เงาตะคุ่มของทิวสนใต้ดวงจันทร์กลมโตพลิ้วไหวไปตามสายลมพัดพา วรกายระหงประทับอยู่ ณ หน้าพระแกล แสงนวลจากจันทราสาดส่องเข้ามาตกกระทบดวงพักตร์งามรูปหัวใจ อาบพระฉวีสีนวลกระจ่าง อันเป็นที่มาแห่งพระนาม ศศรัศมิดา ... แสงงามแห่งดวงจันทร์ นาสิกโด่งได้รูปที่มักจะเชิดงอนยามที่ทรงแสดงอารมณ์รั้น ยามนี้ทำหน้าที่สูดกลิ่นหอมขจรจากมวลบุปผานานาพันธุ์ที่ปลูกไว้รอบลานดินเบื้องล่าง สายลมพัดพาความหนาวเย็นเข้ามาอีกวูบใหญ่ ยังผลให้สองพระกรถูกยกขึ้นโอบพระอุระดวงพระเนตรคู่สวยภายใต้พระขนงโก่งงาม ทอดยาวไกลออกไปยังกระต่ายตัวน้อยที่แฝงกายอยู่ที่เดิมกระต่ายตัวนั้นไม่เคยหนีไปไหน แต่ใครบางคนต่างหาก ที่หนีไปไกลแสนไกล ไปแล้วยังจะสร้างเรื่องวุ่นๆ มากวนใจเหตุการณ์เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมายังคงชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ อารมณ์กราดเกรี้ยวที่ไม่เกิดขึ้นนานแล้วกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อศศรัศมิดารับทราบจากพระบิดาว่าพระราชาธิบดีแห่งปุระตาราได้ทาบทามขอจัดพิธีดูตัว ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าทั้งพระบิดาและพระมารดาต่างทรงทอดถอนพระปัสสาสะด้วยความเหนื่อยอ่อนที่ถูกปฏิเสธ แต่ถึงกระนั้นทั้งสองพระองค์ยังทรงหวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ พ่อให้เวลาลูกตัดสินใจอีกครั้ง สามราตรีนับจากนี้ ขอให้ตรองดูให้ดี ความสัมพันธ์ของทั้งสองนครยืนยาวมานับร้อยปี อย่าให้เรื่องราวเพียงเท่านี้มาทำให้เกิดความบาดหมางกันเลย เพียงเจ้ายอมเข้าพิธีดูตัว ผลจะออกมาเช่นไรย่อมไม่มีใครบังคับใจทั้งสองฝ่าย แต่หากไม่ยอมแม้เพียงแค่เปิดรับไมตรี ลูกคงคิดได้เองว่าจะเกิดอะไรขึ้น ระหว่างสองราชวงศ์สุรเสียงของพระบิดายังคงก้องอยู่ในโสตประสาท เจ้าหญิงศศรัศมิดายังทรงครุ่นคิดและไตร่ตรองจวบจนบัดนี้ จะยอมเข้าพิธีเพื่อให้พระบิดาสบายพระหทัย หรือจะยึดมั่นในความคิดเดิมที่จะไม่มีวันเป็นผู้ถูกเลือกเป็นอันขาด โดยเฉพาะกับใครคนนั้น...
สนุกนะคะ
รออ่านตอนต่อไปอยู่ค่ะ