ผู้ชายเลวกว่าหมาฯ : มายาคติและกระโถน
นอกจากพระราชนิพนธ์ 'เรื่อง ทองแดง' ที่ทำยอดขายได้ถล่มทลายเป็นประวัติการณ์แล้ว ในปีที่ผ่านมาหนังสือที่มีชื่อเรื่องเกี่ยวกับหมาที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอีกเล่มก็คือ 'ผู้ชายเลวกว่าหมา และไม่ได้มาจากดาวอังคาร' ออกสตาร์ทแค่ 5 เดือนสุดท้ายของปี ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำติดต่อกันถึง 12 ครั้ง โดยเฉพาะเดือนธันวาคมได้รับการพิมพ์ซ้ำถึง 5 ครั้ง ซึ่งถือเป็นสถิติที่ไม่ธรรมดา สำหรับหนังสือที่ไม่ได้พะยี่ห้อรางวัลซีไรท์อย่างเล่มนี้
ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะว่าเป็นเพราะ 'ชื่อคนเขียน' คือ กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรรายการ 'ผู้หญิง ผู้หญิง' ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่งถือเป็น 'ดารา/คนดัง' ที่หันมาจับปากกาเขียนหนังสืออีกคนหนึ่งก็ไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น 'กายกรรมบนเส้นด้าย' ของเธอ ที่ได้รับการตีพิมพ์ก่อนหน้านี้ และ 'ผู้หญิงยิงฟัน' ที่พิมพ์ขึ้นหลังสุดก็น่าจะขายดีไปด้วย
เป็นที่ทราบกันว่าสาเหตุที่ทำให้หนังสือเล่มที่สองของเธอเล่มนี้ขายดีนั้น มาจากชื่อหนังสือ 'ผู้ชายเลวกว่าหมา และไม่ได้มาจากดาวอังคาร' ที่สอดรับกับมายาคติของคนไทยนั่นเอง
แม้ประโยคว่า 'ผู้ชายเลวกว่าหมา' จะไม่ใช่การสรรค์สร้างขึ้นมาใหม่ เนื่องจากเป็นชุดคำที่ไหลเวียนอยู่ก่อนหน้านี้แล้วในสังคมไทย แต่เมื่อมันถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นชื่อของหนังสือของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขียนถึงผู้ชาย ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ย่อมขวนขวายหามาอ่าน อาจเพียงเพราะสงสัยว่าไฉนถึงได้กล้าท้าทายตั้งชื่อได้ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เคยมีชื่อหนังสืออย่าง 'กูคือพระเจ้า' หรือ ''ไอ้เหี้ยเอ๋ย' แต่ก็ไม่หวือหวาและร้อนแรงเท่าการจับเอาคู่ตรงข้าม (binary opposition) อย่างเพศชาย/หญิง มาเล่นกับ 'มายาคติ' ที่พร้อมจะทำงานอยู่แล้ว
ชื่อ 'ผู้ชายเลวกว่าหมา' นั้น เป็นการผลิตซ้ำมายาคติของคน (ไทย) เกี่ยวกับหมา คนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าหมาเป็นสัตว์ชั้นต่ำ จะเห็นได้จากเวลาโกรธหรือเกลียดใครมักจะด่าว่า 'ไอ้ลูกหมา/ไอ้ชาติหมา/พูดหมาๆ' (นอกเหนือจากไอ้เหี้ย, ไอ้ควาย ซึ่งฮ็อตฮิตไม่แพ้กัน)
ความเชื่อที่ว่า 'หมาเลว' หรือ 'ควายโง่' (จากคำด่าคุ้นหูคุ้นปากว่า เลวเหมือนหมา เลวกว่าหมา โง่เหมือนควาย) เป็นมายาคติที่ฝังรากลึกจนกระทั่งคนจำนวนมากเชื่อว่าเป็น 'ความจริง' ตามนั้น การสวมคุณค่าเชิงนามธรรมลงไปในสัตว์เช่นนี้เป็นเรื่องที่ควรถูกตั้งคำถามว่า คุณค่าแท้จริงของสิ่งใดเป็นไปตามที่มันได้รับการติดป้าย/ฉลากเอาไว้ หรืออย่างไรกันแน่
