ถนนทุกสายมุ่งสู่เลห์ (4)
ไม่มีใครสั่งห้ามฟ้าฝนให้มันหยุดลงได้หรอก สองวันที่ผ่านมา มีแต่คน ถอยกลับกันแทบเกลี้ยง จะเหลือก็แค่พวกรถขนน้ำมัน รถบรรทุก ที่จำเป็นจะ ต้องไปต่อ แต่ก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายยานพาหนะคันโตไปไหนไกลกว่านี้ พวก เขา อาจต้องหลับนอนกันบนรถอยู่อย่างนั้น ส่วนพวกเราก็ไม่สามารถชิล อยู่กับพื้นที่นี้ได้ เพราะไม่มีใครอยากเสียเงินไปกับ ค่าอาหาร ค่าที่พัก (ในกรณีที่วันนี้เรายังไปต่อไม่ได้อีก ) และเวลาที่หมดลงไป เรื่อย ๆ แต่อย่าลืมว่า คนในกลุ่มของเราจำเป็นต้องไปต่อ เพื่อกลับบ้าน หรือนัด พบญาติพี่น้องซึ่งเป็นจุดหมายที่อยู่ข้างหน้า ฉันจึงตัดสินใจดีแล้วว่าจะติดตาม พวกเขาไปแทนที่จะกลับมะนาลี
(ต่อจากตอนที่แล้ว)
พอเจ้าของบ้านทราบว่า พวกเราพร้อมที่จะออกเดินทางกันต่อ พวกเขาก็รีบนำ น้ำชาและขนมปังแบบทิเบตมาให้เรากินรองท้อง ป้าของวิพันได้ปรึกษากับคน อื่นในกลุ่มว่าเราควรตอบแทนยังไงดี รู้สึกเกรงใจมาก จึงเก็บเงินกันคนละ 50รูปี เฉพาะในกลุ่มของเรา โดยมีคุณป้าวิพันเป็นตัวแทนส่งมอบให้
พวกเขาปฏิเสธที่จะรับเงินของเราและยืนยันว่าเต็มใจช่วย ไม่มีใครอยาก ตกอยู่ ในสถานการณ์แบบนี้ที่ต้องบากหน้าเดินหาที่พักตามบ้านแบบนี้หรอก หากไม่ จำเป็นจริง ๆ … วันนั้นเราจึงทำได้แค่ขอบคุณและบอกจุดหมายปลาย ทางของ แต่ละคนให้พวกเขาฟังกันก่อนลาพอเป็นพิธี เมื่อพวกเขารู้ว่าฉันกำลังจะไปเลห์ ซึ่งไกลกว่าที่คนในกลุ่มจะไปและเดินทางเพียงลำพัง คุณป้าเจ้าของบ้านที่มี หน้าตาคล้ายชาวทิเบต – แต่จากการแต่งตัวเดาว่า เป็นชาว Lahaul – ก็ได้ส่ง คำอวยพรให้ฉันยกใหญ่ ขอไปถึงที่หมายอย่างราบรื่นและปลอดภัย โดยไม่มี อุปสรรคอะไรอีก
พวกเราเดินลงมาจากเนินเขาซึ่่งเป็นที่ตั้งของบ้านหลังดังกล่าว ข้าม สะพาน คอนกรีตกลับไปยังฝั่งรถจอด และพบว่ารถโดยสารสามคันแรก ได้วิ่งออกจากที่ Koksar เพื่อกลับไปยังเมืองต้นทางของตัวเองแล้ว ก็เหลือเพียงแค่รถจาก Kulluที่เรานั่งมาด้วยกันนั่นแหละ
รถคันดังกล่าว กำลังเตรียมท่าจะออกเดินทางต่อ "นี่ ...ไปขึ้นรถ กลับมะนาลีเถอะ"
กระเป๋ารถเมล์ จำฉันได้และกำลังหว่านล้อมให้กลับ เหล่านักเดินทางชาวอินเดีย ที่ค้างแรมที่บ้านหลังนั้นกับพวกเราเมื่อคืน ต่างพากันขึ้นไปอยู่บนรถหมดแล้ว
" ฉันไม่กลับไปมะนาลี"
เขาบอกฉันว่า ในวันนี้ยังไงก็ไม่มีทางไปต่อได้แม้กระทั่ง Keylong ส่วนเลห์คง ไม่ต้องพูดถึง มันตลกมากเลยที่กระเป๋ารถเมล์ ใช้ความพยายามร้องขอให้ฉัน เดินทางกลับ จนถึงขั้นยกมือไหว้ ทำให้ทุกคนบนรถต่างขำกันลั่น
"ขอร้องเถอะนะ ...มันอันตราย !"
