|
Singapore-Part 1~ Oh...come rain come shine...^^ เนื่องจากยังหารูปมาเลเซียเพิ่มเติมไม่เจอ ขอข้ามมาเขียนถึงสิงค์โปร์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวไฟมอดแล้วจะเขียนไม่ได้นะจ๊ะ ^^ ปีนี้มีโอกาสได้ไปสิงค์โปร์มาสองครั้ง จากที่ไม่เคยคิดจะไปเลย คือถ้าเป็นประเทศในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกันนี่ไม่เคยคิดจะอยากไป เพราะว่าคิดว่าสภาพอากาศไม่ได้ต่างกันมากนัก ถ้าจะเดินทางท่องเที่ยวทั้งทีก็ควรจะได้เจอประเทศหรือเมืองที่อุณหภูมิแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะอากาศหนาวที่หาไม่ได้ง่าย ๆ จากบ้านเรา แต่หลังจากได้เดินทางไปในประเทศใกล้ ๆ บ้านเรา เช่นมาเลเชีย สิงค์โปร์ เวียดนามแล้ว รู้สึกได้ว่าที่ผ่านมาคิดอะไรผิดมาก ๆ แต่ละประเทศแต่ละเมืองก็มีเสน่ห์เป็นของตัวเอง มีเรื่องราว มีสิ่งให้น่าค้นหา ในแต่ละรูปแบบของแต่ละเมือง คือถึงแม้อากาศจะใกล้เคียงบ้านเรา แต่วัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกันเลยนั่นเอง ปีนี้เดินทางไปสิงค์โปร์ครั้งแรก ด้วยสายการบิน ไทเกอร์แอร์ ไฟล์เช้าสุด กระหืดกระหอบไปเคาน์เตอร์เช็คอิน แล้วถามเจ้าหน้าที่ว่า จะเข้าเช็ค ตม ทันมั้ยคะ? ถ้าไม่ทัน..ตกเครื่องทำอย่างไรคะ? เจ้าหน้าที่ตอบมาด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ไม่ใช่ความผิดของสายการบิน ผู้โดยสารต้องรับผิดชอบเองค่ะ” แล้วทำหน้าบึ้งต่อ รู้สึกเสียดายคำถามที่ถามออกไปมากเลยถ้าไม่ถามอาจจะยังรู้สึกดีกับสายการบินนี้ขึ้นมาหน่อยนะ แต่ถามไปแล้วจะทำยังไงได้ แต่สรุปก็ทันนะ ก่อนเวลาด้วย ไม่ได้มีท่าทีจะตกเครื่องอย่างไร เครืองไทเกอร์ก็เล็ก ๆ ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดอะไรมาก เพราะขึ้นเครื่องแล้วก็หลับเลย รู้ตัวอีกทีก็มีแดดส่องมา รู้สึกคิดผิดมากที่ไม่ได้เลือกที่นั่งมาก่อน พ่อฝรั่งข้างหน้าต่างก็ไม่มีทีท่าจะปิดหน้าต่างเลย ตรูร้อน ==” ทน ๆ จนเครื่องมาถึงสนามบินชางกี พอเครื่องลงจอดก็ taxi ไปเรื่อย ๆ จนถึงเทอมินอลโลว์คอส ซึ่งอยู่เกือบมุมสุดของสนามบินสิงค์โปร์ ฝนก็ตกลงมา เรียกว่าตกต้อนร้อบทันทีที่เท้าเหยียบแผ่นดินสิงค์โปร์เลย กว่าจะลากกระเป๋าลงจากเครื่องแล้วเดินมาถึง ตม สิงค์โปร์ก็ไกลอยู่เหมือนกัน นะ ออกมาต่อรถบัสไปเทอร์มินอลที่ 2 เพื่อขึ้นรถไฟไป china town เจ้าหน้าที่ information สิงค์โปร์ให้รายละเอียดเยอะดีเหมือนกันบอกว่าจากสนามบินไปไชน่าทาวน์จะต้องต่อรถไฟสองสามต่อนะ คุณควรนั่งแทกซี่ไปมากกว่า จะสะดวกกว่า ก็เข้าใจว่าสะดวกนะคะ แต่อยากสะดวกเงินในกระเป๋ามากกว่า ขอไปทางรถไฟแล้วกัน นั่งรถไฟต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงสถานี Chine town แล้วก็เดินขึ้นไปหาเกสเฮ้าส์ ซึ่งดูจากรายละเอียดแล้วคือ อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนัก A berry nice (https://www.abearygoodhostel.com/ ) ซึ่งโอเคก็ไม่ไกลจริง ๆ แต่พอลากกระเป๋าขึ้นไปชั้นสอง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่ใช่ค่ะ ดูรายชื่อแล้วไม่มีสงสัยจะเป็นอีกที่ เธอก็โทร ๆ ไปถาม แล้วก็สรุปว่าเป็นอีกที่จริง ๆ แล้วก็พาเราเดินลากกระเป๋าถัดไปอีกสองสามซอย เป็น เกสเฮ้าส์เจ้าของเดียวกันแต่ใช้ ชื่อ A berry good stay จากนั้นก็ทำการเช็คอิน วางมัดจำ 15 เหรียญสิงค์โปร์ แล้วก็ขนของเข้าห้องที่พัก เลือกพักเป็นห้องรวม 8 คน เพราะว่าห้องผู้หญิง 4 คนเต็ม เหลืออยู่แค่ห้องรวม สภาพโดยทั่วไปก็โอเคดีมี เตียงสองชั้น ตอนนั้นคนในห้องก็ไม่มีใครอยู่คงออกไปเที่ยวกันหมด เลยเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเที่ยวบ้าง จริง ๆ มีเพื่อนอยู่สิงค์โปร์ แต่วันนี้อยากเทียวเองคนเดียวก่อนเลยไม่ได้โทรไปหาเพื่อน ขอเดินชมเมืองเพลิน ๆ ก่อนแล้วกันนะจ๊ะ China town สิงค์โปร์เป็น China town ที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยที่สุดเท่าที่เคยไปมา (ในไม่กี่ประเทศนะคะ) อาจจะนับไม่รวม China town เล็ก ๆ ในเมลเบิร์นที่เล็กจริง ๆ จนไม่อยากเรียกว่า China town ร้านขายกุนเชียง หมูหวาน หมูแผ่น สารพัดหมู มีให้เห็นอยุ่หลายร้าน แต่ร้านนี้แบบเป็นแผงลอยเปิดโล่ง เดินทะลุมาเรื่อย ๆ จนถึงวัดพระเขี้ยวแก้ว (จำชื่อภาษาอังกฤษไม่ได้ค่ะ) มีร้านขายต้นไม้แถวนั้น ต้นไม้ดอกไม้สีสวยมาก ๆ ต้นส้มจีนที่ชอบกินเพราะว่ามันหวานไม่มีเมล็ด(แต่ปัจจุบันกลายพันธุ์เยอะมาก) เพิ่งเคยเห็นว่ามันต้นแบบนี้ แอบเชย ฝั่งตรงข้ามเป็น Maxwell ศูนย์อาหารยอดฮิตของนักเดินทาง คนต่อแถวกันเยอะดี จำไม่ได้ว่าเป็นข้าวมันไก่หรืออาหารอะไร ขออภัยค่ะ ตอนแรกก็ว่าจะหาอะไรหม่ำที่นี่เหมือนกัน แต่ดูสภาพโดยทั่วไปแล้วไม่ค่อยสะอาดเลย หาทำเลเหมาะ ๆ นั่งทานไม่ได้เลยไม่เอาดีกว่า แขวนท้องรอไปก่อน วัดพระเขี้ยวแก้ว มองจากฝั่ง Maxwell เดินเล่นเรื่อย ๆ ช่วงที่ไปเป็นช่วงใกล้ตรุษจีนพอดี ระแวก china town