต่ทำหน้าทะเล้นก็ยังมีถ่ายรูปเสร็จแล้ว มีร์ก้าวเดินฉับๆ ไปหาที่นั่งรอดูพระอาทิตย์ลับฟ้าบนโขดหินใหญ่โดยมีมิล่าตามไปนั่งใกล้ๆ ขณะที่ศวัสธรทรงเลือกที่จะแยกไปประทับ ณ โขดหินอีกก้อน ทรงเลือกทำเลนี้ด้วยทรงเล็งเห็นบางสิ่งซึ่งมีร์และมิล่ามิได้นึกถึงแสงสุดท้ายของวันกำลังจะหมดลงแล้ว เมื่อสุริยาดวงกลมโตสีส้มค่อยๆ เคลื่อนหายลับไปกับเหลี่ยมภูผา ศวัสธรบันทึกภาพงามนั้นไว้ด้วยกล้องดิจิตอลคู่พระหทัย ทรงเหลือบทอดพระเนตรคนตัวเล็กซึ่งนั่งทอดสายตาไปสุดขอบฟ้า เสี้ยวหน้าด้านข้างได้รูป จมูกปากสวยรับกันราวช่างปั้นจากสวรรค์สรรสร้างมาเสียงชัตเตอร์ที่ดังระรัวจนผิดสังเกตทำให้มีร์หันมามองที่มาของเสียง เป็นจังหวะเดียวกับที่ศวัสธรทรงเก็บกล้องพอดี นายน้อยทำอะไรครับถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดิน เจ้าข้องใจสิ่งใดหรือเปล่านี่ ก็แค่ถาม มีร์บ่นอุบอิบถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเถอะ ยังมีงานรออยู่ ใช่ไหมมิล่าเจ้าชายทรงผินพระพักตร์ไปยังเด็กสาวซึ่งนั่งมองพระอาทิตย์ตกอยู่ใกล้ๆ กับที่มีนั่งอยู่ มิล่าฉีกยิ้มกว้างก่อนจะตอบ ใช่ค่ะนายน้อย งานใหญ่เสียด้วยซีคะว่าแล้วเด็กสาวร่างอวบก็หยิบไฟฉายกระบอกเล็กออกมาจากกระเป๋าผ้าที่สะพายพาดบ่ามาด้วย เปิดสวิทช์แล้วสาดแสงไฟเดินนำกลับไปตามทางเดิมที่ปีนขึ้นมา ศวัสธรทรงหยิบไฟฉายที่ทรงพกมากับสนับเพลาส่องไฟเพิ่มให้อีกดวง มีร์หันไปมองแล้วนึกชมทั้งสองคนที่เตรียมพร้อมกันดีแท้ มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่ไม่ได้คิดจะตระเตรียมอะไรมาเลย====================================================================เมื่อทั้งสามกลับมาถึงลานทำผ้าห่มก็พบว่าเข้าสู่ช่วงที่ผ้าย้อมสีต้มนานจนได้ที่ วัยรุ่นหนุ่มสาวช่วยกันนำผ้าร้อนจัดออกจากเตา ใส่ลงไปในถังน้ำด่างหยุดการทำงานของสีธรรมชาติ จากนั้นนำผ้าไปแกะลายที่มัดไว้ ซักน้ำสะอาดอีกครั้งก่อนจะนำมาตากบนราวไม้ไผ่ ซึ่งแม้จะสร้างไว้เพื่อการใช้งานชั่วคราวแต่ก็แข็งแรงรับน้ำหนักได้ดี เราจะรอจนผ้าแห้งค่ะ คงจะเป็นช่วงสายๆ ของวันพรุ่งนี้ จากนั้นเข้าสู่งานสุดท้ายคือการยัดเส้นใยแล้วเย็บปิดเป็นอันเสร็จกระบวนการ มิล่าอธิบาย มือก็ตากผ้าไปด้วยมีร์มองดูผ้าสีสวยถูกตากเรียงกันเป็นทิวแถวยามที่แสงไฟจากกองเพลิงสาดส่อง ลวดลายของผ้าแต่ละชิ้นไม่ซ้ำกัน เป็นงานที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก ผ้าลายตารางสีเขียวขี้ม้าของมีร์ตากอยู่ปลายสุดของราวสุดท้าย แม้ช่องตารางที่ออกมาจะไม่สม่ำเสมอนักแต่คนทำก็ภูมิใจมาก ยืนยิ้มจนแก้มปริ... ถ้ามีโอกาสได้ทำอีกครั้งจะไม่ทำแค่ผ้าพันคอแบบคราวนี้ จะทำผ้าห่มผืนใหญ่คิดลายแปลกๆ ... ว่าแต่ เอ ... จะทำกี่ผืนดีนะ ...