จนกระทั่ง เขาเริ่มอ่อนข้อลงและถามฉันว่าไม่ใช่คนอินเดียใช่มั้ย ถ้างั้นก็ช่วย ตามเขามาหน่อย ฉันเลยขอเวลาครู่หนึ่งเพื่อบอกป้าวิพันว่า ให้รอก่อน จะไป รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ยังไงก็จะตามป้าไปแน่ ๆ ไม่กลับมะนาลี อย่าเพิ่งหนี ไปไหนนะ
แต่ก็นั่นแหละ พอมาถึงจุดลงชื่อรายงานตัว เจ้าหน้าที่ก็พยายามเจรจาให้ฉัน กลับอีก โดยพูดเตือนเหมือนกับ คนอื่น ๆ เปี๊ยบราวกับนัดกันไว้ และสุดท้ายก็ ทำให้ต้องยอมปล่อยให้ไปต่ออยู่ดี "ถ้างั้นก็ขอหนังสือเดินทาง" เขาหยิบพาสปอร์ตของฉันไปลงบันทึกยังสมุด เล่มหนา เพื่อ ใส่รายละเอียดและจุดหมายถัดไปลงในนั้น ก่อนมาจะชะงัก หยุด ฟังเสียงวิทยุสื่อสารที่ส่งข่าวรายงานสถานการณ์พื้นที่ ตรงจุดกั้นเขตที่ว่าดังขึ้น เขาเอื้อมมือไปหยิบวิทยุฯ นั่นมาพูดรับอะไรสักอย่าง พร้อมกับยื่นหน้าออกไป โบกมือโบกไม้ตรงทางช่องหน้าต่างส่งสัญญาณ บอกถึงข่าวบางอย่างที่ได้รับ แจ้งมา ดูท่าจะเป็นเรื่องดี
หลังได้รับพาสปอร์ตกลับคืนมา ฉันก็รีบเดินกลับมายังกลุ่มของป้าด้วยความดีใจ (ที่ไม่มีใครส่งกลับได้สำเร็จ ) ตอนนั้นพวกป้ากำลังยืนปรึกษาเรื่องการเดินทาง ในวันนี้ว่า ควรจะทำยังไงกันดีกับคนพื้นที่อีกกลุ่ม ขณะเดียวกัน รถโดยสารคันสุดท้ายที่ยังคงจอดอยู่ใน Koksar ก็กำลังจะเคลื่อน ตัวกลับ กระเป๋ารถเมล์และคนที่อยู่บนรถโดยสารได้หันมาบ๊ายบายให้ฉัน ก่อนที่ รถคันนั้นจะแล่นออกจาก หมู่บ้านไป...อืม ไม่มีแผนสำรองให้เลือกแล้วสินะ รถคันเล็กที่เราจ้างให้ไปส่งตรงบริเวณทางที่ถูกปิด
พอวิ่งมาถึงกลางทางก็มีคนขอติดไปด้วย พื้นที่บนรถไม่พอแล้ว พวกเขาเลยต้องใช้วิธีห้อยโหนแบบนี้แทน กลุ่มคนที่จะไปต่อ นอกเหนือไปจากกลุ่มของป้าวิพันที่มีกันห้าคน (รวมฉัน) ก็ยังมีคนท้องถิ่นอีกสาม -สี่ราย ที่จำต้องข้ามฝั่งไปทำธุระฟากโน้นช่วยเป็นตัวตั้ง ตัวตี นำทางเราไป พวกเราว่าจ้างรถคันเล็กให้วิ่งไปส่งยังจุดเดิม นั่นก็คือทางทึ่ ถูกน้ำถล่มไปเมื่อวานนี้นั่นแหละ ต่อจากนั้น ก็เริ่มต้นเดินขึ้นไปบนเขาไปทั้ง ๆ ที่ฝนยังปรอยอยู่ น้องผู้ชายเสื้อลายสก็อต ที่มาพร้อมกับเราอาสาแบกเป้ใบโตให้ พอไม่มีสัมภาระ หนัก ๆ บนหลังก็เบาขึ้นเยอะ ฉันเลยช่วยหิ้วกระเป๋าถือให้คุณป้าตาสีฟ้าแทน ยังไง ๆ ก็ต้องมีน้ำใจกันบ้างล่ะน่า และถึงฉันอาจเดินไวกว่าแต่ก็ทิ้งห่างจากพวก ป้าไม่ได้
เราใช้การเดินเท้าลัดเลาะขึ้นเขา เพื่อเลี่ยงเส้นทางถนนที่มีปัญหา