การที่หนังสือเล่มนี้ขึ้นป้ายเป็นลายลักษณ์อักษรว่า 'ผู้ชายเลวกว่าหมา' จึงเป็นการผรุสวาทต่อหมาและเพศชายที่ไม่ได้หายไปในอากาศเหมือนการด่าด้วยลมปาก แต่เป็นการตอกย้ำวาทกรรมอันเป็นมายาคติเกี่ยวกับหมา (และผู้ชาย) ให้มีชีวิตยืดยาวต่อไป
ซึ่งประเด็นนี้ได้สร้างความอึดอัด คับข้องใจให้คนรักหมาไม่น้อย โดยแย้งผ่าน (มายา) คติอีกฟากหนึ่งว่าหมานั้นไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย (โดยเฉพาะถ้าเทียบกับคน) แต่เป็นสัตว์ที่แสนจะกตัญญู ซื่อสัตย์ รักและภักดีต่อเจ้าของ
ว่าไปแล้วการตั้งชื่อหนังสือลักษณะนี้มิได้แตกต่างจากการพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์รายวันหัวสีที่มักจะเล่นกับมวลชนกระแสหลัก ด้วยการใช้คำพาดหัวกำกวม หรือให้ข้อเท็จจริงแบบครึ่งๆ กลางๆ ฯลฯ โดยมีเป้าประสงค์อยู่แค่ให้คนควักเงินซื้อหนังสือของตนเท่านั้น 'จุดขาย' ที่แท้จริงของหนังสือเล่มนี้จึงอยู่ที่ 'ชื่อหนังสือ' ซึ่งเป็นด่านแรกที่ปะทะเข้ากับสายตาของคนอ่านมากกว่าจะเป็น 'เนื้อหา' ที่บรรจุอยู่ข้างใน เหตุดังนั้นในหน้าบรรณานุกรมจึงได้ให้เครดิตขอบคุณผู้ตั้งชื่อปก คือ เวียง-วชิระ บัวสนธ์ (ปกติมักไม่นิยมระบุกันเท่าไหร่นัก) ทั้งนี้ อาจเป็นด้วยความภาคภูมิใจของบรรณาธิการเอง หรืออีกนัยหนึ่งอาจต้องการประกาศความรับผิดชอบ หากจะมีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นตามมาจากการตั้งชื่อปกในครั้งนี้ก็เป็นได้
เนื้อหาภายในเล่มนั้น เริ่มด้วย 'ผู้ชายหัวใจกระดาษ' เป็นเรื่องแรก ซึ่งแม้จะเขียนด้วยลีลาภาษาที่มีลูกล่อลูกชนอ่านสนุก แต่ก็ถือว่าผู้เขียนเปิดฉากด้วยการซ่อนเนื้อหาที่ซีเรียสเอาการไว้ โดยเฉพาะในย่อหน้าตอนจบที่ผู้เขียนบอกกับลูกผู้หญิงด้วยกันว่า
"...'ดวงตาเห็นธรรม' ไม่ได้มาง่ายมาเร็วเหมือนโทร.สั่งพิซซ่า บางทีต้องทนหิวไส้เกือบขาด เพื่อที่จะรู้ว่าความจริง เราก็ทำกับข้าวกินเอง อร่อยเหมือนกัน และค้นพบว่าการใช้สายยางฉีดก้นก็เวิร์คดี แล้วคุณจะทน 'แสบ' อยู่ทำไมเนี่ย!" (น.17-เน้นโดยผู้เขียนบทความ)
ซึ่งมีความหมายในเชิงแนะนำให้ผู้หญิงเลิกใช้ 'กระดาษชำระ' (พึ่งพาผู้ชาย) และให้หันมาใช้ 'สายยาง' ฉีดก้นแทนจะดีกว่า ซึ่งสื่อนัยไปถึงการช่วยตัวเอง/สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองของผู้หญิงด้วย
ประเด็นนี้ทำให้ไพล่เข้าใจไปว่าผู้เขียนน่าจะเป็นนักสตรีนิยมหรือเฟมินิสต์ ไม่ก็ได้รับอิทธิพลจากเฟมินิสม์อยู่บ้าง เพราะความคิดดังกล่าวถือเป็นหัวใจของเฟมินิสม์แบบที่ค่อนข้างสุดขั้ว ที่ยึดทัศนะว่าหากผู้หญิงยังต้องพึ่งพิงผู้ชาย โดยเฉพาะในการร่วมเพศ ผู้หญิงจะไม่มีวันหลุดพ้นจากการกดขี่ และยังนำไปสู่การตกเป็นทาสของผู้ชายอันเนื่องมาจากการมีลูก (ถ้าเป็นลูกชายคงยิ่งแล้วใหญ่) ใช่แต่เท่านั้น การร่วมเพศกับผู้ชายยังถูกผู้ชายควบคุมการถึงจุดสุดยอดเอาไว้ด้วย (vaginal orgasm) เฟมินิสต์กลุ่มนี้จึงเห็นว่า หากผู้หญิงต้องการจะประกาศอิสรภาพอย่างสิ้นเชิงจากผู้ชาย ก็จะต้องมีความสุขจาก 'การทำกับข้าวกินเอง' นั่นคือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง (clitoral orgasm) หรือไม่ก็มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วยกันในแบบที่เรียกว่า 'เลสเบี้ยน' เท่านั้น จึงจะลดความเป็นเจ้าโลกของผู้ชายลงได้