พี่มีร์ พี่มีร์ ... พี่มีร์!!เด็กคลุกฝุ่นถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของมิล่าดังอยู่ใกล้ๆ อะไรเนี่ย ใจลอยไปถึงไหนๆมีร์เอามือลูบศีรษะตัวเองแก้เก้อ เรียกพี่ทำไมเหรอ มิล่าไปทานข้าวได้แล้วค่ะ อาหารค่ำเสร็จแล้วทานข้าวแล้วทำอะไรต่อก็คงนั่งคุยกันสักพัก แล้วแยกย้ายกันกลับบ้านพรุ่งนี้ค่อยมาทำงานที่เหลือค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ มิล่าให้ที่บ้านจัดที่นอนให้นายน้อยกับพี่มีร์เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะค่ะมิล่าหิวจะแย่อยู่แล้วมีร์มองหาคนตัวโตก็เห็นกำลังเดินอยู่กับพวกเด็กหนุ่มอย่างเป็นกันเอง จึงเดินตามสาวน้อยร่างอวบไปสมทบกับสมาชิกคนอื่นๆ ที่ทยอยกันเดินไปยังจุดรับประทานอาหารด้วยความรู้สึกดีอย่างประหลาด ====================================================================ห้องพักที่มิล่าจัดไว้ให้ทำให้มีร์อึดอัดเล็กน้อย ด้วยความที่หลานสาวนายบ้านจัดให้นอนห้องเดียวกับ นายน้อย เหตุผลก็คือบ้านนี้หลังไม่ใหญ่ มีห้องว่างสำหรับให้แขกพักเพียงห้องเดียว แม้ว่ามีร์จะอาสาออกมานอนข้างนอก แต่ก็ไม่มีใครเห็นด้วย เพราะอากาศยามค่ำคืนที่นี่หนาวเหน็บเกินจะทานทนไม่ไหวหรอกเจ้าหนู จะพาให้ไม่สบายเสียเปล่าๆ นายบ้านออกปาก และยืนยันให้มีร์นอนในห้องนายน้อย โดยจัดที่นอนไว้หน้าเตียงคืนนี้สำหรับมีร์จึงผ่านไปแบบกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ออกไปนอนข้างนอกก็ไม่ได้ ครั้นจะนอนข้างในอย่างสบายใจก็ไม่ได้อีก เด็กคลุกฝุ่นเลื่อนที่นอนซึ่งแต่เดิมอยู่ชิดปลายเตียงไม้เตี้ยขนาดสำหรับนอนคนเดียว ไปอยู่ริมสุดมุมห้องไกลเตียงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็มุมเข้าไปในที่นอนแล้วคลุมผ้าห่มหนาโผล่ออกมาแค่ลูกตาและจมูกพอหายใจ ศวัสธรซึ่งนั่งสนทนากับนายบ้านจนดึกเมื่อเสด็จเข้ามาในห้องเห็นหนอนดักแด้ซุกตัวอยู่มุมห้องก็ดำเนินเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆ ทรงย่อวรกายลงพินิจคนนอนหลับอย่างเอ็นดู ปรารถนาจะเอื้อมพระหัตถ์ไปปัดผมยุ่งที่ปรกหน้าให้แต่ก็ทรงเปลี่ยนพระหทัยในที่สุด... เด็กเอ๋ย หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ...คนตัวโตขึ้นเตียงไปแล้ว และดูเหมือนจะผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอในเวลาไม่กี่นาทีต่อมา มีร์โผล่หน้าออกมาจากผ้านวมยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะหลับตา ... เพื่อที่จะ หลับ จริงๆ เสียที ...