กลุ่มของคุณป้าสามคนที่ฉันขอตามติดมาด้วย ระหว่างที่เราเดินกันอยู่บนเขาเพื่อลัดข้ามไปยังอีกฟาก ก็เห็นป้าของวิพันกำลัง ใช้โทรศัพท์คุย ติดต่อกับใครคนหนึ่งอยู่ ที่ตรงนี้คงเริ่มมีสัญญาณฯ และป้าก็ สะกิดบอกให้ฉันคุยกับปลายสายนั่นด้วย เป็นนายวิพัน นั่นเอง ...เขาและกลุ่ม เพื่อนได้เดินทางไปถึง Chamba เป็นที่เรียบร้อยและปลอดภัยดี
ว่ากันตามตรง เส้นทางที่เรากำลังเดินกันอยู่นี้ก็คือทางเดียวกันกับที่วิพันได้ชวน ฉันออกมาจาก Koksar ในวันนั้น แต่ฉันก็ไม่ได้นึกเสียใจอะไรนัก ที่ตัดสินใจไม่ ออกมาพร้อมกันเพราะอยากอยู่ กับกลุ่มผู้หญิงมากกว่า วิวจากบนเขาเมื่อมองลงมายังเส้นทางข้างล่างจะเห็นว่าเต็มไปด้วยโคลน มีรถรับจ้างคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่บนเขา แต่ไม่เจอคนขับก็เลยต้องเดินกันเองต่อไป (คุณลุงที่อยู่ด้านซ้าย คือแกนนำหลักที่พาพวกเราขึ้นเขาในวันนี้ ส่วนชายร่างสูง ที่สวมรองเท้าบูทนั้นเป็นน้องชายของป้าที่สวมผ้าคลุมศีรษะ) กลุ่มของคุณป้าอาจดูเหมือนจะเดินช้ากว่า กลุ่มผู้ชายที่นำทางเรา แต่ต้องยอมรับเลยว่าพวกป้าใจสู้กันมาก คนชุดน้ำตาลคือป้าของวิพัน
เส้นทางการเดินข้ามเขาไปยังอีกฟาก บางครั้งก็เป็นพื้นถนนที่ราดยาง บางครั้งก็เป็นทางเปียกเฉอะแฉะ พอถึงช่วงที่ต้องเดินลงจากเขาผ่านแปลงผัก ทางค่อนข้างแย่เละเป็นโคลน และชัน แถมฝนก็เริ่มตกหนักแล้ว ร่มของฉันติดอยู่ที่เป้ใบใหญ่ ที่มีคนช่วยแบก ล่วงหน้าไปให้ ส่วนกลุ่มป้าก็เริ่มเดินช้าลง เพราะรองเท้าที่ใส่มาไม่เอื้อต่อพื้นที่ แบบนี้เท่าไหร่ ถัดมาไม่นานเราก็เริ่มพลัดหลงจากกัน ฉันยังคงเดินตามน้องชายของป้าคนหนึ่งอยู่ เขาแบกกระสอบใส่หัวหอมแดง เดินจ้ำ ๆ ไปพร้อมกับฉัน เราเดินผ่านแนวรถบรรทุกและรถขนส่งน้ำมันที่จอด เรียงยาวกันเป็นพืดมานานกว่าหนึ่งวัน คนขับรถต่าง นั่งรอเวลาให้พ้นผ่านไปเรื่อย ๆ
หลังจากเราข้ามฟากยังถนนฝั่งนี้ได้สำเร็จ ฉันก็เริ่มมองหากลุ่มป้าทั้งสามไม่เจอ คือน่าจะเดินทิ้งช่วงไปไกลพอควร แถมฝนก็ยังตกกระหน่ำอีก ชายคนที่เดินมา ด้วยกันบอกว่า " ไม่เป็นไรหรอก" สักพักก็มีรถเก๋งคันหนึ่งมาจอดเทียบข้าง ๆ กลุ่มป้าทั้งสามได้นั่งรถมาแบบสบายใจโดยไม่เปียกฝนซักแอะ…พวกป้าเรียก ให้ฉันขึ้นรถไปกับแก จนกระทั่งมาถึงที่ร้านน้ำชาที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากนั้น
กลุ่มคนที่มาพร้อมกับเราได้เข้าไปหลบฝนพร้อมกับจิบน้ำชาแก้หนาวกันแล้ว พวกเขาวางแผนที่จะเดินทางไปยังจุดหมายข้างหน้าต่อ ในตอนนั้นแทบจะหา รถวิ่ง ไปถึง Keylong ไม่ได้ ฉันเริ่มท้อแล้วว่าคงอาจไปถึงเลห์ ช้ามากกว่าที่คิด ซึ่ง อาจเป็นวันมะรืนหรือถัดไปและถัดไป....