ก็มีตกแต่งด้วยสวยดีเหมือนกัน วัดพราหณ์ในสิงค์โปร์ ไม่ได้เข้าไปดูข้างในอะ เดินจนหมดแรงรอบ ๆ China town กลับมากินติ่มซำร้านที่ติดกับเกสเฮ้าส์ เล็งไว้ตั้งแต่ตอนออกไปแล้วแต่ตอนนั้นคนเยอะ กลับมาถึงมีโต๊ะ เป็นร้าน ๆ ที่มีคนแวะมากินตลอดเลยอยู่เส้น Pagoda street นะคะ ใครผ่านลองแวะชิมไม่ผิดหวังค่ะ ขออภัยที่ไม่ได้จดชื่อร้านมา จานตะเกียบมาวางพร้อมถั่วลิสง ใหม่ ๆ หอม ๆ อร่อย ๆ (หิวด้วย 55) เห็นมีชื่อร้านที่ผ้าเย็นนะคะ น่าจะใช่ แต่ร้านหาไม่ยากค่ะ เลี้ยวเข้า Pagoda street มาไม่นิดเดียวก็เจอค่ะ เปิดตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงประมาณสี่ทุ่ม วันนั้นสั่งโจ๊กมาทาน รสชาติโอเคมา ประมาณเดียวกับจ๊กฮ่องกงเลย เสร็จแล้วยังหิวอยู่สั่งเจ้ารังนกนี่ทำจากหมูบดกับเผือกมาทานอีก อร่อยมาก ๆ ค่ะ มีปอเปี๊ยะไส้กุ้งด้วยแต่ถ่ายไม่ทัน หิวหน้ามืด 555 ทานคนเดียวนะนี่ ปอบลง อิ่มแล้วก็นั่งรถไฟฟ้าไปต่อที่สถานี City hall โผล่ขึ้นมาจากสถานีก็เป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่ เดินเล่นอยุ่ด้านในสักพักเพราะว่าข้างนอกฝนตก ก่อนฝนจะตกอากาศก็ร้อนอบอ้าวมาก ๆ โชคดีที่มีพัดติดตัวไปด้วย เดินไปพัดไปกันเลยทีเดียวพอเจอห้างเลยเดินเข้าไปตากแอร์จนฝนหยุดตก มืดพอดี เดินเลาะริมแม่น้ำมาเรื่อย ๆ จนมาเจอตึกหนามทุเรียนหรือ เอสพานาด แต่ด้วยความเสหร่อส่วนตัวปรับกล้องไว้ยังไงไม่รู้ ดูในกล้องมันก็ชัดดี ถ่ายออกมา เฮ้ออ อนาถ ขอหน้าด้านแปะอีกรูป 555 มาริน่าเบย์แซนด์ไม่ได้ขึ้นไปด้านบนหรอกนะ แต่อีกรอบที่ไปลุงคนขับแทกซี่บอกว่า ดูสินั่นโรงแรมใหญ่ของสิงค์โปร์ แต่เจ้าของเป็นคนมาเลเซีย ไม่รู้แกบอกด้วยความดีใจหรือเสียใจจริง ๆ เดินขึ้นสะพานอันเป็นไฮไลท์ของเมืองสิงค์โปร์ ถ่ายรูปมาหลายใบมาก แต่ดูแล้วไม่สามารถเอาลงได้จริง ๆ ค่ะ (อายเป็น 55) เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงรูปปั้นที่เป็นสัญลักษณ์ของสิงค์โปร์นั่นคือ merlion มีตัวเล็กด้านหน้าอีกตัวแต่คนถ่ายรูปกันเยอะมาก ๆ เลยได้แต่ถ่ายตัวใหญ่มาก เล่นเกมส์จับผิดภาพกันนะคะ เดินเล่นอีกนิดหน่อย แล้วฝนก็ตกลงมา ฝนสิบแดดสองมากเลยที่สิงค์โปร์นี่ 55 อีกวันต่อมาก็ไปทำธุระกับเพื่อนทั้งวัน ไม่ได้มีโอกาสถ่ายรูปเลย เอาไว้มาเก็บตกพาร์ทสองอีกทีแล้วกันนะคะ |
ศุจิกา
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] เป็นคนมีชีวิตอยู่สองโลก ฺฺBangkok-Seoul ยินดีต้อนรับเพื่อนๆทุกท่านค่ะ ^^ Link |