====================================================================รุ่งอรุณของวันใหม่เวียนมาอีกครั้ง ศวัสธรตื่นบรรทมและเสด็จออกไปแต่เช้า ส่วนคนที่นอนคุดคู้อยู่มุมห้องลุกขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นานนัก มีร์จัดการกับตัวเองก่อนจะไปโผล่ที่ห้องครัวพร้อมกับมิล่าเพื่อช่วยมารดาของเด็กสาวทำอาหารเช้าศวัสธรเสด็จกลับมาพร้อมกับข่าวไม่สู้ดีนัก เมื่อคืนนี้อากาศหนาวจัดและมีหมอกลงหนา ผ้าที่ตากไว้ยังคงมีความชื้นอยู่ไม่น้อย ทุกคนภาวนาขอให้วันนี้มีแดดแรง ผ้าจะได้แห้งเร็วๆ ระหว่างรอเวลาให้ผ้าแห้ง มิล่าพานายน้อยและมีร์ไปเดินสำรวจเส้นทางศึกษาธรรมชาติของหมู่บ้าน แล้วเลยขึ้นไปที่เรือนเพาะต้นกล้าไม้สน มีเด็กๆ ติดตามไปด้วยกว่าสิบคน ทั้งมีร์และเด็กน้อยเล่นกันอย่างสนุกสนาน อากาศยามเช้าแม้จะหนาวเย็น แต่การเดินขึ้นเขาบนทางสายลูกรังช่วยให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น มีร์รู้สึกเหนื่อยแต่การได้สูดอากาศบริสุทธิ์พาให้หัวใจแช่มชื่นไม่น้อยชอบแบบนี้จังเลย มีร์กระโดดโลดเต้นราวกับเด็กน้อยเมื่อขึ้นไปถึงยอดดอย สวยจังชอบก็มาบ่อยๆ สิคะพี่มีร์ ให้นายน้อยพามาก็ได้ มิล่าว่าไม่ต้องหรอก พี่มาเองก็ได้ ศวัสธรทรงส่ายพระพักตร์ ... ดื้อรั้นเป็นที่หนึ่ง ...มิล่าเดินนำขึ้นไปที่เรือนเพาะกล้าไม้ กล้าสนต้นขนาดความสูงราวฟุตครึ่งเรียงรายอยู่ในเรือนเพาะชำ ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นผู้ดูแลอธิบายว่าเป็นของหมู่บ้านขึ้นมาทำไว้เพื่อขยายพันธุ์ทดแทนต้นสนที่ถูกตัดไปใช้งาน ปกติก็จะเป็นชาวบ้านที่อาสาขึ้นมาปลูกป่ากันนานๆ ครั้ง ตัดทีก็ปลูกทีเราน่าจะให้เด็กๆ ขึ้นมาที่นี่บ่อยๆ นะครับนายน้อย ให้ครูพามาสักเดือนละครั้ง มาปลูกต้นไม้กัน น่าสนุกออก เป็นการสอนให้พวกเขารักต้นไม้ รักธรรมชาติ ให้เขาได้ปลูกป่าเอง ดูแลป่าของเขาด้วยตัวเองมันน่าภูมิใจออกจะตายไปไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะพูดอะไรเข้าทีกับเขาก็เป็น ศวัสธรหันไปรับสั่งกับมีร์ เล่นเอาเจ้าตัวหน้าหงิก เราเห็นจะต้องหารือเรื่องนี้กับนายบ้านปู่ของเจ้าเสียแล้วล่ะ มิล่าประโยคหลังนั้นทรงรับสั่งกับหลานปู่ของนายบ้านแห่งรากิเต เด็กสาวฉีกยิ้มเห็นด้วย พี่มีร์นี่ความคิดสุดยอดไปเลยค่ะมีร์ยักไหล่ หันไปหลิ่วตากับคนตัวโตที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หัวขบวน ทำนองว่า ... ของมันแน่อยู่แล้ว ...