เหล่านักบิดที่แวะมากินข้าวมื้อกลางวันที่ร้านนี้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เมื่อคืนมีหิมะตกหนักตรงช่องเขาสักแห่ง "เชื่อผมเหอะ มันเป็นไปไม่ได้" พวกเขาจำเป็นต้องขับรถกลับมะนาลีและยกเลิกการเดินทางไปอย่างน่า เสียดาย...ฉันได้แต่คิดในใจ ทำไมคนอื่นเขาถึงได้ไปเลห์-ลาดัก กันง่ายดายนัก! แต่พอมาถึงตาเราบ้างไหงกลับมีแต่เรื่องและอุปสรรคมากมายก่ายกองงี้? ลุงแว่นที่เป็นแกนหลักในการนำทางพวกเรามาจนถึงฝั่งนี้ พอได้ฟังแล้วนั่งส่าย หน้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนบ่นพึมพำ ๆ ให้ฉันได้ยิน
"เฮ้อออ นี่ถ้าเป็นตู… .ตูกลับมะนาลีไปแล้ว"
ที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง ตรงฝั่ง Sissu พื้นที่ตรงนี้ชื่อว่า Sissu ก็ยังถือว่าอยู่ไกลจาก Keylong มากพอควร พวกเราไม่ สามารถเดินทางต่อด้วยเท้า คงต้องหวังว่าจะแท็กซี่ขับผ่านมาสักคัน ป้าที่มากับ น้องชาย (คนขนหอมแดง ) ได้แยกตัวออกไปกับรถกระบะของชาวบ้านเป็นที่ เรียบร้อย… ทีนี้กลุ่มเราก็เหลือกันแค่ 3 คน คือป้าของวิพัน ป้าตาสีฟ้า และฉัน *** ความจริงแล้ว คนในกลุ่มของเราไม่รู้จักกันมาก่อน นี่คือการรวมตัวกันแบบเฉพาะกิจค่ะ
มีรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งผ่านมาทางนี้ เพื่อเดินทางไปยังเมืองใกล้ ๆ พอดี แต่ไปไม่ถึง Keylong คุณป้าตาสีฟ้าเลยไหว้วานให้ไปส่งยังที่หนึ่งซึ่งเป็นบ้านของครอบครัว แกเอง (หลังจากที่ป้าแต่งงาน แล้วก็ย้ายไปอยู่บ้านสามี ) ถึงมันจะเป็นจุดหมาย ไม่ไกลมากนัก แต่ก็ยังดีกว่าที่ต้องมารอเฉย ๆ ล่ะน่า ...รถคันนั้นไม่คิดเงินเรา และวิ่งมาส่งที่ปากทางเข้าบ้านดังกล่าว
ฉันได้แต่หอบเป้เดินตามป้าทั้งสองลงจากรถต้อย ๆ ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงดี ในเวลานี้ไม่มีรถโดยสารวิ่งแล้ว คงอาจต้องนอนค้างบ้านป้า และเดินทางไป Keylong ในเช้าพรุ่งนี้แทน พอมาคิดดู…ทำไมมันถึงเป็นการเดินทางที่ยืดเยื้อ แบบนี้ไปได้ ที่บ้านหลังนั้น มีน้องสะใภ้ของป้าและหลานสาวดูแลอยู่ ส่วนพวกผู้ชายออกไป ทำงานที่ไร่นา พวกเขาได้เอาชาและอาหารมาให้กินเป็นมื้อกลางวัน ถัดจากนั้น ป้าตาสีฟ้าก็นั่งคุยกับน้องสะใภ้คั่นเวลา
