|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
คู่มือเลี้ยงลูกตามธรรมชาติของลูกรัก
ตั้งแต่กลับมาจากเมืองไทยหลังจากเคลียร์ของเข้าที่แล้ว ก็เริ่มมีเวลาเอาหนังสือที่ซื้อมา ออกมาทะยอยอ่านอีกครั้งช่วงที่ลูกกำลังหลับ เพราะรู้สึกได้เลยว่า ตั้งแต่พาอันนาไปเมืองไทย พฤติกรรมของอันนาเปลี่ยนไปเยอะมาก คงเนื่องจากวัยและได้สัมผัสผู้คนในอีกมุมนึงที่ต่างจากที่เคยเจอ ได้เจอคุณตา คุณยาย ญาติๆ ไปเที่ยวชายทะเล อันนี้อาจมีส่วนทำให้อันนารู้สึกว่า โลกนี้มีอะไรให้ค้นพบอีกเยอะจริงๆ
หนังสือเล่มนี้ชื่อ " คู่มือเลี้ยงลูกตามธรรมชาติของลูกรัก "แต่แหม ตั้งชื่อว่า คู่มือ เลยทำให้ค่อนข้างมีอคติเล็กน้อยในตอนแรก เลยเป็นเหตุให้หนังสือเล่มนี้นอนสลบไสลอยู่ในตู้หนังสือเป็นเวลานาน ตอนแรกรู้สึกว่า คำว่า คู่มือ นี้ทำให้รู้สึกเครียด จริงจัง แล้วจะทำให้เราอ่านหนังสือเลี้ยงลูกได้สนุกรึนี่ อันนี้อาจจะเป็นเพราะส่วนตัวรู้สึกว่า ไม่อยากเลี้ยงเด็กแบบเครียดๆ ทุกอย่างต้องเป๊ะๆ ชีวิตเด็กควรสดใส มีชีวิตชีวา อย่าต้องมาทะเลาะกับลูกมากมาย
พอวันอาทิตย์ที่ผ่านมาลองเอาออกมาอ่านดูแบบไม่อคติ ก็รู้สึกว่า เล่มนี้น่าสนใจดีเหมือนกัน หนังสือเด็กโดยทั่วไปมักจะบอกพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยว่า ทำอะไรได้บ้าง ควรลองให้ทำอะไรบ้าง มักจะคล้ายๆกันทั้งของไทยและฝรั่ง แต่หนังสือเล่มนี้สอนให้เราลองวิเคราะห์ตัวตนของลูก ลักษณะนิสัย อารมณ์ การแสดงออก แน่นอนเด็กร้อยคนก็ต้องต่างกันร้อยแบบ เพราะแต่ละคนคือ One of A Kind. ไม่มีใครเหมือนกันทั้งร้อยเปอร์เซนต์
พอเริ่มอ่านบทแรกก็สอนให้เราทำความเข้าใจรูปแบบหลักๆของบุคคลิกภาพเด็ก เพื่อให้เรารู้ว่า แต่ละแบบนั้นต่างกันอย่างไร วิเคราะห์ตัวเราด้วยว่า เราเป็นแบบไหน ทั้งพ่อและแม่เลย เพื่อจะให้เราเห็นภาพใหญ่ๆว่า อ๋อ ที่แท้ที่เรากำลังมีปัญหากับลูกเพราะ เราเป็นคนแบบนี้ และลูกเราเป็นคนแบบนี้ เลยทำให้เรามองต่างกัน แม้แต่เด็กแต่ละคนก็มีวิธีคิดกับของสิ่งเดียวกันต่างกันไป คิดว่าจะลองอ่านไปอย่างช้าๆ แต่อาจจะมาสรุปย่อถ้าอ่านจบ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ถึงแม้จะมีรูปแบบแค่ 16 แบบหลักๆ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เราเห็นบุคคลิกภาพที่แฝงอยู่ในเด็กๆ ได้ชัดยิ่งขึ้น
แต่แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใดคือ ต้องมองลูกตามความเป็นจริง ถึงแม้จะมีบุคคลิกภาพทั้ง 16 เป็นตัวช่วย แต่นั่นก็อาจจะไม่ใช่ตัวตนของลูกเราทั้งหมดเช่นกัน
บุคคลิกภาพนี้แบ่งตามแบบคร่าวๆได้แบบนี้จ้ะ
ชอบสังคม vs. ชอบเก็บตัว รับรู้ตามความเป็นจริง vs. รับรู้ตามการหยั่งรู้ของตนเอง ตัดสินด้วยเหตุผล vs. ตัดสินด้วยความรู้สึก ชอบทำตามแผน vs. ยืดหยุ่น
อันนี้คือ คร่าวๆ แต่จะมีลักษณะผสมผสานให้น่าเวียนหัวต่อไปอีกนะจ๊ะ แล้วคำถามที่ว่า เราจะเริ่มจำแนกลักษณะของลูกได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ
เค้าบอกว่า ส่วนมากแล้วลักษณะของเด็กจะปรากฏเห็นและสามารถระบุได้เมื่ออายุประมาณสามถึงสี่ปี บางรายอาจจะชัดตั้งแต่สองปีก็ได้ แต่ที่สำคัญคือ ขอให้เราคอยเฝ้าสังเกตพฤติกรรมลูกควบคู่ไปกับข้อมูลที่เราได้รับ พร้อมทั้งเปิดใจที่จะปรับเปลี่ยนตัวเราเพื่อให้เป็นผลที่ดีกับลูก ไม่ว่าเค้าจะเป็นเด็กลัษณะไหนก็ตาม
เกริ่นมาแบบนี้แล้ว คิดว่า หลายคนเริ่มๆจะมีอคติบ้างใช่ไหม ว่าอะไรมันจะต้องซีเรียสจริงจังซะขนาดนั้น ตัวเองนั้นตอนแรกก็คิดแบบนี้เช่นกันว่าอะไรมันจะขนาดนั้น แต่ก็ลองอ่านดูแล้วคิดว่า เวลาเรามีสมาธิอ่านให้ดีดี ก็น่าจะเอามาใช้กับลูกเราได้เช่นกัน แต่ก็ควรเผื่อใจไว้อีก 30 เปอร์เซนต์ด้วยเพราะบุคลิกภาพคนนั้นต้องมีอายุถึง 28 - 35 ปีจึงจะคงตัว ดังนั้นถ้าลูกเรายังเล็กเค้ายังมีเวลาอีกมากมายที่จะค่อยเผยตัวตนเค้าออกมา เราก็ต้องค่อยเรียนรู้ไป แก้ไขไป ตามสิ่งที่เราเจอก็เท่านั้นแหละ
ส่วนตัวแล้วไม่ค่อยคาดหวังในตัวลูกมาก แค่อยากเห็นเค้าโตแบบมีความสุข ดูแลตัวเองได้ มองโลกอย่างเป็นจริง ยิ่งถ้ามองโลกในแง่ดีได้แล้วยิ่งดี จะได้ทุกข์น้อยหน่อย
หนังสือเล่มนี้แปลมาจาก Nurture By Nature : Understand Your Child's Personality Type and Become a Better Parent by Paul D. Tieger & Barbara Barron-Tieger
คิดว่าถ้าใครสนใจก็ลองหามาอ่านได้จ้ะ
Create Date : 02 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 2 มิถุนายน 2551 18:35:19 น. |
|
0 comments
|
Counter : 225 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|