ศวัสธรทรงรับสั่งให้ผู้ดูแลเรือนเพาะชำลำเลียงต้นกล้าออกมา แล้วเรียกเด็กๆ เข้ามาช่วยกันหยิบต้นกล้าออกไป เด็กๆ เรามาช่วยกันปลูกต้นไม้ คนละสองต้น ไหวไหมไหวครับ/ค่ะ เด็กน้อยร้องรับแทบจะพร้อมกันถ้าอย่างนั้น ... พวกเรา ... ลุยกันเล้ย มีร์นำคณะออกเดินไปยังพื้นที่ที่เตรียมไว้สำหรับปลูกต้นไม้ เด็กๆ พากันร้อง เย้! แล้วออกวิ่งไปเป็นทิวแถว ท่าทางจะสนุกกันใหญ่ล่ะคราวนี้ ====================================================================คณะของศวัสธรลงจากเขาเข้าไปถึงลานกลางหมู่บ้านในเวลาเกือบสิบเอ็ดนาฬิกา พอดีกับผ้าที่ตากไว้แห้งเกือบจะครบทุกผืน สาวๆ รายงานว่ามีบางผืนที่ยังชื้นอยู่บ้างเล็กน้อย ครั้นจะนำมายัดขนสัตว์ทั้งที่ยังชื้นอยู่ก็ไม่ควรทำเพราะอาจจะทำให้ขึ้นราในภายหลัง มิล่าจึงบอกให้ใช้แผนสองนั่นคือนำไปรีดเพื่อให้แห้งเร็วขึ้น เมื่อจัดการกับผ้าที่จะใช้ทำผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว หนุ่มๆ ก็ทำหน้าที่ยัดขนสัตว์ที่เตรียมไว้ จากนั้นสาวๆ ทั้งหลายก็ช่วยกันเย็บปิดปากและเย็บตามจุดต่างๆ อย่างละเอียดเพื่อไม่ให้ขนสัตว์ภายในผ้าห่มนวมเหล่านี้เคลื่อนที่ไปมา อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของลวดลายที่ทำให้ผ้าสวยงามขึ้น บางคนนำลูกปัดสีสวยมาปักเป็นลายเพิ่มเติม บางคนก็นำไหมพรมถักเป็นรูปดอกไม้มาเย็บติดตรงกลางบ้าง ตรงหัวมุมผ้าห่มบ้าง สุดแท้แต่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน บางคนไม่มีวัสดุข้างต้นก็ใช้เส้นด้ายที่มีอยู่นั่นเอง เดินเส้นเป็นลวดลายซึ่งก็ดูสวยงามแบบเรียบง่ายได้เช่นกันบ่ายแก่ๆ ราวสิบห้านาฬิกาเศษทุกอย่างก็เรียบร้อย อุปกรณ์ถูกเก็บเข้าที่ ผ้าที่จากเดิมเป็นเพียงผ้าธรรมดาบัดนี้กลายมาเป็นผ้าห่มนวมผืนงามที่มีเพียงผืนเดียวในโลก ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร วัยรุ่นหนุ่มสาวช่วยกันม้วนผ้าห่มของแต่ละคนวางเรียงกันเป็นชั้นๆ ... สวยงาม และน่าภาคภูมิใจ ...====================================================================พิธี ห่มรัก ถูกจัดขึ้นหลังอาหารมื้อค่ำบริเวณลานกลางบ้านรากิเต ทุกครอบครัวในหมู่บ้านมารวมตัวกันที่นี่พร้อมอาหารคาวหวานซึ่งต่างก็นำมารับประทานร่วมกัน เป็นการจัดงานสังสรรค์เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างคนในหมู่บ้านไปในตัวกองไฟใหญ่ถูกจุดไว้กลางลาน มีชาวบ้านนั่งล้อมเป็นรูปครึ่งวงกลมสองฟาก ฟากหนึ่งเป็นผู้เฒ่าผู้แก่รุ่นพ่อแม่ปู่ย่า ส่วนอีกฟากหนึ่งคือกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวและเด็กๆ ในมือของทุกคนกอดผ้าห่มซึ่งตั้งใจทำกันมาตลอดสองวันมิล่าในชุดพื้นเมืองนั่งอยู่บนแท่นไม้สนขนาดประมาณหนึ่งตารางเมตร ซึ่งวางอยู่ตรงรอยต่อของครึ่งวงกลมทั้งสอง ขณะที่ศวัสธรและมีร์ซึ่งเป็นแขกของหมู่บ้าน นั่งบนแท่นไม้แบบเดียวกันแต่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับมิล่า