คนบ้านนั้นถามฉันว่าไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านมานานเท่าไหร่แล้ว พอฉันบอกว่า สามวัน พวกเขาดูมีทีท่า เป็นกังวลมากทีเดียว "ถ้าพรุ่งนี้ไปถึง Keylong แล้ว ก็ไม่ต้องห่วงนะ ที่นั่นมีอินเตอร์เน็ต" คุณป้าตาสีฟ้า ได้ใช้โอกาสนี้ แวะมาเยี่ยมบ้านและให้ที่พักให้เราชั่วคราวไปก่อน ฉันก็ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นหน้าตาบ้านเรือนของชาว Lahaul ในรูปแบบนี้
ลุง(เสื้อสีส้ม) ที่น่าจะเป็นญาติพี่น้องของป้าตาสีฟ้า ได้แวะมาพักดื่มชาช่วงบ่ายและใช้เวลาคุยกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่แกจะหายไปข้างนอก นอกเหนือจากน้องสะใภ้และหลานสาว ตกช่วงบ่าย บ้านหลังนี้ก็มีผู้ชายสองคน แวะมานั่งดูโทรทัศน์ และดื่มชาพลางพูดคุยกัน ซึ่งก็อาจเป็นญาติพี่น้องของป้า ตาสีฟ้า พวกเขาต่างพูดคุยกันถึงเรื่องเดิม ๆ รวมถึงปัญหาที่ ฉันกำลังกังวลอยู่
"พรุ่งนี้ได้ไป Keylong แน่นอน" ลุงบอก แล้วหลังจากนั้น พวกผู้ชายก็ลุกหายออกไปยังข้างนอกกัน
ช่วงเวลาบ่ายสามโมงของวันนี้ดูเชื่องช้าไปเสียทุกอย่าง วิวท้องนาที่เห็นผ่าน หน้าต่างเต็มไปด้วยไอหมอกกับฝนที่โปรยลงมา บนภูเขาสีเขียวที่ห่างไปจากนี้ มีฝูงแพะและแกะเดินเล็มหญ้าเป็นกลุ่ม ๆ...ส่วนบรรยากาศภายในบ้านหลังนี้ ก็ยังไม่มีอะไรมาก ก็นั่งจิบชาร้อนแกร่ว ๆ ไปเหมือนชีวิตไร้จุดหมายยังไงก็ไม่รู้ น้องสะใภ้ และหลานสาวของป้า ก็เริ่มเอาใบมัสตาร์ด (Sag) ที่ไปเก็บมาจาก แปลงปลูกผักข้างบ้าน มาหั่นเตรียมทำอาหารเย็น สำหรับวันนี้ ฉันกะว่าจะไป ช่วยพวกเขาแกะเม็ดถั่วลันเตาออกจากฝักเสียหน่อย (แบบว่าอยู่บ้านท่านอย่า นิ่งดูดาย ) แต่ไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงคนวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาบนบ้าน เป็นลุง ที่แวะมาจิบชาเมื่อตอนกลางวันนี้เอง
"มีรถที่จะวิ่งไปถึง Keylong"
จริงดิ ...ฟังแล้วแทบไม่น่าเชื่อ ป้าของวิพันและป้าตาสีฟ้าต่างดูดีใจมาก ๆ แม้ทั้งสองจะยังไม่รีบร้อนเท่าฉัน ก็ตาม ( ป้าทั้งสองจะยังคงอยู่ที่บ้านหลังนี้กันหนึ่งคืน) ก็ได้เข้ามา จับมือร่ำลา และบอกว่าถ้ามีโอกาสย้อนกลับมา ก็แวะมาเยี่ยมแกได้ทุกเมื่อ คุณลุงคนดังกล่าวได้ช่วยแบกเป้ไปยังรถรับจ้างที่จอดรออยู่ด้านนอก ไม่รู้ว่า ไปเจอกับรถคันนี้ได้ยังไง ...ฉันขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง ส่วนลุงนั่งเบาะอยู่ตรงหน้า แต่ถึงอย่างนั้น ตลอดทางที่วิ่งรถไปก็แอบระแวงนิด ๆ ว่าจะถูกหลอกมั้ย ฉันฟัง พวกเขาไม่รู้เรื่องว่าพูดคุยเรื่องอะไรกัน แล้วค่ารถเขาจะคิดเท่าไหร่เนี่ย ?