อย่างไรก็ตาม ในบทต่อๆ มาภายใต้ภาษาอันสวิงสวายของผู้เขียนประเด็นเช่นนี้ก็ค่อยแผ่วลงไป แทบจะไม่ปรากฏเนื้อหาความไม่เสมอภาค ความไม่เป็นธรรม และการกดขี่บังคับทางเพศเลย
ทำให้สรุปได้ว่าแท้จริงแล้วกาละแมร์เขียนหนังสือเล่มนี้โดยไม่ได้มีจุดยืนแบบที่เรียกว่าเฟมินิสม์เหมือนที่หลงเข้าใจเลยก็ว่าได้ เพราะภาษา/เนื้อหามุ่งเอาความสนุก เอาความมันสะใจเข้าว่า มากกว่าจะมุ่งกะเทาะทำลายเพศชายแบบถอนรากถอนโคน (เหมือนท่าทีของชื่อหนังสือชวนเชื่อเอาไว้) หนำซ้ำสิ่งที่ 'ดูเหมือน' เป็น 'ปัญหาของผู้ชาย' ที่ผู้เขียนนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นอาการ บ้า, ติด, เจ้าชู้, หึง ฯลฯ ปฏิเสธไม่ได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็น 'ปัญหาของผู้หญิง' ด้วยเช่นเดียวกัน กล่าวได้ว่าสิ่งที่เธอวิพากษ์วิจารณ์ผู้ชายไปทั้งหมดนั้น ไม่ได้เป็นความแตกต่างระดับพื้นฐานระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงเลย เพียงแค่เปลี่ยนชุดข้อมูล อย่างเช่น จาก บ้ารถ, บ้าฟุตบอล ฯลฯ มาเป็น บ้าเสื้อผ้า, บ้าน้ำหอม ฯลฯ ทุกอย่างดูจะไปด้วยกันได้ในทันที นอกจากนั้นสิ่งที่ 'ดูเหมือน' จะเป็น 'ปัญหาของผู้ชาย' ที่ผู้เขียนสาธยายและแจกแจงมานั้น แท้ที่จริงอาจยกเป็น 'ปัญหาของมนุษย์' ที่ไม่จำต้องระบุเพศ, เชื้อชาติ, ศาสนาหรือสีผิว ก็ย่อมได้
ที่กล่าวมาทั้งหมดคงไม่ใช่การพยายามชี้ว่า 'ถ้าผู้ชายเลว ผู้หญิงก็ต้องชั่ว' หรือเป็นการพยายามรวบรัดตัดความยกทุกอย่างสู่ปัญหาเชิงอภิปรัชญาว่าด้วยมนุษย์ที่ยากแก่การถกเถียงหาข้อยุติ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อหวังจะดำรงสถานะอันได้เปรียบ (?) ของเพศชายไว้ต่อไป
แต่เนื่องจากผู้เขียนบทความนี้เป็นผู้ชายจึงอาจถูกมองว่า ทั้งหมดนี้เป็นการออกมาปกป้องหรือโต้ตอบแทนเพศของตนจากการเหยียดและย่ำยีโดยเพศหญิง ก็เป็นได้
หลายต่อหลายครั้งการเข้าถึงปัญหาโดยการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง มักทำให้เรา/เพศเรามอง 'คนอื่น/พวกอื่น/เพศอื่น' ที่ต่างออกไปในฐานะที่เป็น 'จำเลย' หรือตัวปัญหา และอาจทำให้เราเผลอสรุปเชิงกล่าวโทษไป ได้ไกลถึงขนาดเห็นว่า ความเลวร้ายทั้งมวลมีต้นกำเนิดมาจาก 'คนอื่น/พวกอื่น/เพศอื่น' ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อที่จะละเลยไม่ต้องกล่าวโทษตัวเองหรือหันกลับมาสำรวจข้อบกพร่องของตัวเอง ซึ่งอาจเป็นที่มาของปัญหาได้เช่นเดียวกัน
แม้ชื่อหนังสือ 'ผู้ชายเลวกว่าหมา' และในเรื่องแรกของเล่มจะส่อไปในทางตัดญาติขาดมิตรหรือปฏิเสธเพศชาย (แบบเดียวกับ 'การไม่มีสามีเป็นลาภอันประเสริฐ') ดังกล่าวแล้ว แต่ในเรื่องสุดท้ายดูเหมือนกาละแมร์จะกลับมา 'ดวงตาเห็นธรรม' อีกครั้ง เมื่อเขียนว่า
"...ฉันเชื่อว่ายังไงซะผู้หญิงผู้ชายก็ย่อมเกิดมาคู่กัน..." และ "...ถึงแม้ว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะมีอาการไม่เข้าท่า ไม่เข้าตากรรมการหลายๆ อย่างก็อาจจะพอหยวนๆ กันไปได้..." (สุดท้ายก็ต้องผู้ชาย น.137)
ตามด้วยข้อสรุปปิดท้ายว่า "...ถึงแม้ว่าผู้ชายจะมีคุณสมบัติไม่ดีติดตัวมาอันเนื่องจากฮอร์โมนหรือจะเพิ่งออกแววโจรเพราะสภาพแวดล้อมพาไป ไม่ว่าจะโทษอะไรก็แล้วแต่ ยังไงสุดท้ายแล้วผู้หญิงก็ต้องมีผู้ชาย จะร้ายจะดีก็ต้องมีไว้ประดับกาย เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ยังหามาใส่ตัวได้ จะมีผู้ชายห้อยท้ายอีกซักคนก็คงไม่หนักอะไร..." ( น.140)
และอย่างน้อยในเล่มเดียวกันนี้จากทั้งหมด 21 เรื่อง กาละแมร์ก็ได้เขียนตีแผ่ผู้หญิงไว้ถึง 4 เรื่องด้วยกัน แม้ว่าจะอยู่ในภาวะ 'จำใจ' ต้องเขียนก็ตาม (ดูหมายเหตุ-หน้าคำนำ)
หากชื่อหนังสือและข้อเขียนของกาละแมร์ตั้งแต่เรื่องที่หนึ่งและเรื่องต่อๆ มาจะเป็นเสมือน 'ปราสาททราย' อันสวยงามของนักสตรีนิยม (บางคน) ด้วยความเข้าใจผิดแล้วล่ะก้อ ดูเหมือนมันจะมาพังทลายเอาโดยมือน้อยๆ ที่ค่อยๆ ก่อมันขึ้นมาในตอนสุดท้ายนี่เอง ยิ่งไปกว่านั้นหากได้อ่านบทสัมภาษณ์ของเธอที่บอกว่า
"ผู้หญิงถ้าอยู่กับผู้หญิง ก็จะเม้าท์ทุกเรื่อง แฟชั่น ละคร จบเสร็จ เรื่องผู้ชาย มันไม่ใช่สนุกนะ เพราะบางทีมันก็เครียด แต่ผู้หญิงเป็นเพศที่ต้องพูด อาจจะไม่ได้แก้ไขปัญหาหรือได้อะไรเลยจากการพูดกับกลุ่มเพื่อน แต่ได้รู้สึกว่าได้ระบาย การที่ได้เล่าเรื่องความทุกข์ของตนเอง ปัญหาของตนเอง หรือความคิดของตนเอง มันเป็นการระบายอย่างหนึ่ง ถือว่าเป็นการบำบัดในขั้นหนึ่งแล้ว... (ผู้จัดการออนไลน์ 31 ต.ค.2545-เน้นโดยผู้เขียนบทความ)
ที่สุดหนังสือเล่มนี้จึงมิได้เป็นก้อนหินหรือหอกดาบที่พุ่งเข้าใส่ผู้ชาย แต่อาจเป็นได้แค่ 'กระโถน' ของผู้หญิงด้วยกันเท่านั้น .......................................... พิมพ์ครั้งแรก เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 12 ฉบับที่ 559 วันที่ 17 - 23 กพ. 2546
Create Date : 26 มกราคม 2549 |
|
14 comments |
Last Update : 26 มกราคม 2549 17:00:23 น. |
Counter : 2930 Pageviews. |
|
|
|
..... ที่ขายดีอาจเป็นเพราะชื่อเรื่องที่ชวนให้คิดว่าผู้เขียนกบฎต่อแนวคิดทางสังคมและถูกมองในเบื้องต้นว่า"ผู้เขียนเป็นนักสตรีนิยมหรือได้รับอิทธิพลแนวคิดด้านเฟมินิสม์".....ก็น่าจะขอบคุณคนตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ที่ก่อให้เกิด
ความเข้าใจผิดและเกิดแรงจูงใจในการซื้อค่ะ...หุหุหุ....สงสัยอยู่นิดเดียวนะคะ....คนที่ไม่ได้เรียนมาด้านมานุษยวิทยา...จะอ่านงานวิจารณ์ชิ้นนี้อย่างเข้าใจหรือไม่หนอ.....