นั่นหมายถึงทั้งสองทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างปลายทางของครึ่งวงกลมอีกด้านตรงหน้าของเด็กสาวร่างอวบคือเครื่องดนตรีพื้นเมือง เรียกว่า ระตา มีลักษณะเป็นเครื่องสายคล้ายพิณ ศวัสธรไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมิล่าในมาดนิ่งสุขุมและดูเป็นการเป็นงานเช่นนี้มาก่อน พระองค์ยิ่งทรงทึ่งมากขึ้นเมื่อมิล่ากรีดนิ้วลงบนสายระตา ... เสียงดังกังวาน สะกดทุกคนในที่นั้นให้หยุดนิ่ง ...มิล่าสูดลมหายใจเข้าก่อนจะกรีดนิ้วแล้วกางวงแขนออกอย่างชดช้อย เป็นสัญญาณให้รู้ว่า พิธีอันศักดิ์สิทธิ์กำลังจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้แล้ว เสียงกังวานใสจากเครื่องสายของมิล่าเริ่มขึ้นเป็นบทบรรเลง พลิ้วไหวราวสายลมพัดใบไม้ปลิว ก่อนจะค่อยๆ ทอดจังหวะให้กับบางสิ่ง ...... เสียงร้องเพลงจากลูกๆ ทุกคน ... ... สายใยรักเชื่อมใจถึงใจ ผูกเราไว้ด้วยรักสมัครสมานสายใยรักที่ถักทอทุกวัน เกี่ยวใจฉันให้ผูกพันอยู่กับเธอสายใยนี้ไม่มีเสื่อมคลาย ผูกเราไว้ด้วยหัวใจไม่แปรผันสายใยนี้ที่ถักทอทุกวัน เกี่ยวใจฉันมั่นรักเธอมิคลาย*อ้อมกอดนี้ที่แสนอบอุ่น เกื้อการุญมิสิ้นจางหายอ้อมกอดของใครเล่าเฝ้าคุ้มภัย พ่อแม่ใช่ไหมโอบอุ้มเราตลอดมาผ้าห่มน้อยจะแทนหัวใจ แม้ไม่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าภูผาผ้าห่มน้อยมิอาจเทียมแผ่นฟ้า แม้ไม่สูงค่าแต่มาจากใจผ้าห่มนี้อุ่นไอรักเรา ลูกขอเป็นเงาติดตามตลอดไปผ้าห่มนี้โอบรักเราไว้ ขอมอบแทนใจให้พ่อแม่เอย...เพลงจบลงพร้อมกับที่ลูกๆ ทุกคนรวมทั้งมิล่าลุกขึ้นเดินตามกันไปอย่างเป็นระเบียบไปทรุดลงแล้วคุกเข่าตรงหน้าบิดามารดาของตน ผ้าห่มที่บรรจงประดิษฐ์ด้วยความรักถูกส่งมอบให้กับผู้ให้กำเนิด พ่อแม่ลูกต่างโผเข้าสู่อ้อมกอด ไม่ต้องมีคำพูดใดด้วยหัวใจของคนทั้งหมดในที่นั้นล้วนเต็มตื้นไปด้วยความรักศวัสธรทอดพระเนตรใบหน้าของผู้เป็นพ่อแม่ซึ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม บ้างก็มีน้ำตาแห่งความสุข มีร์ปาดน้ำใสที่ไหลซึมออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ ภาพอันงดงามท่ามกลางแสงจันทร์และแสงไฟประทับอยู่ในห้วงลึกของหัวใจ แม้อากาศในคืนนี้จะเหน็บหนาว หากหัวใจของมีร์ในยามนี้ช่างแสนอบอุ่น====================================================================ดีจังนะ เสียงทุ้มดังอยู่ใกล้ๆ ทำให้มีร์หันไปมองคนข้างๆ ที่ตัวโตกว่าใช่ครับ ดีจังเลยเป็นประเพณีที่นอกจากจะต้องรักษาไว้แล้ว ยังคู่ควรแก่การเผยแพร่อีกด้วย ศวัสธรตรัสอย่างจริงจัง ทรงมีแผนสำหรับการเผยแพร่ประเพณีดีๆ อย่างนี้ และยังเห็นว่าจะต้องสืบสานประเพณีอื่นๆ ของแต่ละท้องถิ่นให้แพร่หลายสู่เยาวชนให้มากขึ้น การเดินทางในครั้งนี้ไม่เสียหลายเลยนายน้อย หืม์คือว่า เห็นชาวบ้านเค้ามอบผ้าห่มกันแล้วมีร์ก็อยากมีส่วนร่วมบ้าง อ้ะ...