เส้นทางที่เริ่มจากบ้านป้า คือ Sissu ไปยัง Keylong ไหล่เขา ดูน่ากลัวเอาเรื่อง เพราะมีหินที่ตกลงมาจากภูเขาหล่นเกลื่อนเต็มไปหมด ถนนช่วงนั้นแทบไม่มีรถ ออกมาวิ่งให้เห็น และพื้นถนนก็ดูเหมือนจะลื่น …ฉันเห็นสายตาของคนขับรถฯ ชำเลืองมองผ่านกระจก " คุณจะไปที่ไหน" คนขับรถได้ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
"ฉันจะไป Keylong เพื่อหารถต่อไปเลห์พรุ่งนี้เช้า"
"เย็นนี้ผมจะไปเลห์"
ลุงเสื้อส้มได้ติดรถไปยัง Keylong พร้อมกับฉันด้วย
บ้าน่า วิ่งรถไปเลห์ตอนกลางคืนเนี่ยนะ ...แถมตอนนี้ทางก็ดูอันตรายมาก ซะด้วย ฉันนึกถึงคำบอกเล่าในร้านน้ำชาพวกนักบิดที่พากันถอนกำลังตอนไปถึง ช่องเขาแห่งหนึ่ง แล้วต้องมาบึ่งกลับมะนาลีในวันนี้เพราะเส้นทางถูกปิดด้วยหิมะ
รถของเราวิ่งมาจนถึง Keylong และจอดลงที่หน้าสำนักงานท่องเที่ยวรายหนึ่ง ที่ดูเหมือนว่า ไม่ได้เปิดทำการเต็มร้อย มันดูรก ๆ และไม่เป็นระเบียบ ฉันเอาเป้ ใบใหญ่ลงจากรถ และเดินลงมาพร้อมคุณลุง ...คนขับแท็กซี่ก็ไม่หือไม่อืออะไร บอกแค่ว่าให้ไปนั่งรอที่ด้านใน อาคารนั่นก็แล้วกัน จากนั้นก็ขับรถหายไปดื้อ ๆ และเขาไม่ได้คิดค่าโดยสารจากเราสักรูปี
มีชายหน้าทิเบตคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับฉัน เขาบอกว่าทำงานอยู่ที่สำนักงาน ท่องเที่ยวนี้ หากยังไม่รู้ว่าจะหารถไปเลห์ได้ยังไง ก็ไปพักกับครอบครัวเขาก่อน จนกว่าจะหารถได้ก็แล้วกัน (อาจเป็นรถรับจ้าง ) เพราะตอนนี้ไม่มีรถโดยสารวิ่ง ได้สักคัน น่าเสียดายที่คุณลุงจาก S issu พูดสื่อสารได้น้อยมาก และฉันเองก็ไม่รู้เจตนา ของชายคนนั้นเท่าไหร่ ตอนนี้ก็แค่ตามน้ำไปเพราะฉันไม่รู้จัก Keylong ดีนัก เราจึงเดินขึ้นมายังชั้นสองที่เป็นห้องพัก และพบกับภรรยาของเขาที่กำลังจะ เตรียมต้มน้ำอุ่นเพื่ออาบให้ลูกคนเล็ก ส่วนลูกสาวคนโตก็นั่งหัดท่องสูตรคูณอยู่ ที่มุมห้อง เธอหันมาทักทายฉันและบอกว่า ที่นี่มีเด็ก เลยค่อนข้างวุ่น เดี๋ยวจะไป จัดห้องพักอีกห้องให้อยู่แทน …ระหว่างนี้ก็ทำตัวตามสบาย
ส่วนคุณลุงที่นั่งรถมาด้วยกันดูจะเป็นกังวลในเรื่องบางอย่าง หลังจากที่เห็นว่า ฉันตัดสินใจจะพักที่นี่เป็นการชั่วคราว แกก็หายไปไหนไม่รู้... เดาว่า น่าจะไปอยู่ ร้านอาหารที่มีญาติมาเปิดกิจการที่นี่
ช่วงที่นั่งรออยู่บนห้องนั้น ฉันได้ขอรหัส wifi มาใช้ เพราะเห็นมีสัญญาณขึ้นเต็ม แต่ก็มีปัญหาตรงที่ว่ามันกลับเชื่อมต่อไม่ได้อีก เลยขอตัวลงมานั่งข้างล่าง เผื่อ ว่าจะรับสัญญาณได้ดีกว่าชั้นสอง "แล้วถ้าไม่มีรถวิ่งไปเลห์ คุณจะทำยังไงเนี่ย" ชายผู้ดูแลสำนักงานฯ พูดถึงเรื่องรถรับจ้างที่อาจต้องจ่ายราคาเหมา และฉันตั้งงบฯ ไว้เท่าไหร่ ...เพราะในเวลานี้คงหาคนหารลำบากมาก ๆ
ฉันอยากไปที่ท่ารถ เพื่อดูว่ามีการระงับเรื่องเดินรถโดยสารไปเลห์ตามที่ว่ามั้ย เขาจึงพาฉันซ้อนมอเตอร์ไซด์ลงไปยังท่ารถ เพื่อยืนยันว่าไม่มีรถคันไหนวิ่งไป ได้จริง ๆ ... แต่ก็อย่างว่า ทุกอย่างดูปุบปับชนิดที่ไม่เหลือช่องว่างให้ฉันได้ซัก ถามใครได้ แล้วหลังจากนั้น ก็ส่งฉันกลับมายังอาคารนั้นตามเดิม สารภาพว่า คิดอะไรไม่ออกแล้วจริง ๆ นึกถึงคนขับแท็กซี่ที่นั่งมาจาก Sissu ที่ว่าจะไปเลห์เย็นนี้ ไม่รู้ว่าไปไกลถึงไหนแล้วเนี่ย ส่วนคุณลุงที่นั่งรถมาด้วยกัน พยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเรากันแน่
เกือบห้าโมงกว่า ฉันยังพยายามหาทางต่อ wifi อย่างไม่ลดละ … อุวะ ! Router มันก็อยู่ตรงนี้ทำไมมันไม่ติดซะที และอยู่ ๆ ก็มีคนเดินเข้ามาใน อาคารนี้ หน้าตาไม่คุ้นแต่ข้อมือคุ้น ๆ เห็นมีด้ายราคีผูกเต็มไปหมด ชายคนที่ว่า ดูมีหน้าตาแบบอินเดีย (ส่วนชายคนที่บอกว่าดูแลอาคารนี้และภรรยา มีหน้าตา คล้ายคนทิเบต ) ชายอินเดียคนนั้นเดินผ่านมายังจุดที่ฉันนั่งอยู่ โดยหันมามอง เพียงแว้บหนึ่ง ก่อนหายออกไปข้างนอกโดยไม่ได้พูดอะไรซักคำ
นี่ก็เย็นมากแล้ว คงต้องนอนที่ Keylong แบบช่วยไม่ได้ ฉันหมดความพยายาม ที่ใช้โทรศัพท์ เชื่อมต่อ wifi และลุกออกไปซื้อของใช้บางอย่างที่ร้านขายของ ที่ฝั่งตรงข้าม แต่ก็เห็นชายอินเดียคนนั้นเดินกลับมาอีก คราวนี้เขาเข้ามาคุยกับ ฉันละ "โทษที เธอใช่คนที่อยู่บนรถเมล์เมื่อวานหรือปล่าว"
อ๋อ ๆ จำได้แล้ว ตาคนที่มีด้ายแดงผูกข้อมือเยอะ ๆ นั่นเอง
"ผมหารถที่จะไปเลห์ได้แล้ว มันขาดอีกที่นึง ...จะออกตอน 6 โมงเย็นวันนี้"
"แล้ว ค่ารถเท่าไหร่อ่ะ" สถานการณ์นี้ ต้องมีโขกราคากันเลือดอาบแน่
"เขาคิดเราแค่ 1,000 รูปี !"
ฉันเลิกนึกถึงเรื่องวิวทิวทัศน์ของขุนเขาระหว่างทางในแบบที่หวังจะได้เห็นแล้ว ยังไงขอให้ไปถึงเลห์ก็เป็นพอ เลยตกลงทันทีว่าจะไปด้วย…แต่ขอเวลาห้านาที เพื่อเก็บข้าวของก่อน
ฉันรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อหยิบเป้ และบอกลาพี่ผู้หญิงที่เป็นภรรยาของคน ดูแลอาคารนี้ แบบกะทันหัน ดีนะที่แค่ฝากกระเป๋าวางไว้เฉย ๆ ยังไม่ได้ทันเข้า พักหรือรื้อของออกมา พอลงมายังข้างล่างก็ได้เจอกับ ผู้ชายคนที่เป็นสามีเข้า พอดี เลยได้แต่บอกไปว่าไม่ได้ค้างคืนที่นี่แล้วล่ะ "ฉันมีรถไปเลห์แล้ว !"
เป็นเหตุการณ์ที่ว่องไวเกิดคาด วันนี้ฉันออกมาจาก Koksar ได้สำเร็จ ถัดจากนั้นก็มาหยุดพักที่บ้านญาติของป้าตาสีฟ้า ตั้งหลายชั่วโมง จนคิดว่าต้องนอนที่นั่นซะแล้ว.... อยู่ ๆ ก็ได้รถเดินทางตรงมายัง Keylongตอนบ่ายสามโมงกว่า พอมาถึง Keylong ได้ไม่นาน ก็ได้ขึ้นรถแท็กซี่ไปเลห์ แบบหวุดหวิด นี่ถ้าเกิดไม่ลงมานั่งข้างล่าง หรือหากชายอินเดียคนนั้น จำหน้าฉัน ไม่ได้ มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากนี้ก็ไม่รู้
ส่วนแท็กซี่คันที่กำลังจะวิ่งไปเลห์เย็นวันนี้ อ้าว ..นี่มันรถคันเดียวกับที่นั่งมาจาก Sissu นี่หว่า เอ๊ะ คนขับก็ด้วย อะไรกันเนี่ย!? แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้ทักในสิ่งที่ฉันเกือบพลาดให้ใครฟัง คิดว่าแกอาจเป็นคนตลกลึก หรืออาจจะพูดไม่เยอะเพราะเจ็บคอ ผู้โดยสารบนรถ ก็มีแค่สามคนที่นั่งเบาะหลัง ฉัน , ซันดีพ (เจ้าของคลิป น้ำป่าไหลหลาก,ดินถล่ม เมื่อตอนก่อน) และ พอล ชาวแคนาดา ส่วน คุนชก วัยรุ่นชาวลาดักที่นั่งอยู่เบาะหน้าไม่น่าจะนับเป็นผู้โดยสารเนอะ
มีความรู้สึกสับสนปะปนไปพร้อมกับความดีใจบวกกับโล่งอกมาก ที่ผ่านพ้น เหตุการณ์แย่ ๆ ไปได้ ภาพการเดินทางไปลาดักของฉันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ คิดไว้ เพราะนั่งรถได้พักเดียวก็มืดลงแล้ว
แต่ภาพความประทับใจมันก็ยังมีอยู่นะ คือถ้าให้นึกย้อนถึงช่วงที่ชอบที่สุด คงจะเป็นตอนที่รถของเรา กำลังติดอยู่กับฝูงแกะฝูงแพะนี่ไง... VIDEO
เพลงที่ดังมาจากวิทยุมีชื่อว่า O Mithi Mithi Chashni (ต้องขออภัย ที่มือไวใจร้อนกดปิดเร็วไป)
Create Date : 14 พฤศจิกายน 2562
18 comments
Last Update : 24 กันยายน 2566 20:09:37 น.
Counter : 1553 Pageviews.