ให้ มีร์ยื่นผ้าสีเขียวขี้ม้าที่ซุกเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงให้คนตัวโต ถือว่ามีร์มอบให้ผู้อาวุโส ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของคนตัวเล็กแสบฉายแววเจ้าเล่ห์ ศวัสธรมุ่นพระขนงก่อนจะรับสั่งหนอย...เจ้าเด็กแสบเราอายุมากกว่าเจ้าเท่าไรกันเชียวไม่เท่าไหร่หรอก แค่เกือบสิบปีเท่านั้นเองรู้ได้อย่างไร ศวัสธรทรงดักคอ มีร์หุบปากฉับ ก็...ดูจากหน้าตาท่าทางท่านคงสักสามสิบได้กระมัง เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องคิดมากเลย แม้จะรู้ตัวว่าพลาดแต่ก็ยังแถไปได้อีกเราน่ะไม่คิดมากหรอก เจ้าต่างหากล่ะที่คิด เจ้าชายรัชทายาททรงคลี่ผ้าที่มีร์พับไว้อย่างไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก ก่อนจะทรงยื่นกลับไปตรงหน้าคนตัวเล็กพันคอให้เราด้วยสิเอ่อ มีร์ทำหน้าราวกินยาขมเข้าไปทั้งกำมือ พันเองดีกว่ามั้ยท่านแปลว่าไม่เต็มใจให้?มีร์ทำปากจิ๊กจั๊กก่อนจะรับผ้ามาถือไว้ แหงนมองคนตัวสูง เป็นทำนองว่า เอื้อมไม่ถึง ศวัสธรจึงทรงโน้มพระศิระลงมา คนตัวเล็กค้อมศีรษะเพื่อขออภัย สองมือเรียวคล้องผ้าอ้อมพระศอแล้วตวัดชายผ้าด้านหนึ่งพาดพระอังสาเท่มากๆ มีร์ว่า พร้อมเอามือกอดอกชื่นชมผลงานตนเอง ฝีมือจริงๆ ใครทำกันนะ ฮี่ๆเจ้าขี้โม้เอ๊ย เจ้าชายรับสั่ง ยื่นพระหัตถ์ไปยีผมยุ่งๆ ของคนที่กำลังยิ้มกริ่ม มีร์เหวี่ยงมือขึ้นปัดป้องโดยอัตโนมัติ ก่อนจะนึกได้ว่าสิ่งทำไปนั้นอาจจะดูไม่สุภาพกับคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าแถมยังอยู่ในสถานะ เจ้านาย ขอโทษครับไม่เป็นไร เราสิควรจะขอโทษเจ้า เราไม่สุภาพกับเจ้าก่อน ศวัสธรรับสั่งตอบ แย้มสรวลน้อยๆ แล้วทรงล้วงลงไปในกระเป๋าภูษา หยิบผ้าที่ทรงย้อมสีด้วยองค์เองออกมาคล้องคอให้กับอีกฝ่าย ผ้าพันคอสีโอโรสหวานใส ลายสวยแปลกตาเกิดจากฝีพระหัตถ์ขององค์รัชทายาทแห่งปุระตาราเราให้เจ้ามีร์เงยหน้าสบตากับคนตัวโต เห็นดวงดาวระยิบอยู่ภายในพระเนตรเข้มคมคู่นั้น ผ้าสีนี้ดูสดใสดี เหมาะกับเจ้ามีร์อยากจะฉีกยิ้มกว้างๆ แต่ก็สะกดกลั้นเอาไว้ ก็งั้นๆ คนปากแข็งแกล้งทำหน้าเหมือนไม่ได้ยินดีอะไรกับสิ่งที่ได้รับ แถมน้ำเสียงก็สุดแสนจะกวนประสาทถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร เอาคืนมาก็ได้ ศวัสธรทรงเอื้อมพระหัตถ์หมายจะดึงผ้าออกจากคอคนตัวเล็ก หากมือเรียวบางคว้าหมับมือใหญ่เอาไว้อย่างทันท่วงทีเรื่องอะไรจะคืน ให้แล้วให้เลยสิท่าน มีร์ลอยหน้าลอยตาพูด แค่นี้ทำน้อยใจไปได้เราไม่ได้น้อยใจ เราแค่จะบอกว่า ขอบใจนะที่ไม่ยอมส่งผ้าคืนเรา เก็บเอาไว้ให้ดีล่ะ หึๆน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของคนตัวโตทำให้คนตัวเล็กสะดุดหู เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยชัยชนะของอีกฝ่ายก็รู้ตัวทันทีว่าเสียรู้...อีกแล้ว...====================================================================พิธีกรรมอันสวยงามจบลงแล้ว ต่อจากนี้จะเป็นบรรยากาศแห่งความรื่นเริง เหล่าวัยรุ่นได้รับอนุญาตให้ร้องรำทำเพลงได้จนถึงยามสอง เสียงเพลงพื้นเมืองดังไปทั่วบริเวณ หนุ่มสาวออกมาเต้นรำตามแบบโบราณ ศวัสธรประทับบนพระแท่นทอดพระเนตรประชาชนของพระองค์ด้วยความปีติคนนั่งข้างๆ มองดูภาพเดียวกันด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่าง เมื่อมีร์เหลือบมองคนตัวโตก็อดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มให้ด้วยความรู้สึกบางอย่างซึ่งเจ้าตัวก็บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไรสายลมเย็นที่ลอยเอื่อยมาปะทะผิวหน้าทำให้มีร์รู้สึกหนาว แม้ว่าตรงหน้าจะมีกองไฟให้ความร้อนและแสงสว่างแต่ก็ยังไม่อาจทำลายความหนาวเย็นในระดับที่เริ่มจะเข้าใกล้ศูนย์องศาเหยือกสีเข้มซึ่งรู้กันดีว่าภายในบรรจุสุราพื้นบ้านที่ชาวบ้านหมักกันเองเพื่อไว้ใช้ดื่มแก้หนาวถูกยกมาเสิร์ฟโดยมิล่าเด็กสาวอารมณ์ดี มีร์หันไปสบตากับนายน้อยก็พบว่าอีกฝ่ายพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตหนาวๆ แบบนี้ดื่มสักหน่อยจะช่วยให้ดีขึ้นค่ะ ไม่ต้องกลัวเมานะคะ แค่สามสิบห้าดีกรีเท่านั้นเอง ถือว่ายังอ่อนมากมีร์กลืนน้ำลายเอื๊อก นึกในใจว่าอ่อนตรงไหน ครั้นจะไม่ดื่มก็คิดว่าจะดูกระไร เด็กคลุกฝุ่นลองจิบเพียงนิดเดียว ความร้อนจากน้ำใสเป็นตาตั๊กแตนในถ้วยทรงสี่เหลี่ยมใบเล็กส่งผ่านจากช่องปากผ่านลำคอไปถึงกระเพาะ มีร์รู้สึกร้อนวูบเป็นไงคะ อร่อยมั้ย ถ้าไม่ชอบเหล้าหมักแบบนี้ มิล่ามีไวน์พิเศษ ลองดูมั้ยคะเอ่อโดยไม่รอคำตอบ มิล่าวิ่งตื๋อไปคว้าขวดทรงสูงสีน้ำเงินซึ่งตั้งอยู่กลางวงของพวกสาวๆ แล้วกลับมาฉีกยิ้มอารมณ์ดีอย่างเคย แก้มใสๆ เป็นสีแดงเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์น้ำสีม่วงเข้มจนเกือบจะเป็นสีดำถูกเทลงในถ้วยตรงหน้าศวัสธรและมีร์ คนเทคะยั้นคะยอให้ลองชิมจนทั้งสองขัดไม่ได้จึงยกขึ้นดื่มพร้อมๆ กัน อร่อย...ใช่ไหมคะรอยยิ้มจากนายน้อยและมีร์เป็นสิ่งที่มิล่าใช้ตัดสินแทนคำตอบ หลังจากนั้นไวน์แก้วแล้วแก้วเล่าก็ถูกรินไปเรื่อยๆ พร้อมกับการพูดคุยบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ มากมายจนแทบจะลืมกันไปเลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด