ฉันฝัน.. กำลังเต้นรำ.. บนหลังคา..

ความฝันที่ใต้หมอน (ตอนที่ 8)

ตอนที่ 8


“โอ๊ย!”

ทอแสงขยับร่างกายที่เคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว เธอยังงงๆ อยู่กับความฝันเมื่อสักครู่ แล้วเตียงนอนเธอน่ะก็สูงไม่ใช่เล่น ได้แต่สงสัยว่าตัวเองดิ้นท่าไหนถึงตกลงมากลิ้งบนพื้นได้ แสงอาทิตย์อ่อนๆ ลอดผ่านเข้ามาทางช่องผ้าม่านบอกว่าเป็นเวลาเช้า สักพักนาฬิกาปลุกก็กรีดเสียงร้องแสบแก้วหู ทอแสงคลานไปปิดนาฬิกาตัวกวนด้วยความหงุดหงิดใจ การนอนดึกบวกกับฝันที่มากมายยุ่งเหยิงทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยอ่อนกว่าทุกเช้า แต่ทอแสงก็จำต้องรีบแต่งตัวอย่างเร็ว เพราะต้องไปให้ทันคนจากสถานทูตที่จะเข้ามารับเอกสารในตอนเช้า

เช้าๆ ของวันศุกร์อย่างนี้ออฟฟิศเงียบแสนเงียบ ทำให้เธอนึกถึงตอนที่เจอกับต้นวันแรก ถ้าวันนั้นเกิดเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ต้นอยู่เฝ้าออฟฟิศล่ะ เธอจะสนิทกับต้นเหมือนกับที่เป็นตอนนี้ไหม ทอแสงคิดพลางต้มน้ำชงกาแฟ แล้วฟุบหน้าลงไปกับเคาน์เตอร์ในครัวระหว่างรอน้ำเดือดด้วยความง่วงงุน

“อ้าว หนูทอแสง เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ” คุณแม่บ้านเก่าแก่ซึ่งโผล่เข้ามาในออฟฟิศเป็นคนที่สองเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นทอแสงฟุบอยู่กับโต๊ะแบบนั้น

“อุ๊ย ป้ารัตน์สวัสดีค่ะ” ทอแสงกระเด้งขึ้นมาอย่างเร็ว พยายามทำหน้าตาให้สดใสที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ หนูง่วงนอนเฉยๆ”

“เห็นเมื่อคืนกลับดึกกันนี่เนอะ เจ้าต้นเขาไปส่งหนูเหรอ”

“ใช่ค่ะ”

“ต้นนี่เขาก็น่ารักนะ ดูแลอย่างกับหนูเป็นน้องสาวในไส้แน่ะ ลูกชายป้านี่ก็ยังไม่เคยเห็นมันรักน้องอย่างนี้เลย”

“แหมป้า ไอ้ต้นมันคิดกับน้องทอแสงอย่างน้องสาวที่ไหนเล่า” พี่อีกคนในออฟฟิศที่ทอแสงเรียกเขาว่าพี่สุดโผล่เข้ามาในออฟฟิศตอนไหนไม่รู้ “อ้าว แล้วนี่ทอแสงเป็นอะไรรึเปล่า หน้าซีดเซียว”

ทอแสงลูบหน้าตัวเอง วันนี้มันประกอบร่างไม่เสร็จจริงๆ นั่นแหละ แต่ยังไม่ทันตอบอะไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ทั้งสามคนหันไปดูที่มาของเสียง

“สวัสดีครับ ผมอานนท์ครับ ติดต่อคุณทอแสงเรื่องรับเอกสารครับ”

“คุณอานนท์จากสถานทูตใช่ไหมคะ เชิญด้านในได้เลยค่ะ” เธอรีบเดินออกไปรับแขก และเชิญให้เขานั่งบนโซฟา พยายามอย่างยิ่งที่จะทำสีหน้าให้ดูไม่เหนื่อยอ่อน เพราะการทำงานในองค์กรนี้ไม่มีเวลาจะมาทำตัวอ่อนแออยู่ได้ อาจารย์พูดไว้ถูกทีเดียวว่าที่นี่ใช้งานเธอเกินความสามารถของเด็กฝึกงานจริงๆ เธอต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เสียชื่ออาจารย์ที่แนะนำเธอมา อีกอย่างหนึ่ง งานนี้ก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดอนาคตของเธอในสายงานวิชาการด้วย

ทอแสงหยิบแฟ้มที่เธอเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนส่งให้อานนท์ แล้วอธิบายรายละเอียดไปทีละข้อๆ ตะกุกตะกักกระท่อนกระแท่นบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่นับว่าเลวร้ายจนเกินไปนัก ถ้าเป็นการนำเสนอรายงานหน้าชั้นเรียนก็ไม่น่าจะต่ำกว่าเกรดบีนั่นแหละ และกว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงเข้าไปแล้ว ทอแสงรู้สึกหวิวๆ เหมือนจะเป็นลมด้วยความที่อดนอนและยังไม่ได้กินข้าว เลยเดินเข้าครัวไปชงกาแฟที่ชงค้างไว้ตั้งแต่เช้ามารองท้องไว้เสียก่อน

แต่ป่านนี้แล้วต้นยังไม่มา ทอแสงอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปดูที่โต๊ะของต้นว่ามีกระเป๋าวางอยู่หรือเปล่า บางทีเขาอาจจะเดินเข้ามาแล้วออกไปเข้าห้องน้ำโดยที่เธอไม่เห็น แต่ก็ไร้วี่แววของต้น เธอเริ่มรู้สึกเป็นห่วงต้นแล้วล่ะสิ เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่านะ ต้นกับเธอก็ง่วงๆ เสียด้วยสิเมื่อคืนนี้

เสียงเอี๊ยดอ๊าดของบันไดไม้ทำให้ทอแสงใจชื้น แต่กลับไม่ใช่ต้นที่ทอแสงหวังว่าจะได้เห็น

“พี่สุ ไอ้ต้นโทร.เข้ามาออฟฟิศเปล่าเนี่ย” ผู้มาใหม่กล่าวประโยคนี้แทนคำสวัสดี

“เปล่า ทำไมเหรอ”

“มันโทร.เข้ามือถือผม ฝากให้ช่วยบอกพี่สุว่ามันวิ่งไปธุระให้เฟย์แถวประตูน้ำ รถติดมากวันนี้ขอไม่เข้า เพราะไม่ได้มีงานค้างอะไรแล้ว แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่โทร.เข้ามาออฟฟิศ”

“เออ แปลกดีวุ้ย ไอ้ต้นเนี่ย”

ทอแสงแอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเงียบๆ โล่งอกที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับต้นอย่างที่เธอนึกกลัว และโล่งอกที่อย่างน้อยเธอก็ยังไม่ต้องเผชิญกับอาการทำหน้าไม่ถูกเวลาที่เจอต้นในยามที่ยังตอบคำถามซึ่งต้นทิ้งไว้เมื่อคืนนี้ไม่ได้ ต้นจะตั้งใจหลบหน้าเธอหรือไม่ ทอแสงไม่อยากคิด


“พี่ไม้ เป็นไงบ้าง” เสียงอ่อนๆ ดังขึ้น พร้อมกับมือนุ่มแตะที่แขนอย่างแผ่วเบา

ร่มไม้พลิกตัวนอนหงาย ใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อระลึกว่าตัวเองหลับยาวอยู่บนโซฟาในห้องแต่งตัวห้องหนึ่งหลังเวที เขายันตัวขึ้น ในหัวยังหมุนติ้ว และหนักราวถ่วงไว้ด้วยก้อนหิน อาการผะอืดผะอมก็ยังไม่หายไป ยังไม่ทันได้พูดอะไร สันต์ก็ยื่นน้ำมาให้แก้วหนึ่งกับยาสองเม็ด ร่มไม้มองหน้ารุ่นน้องเป็นเชิงถาม

“น้ำผึ้งมะนาว กับยาแก้ปวดฮะพี่ ช่วยได้” สันต์กล่าวอย่างผู้เชี่ยวชาญอาการเมาค้าง ร่มไม้รับยามาโยนใส่ปากพร้อมกันสองเม็ด แล้วดื่มน้ำที่สันต์ยื่นให้

“กี่โมงแล้วเนี่ย”

“ก็ได้เวลาแต่งตัวแล้วล่ะฮะ สามโมงพอดี ไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อยไหมพี่ หรือจะเอาน้ำส้มน้ำมะนาวเพิ่ม เดี๋ยวสันต์ไปซื้อให้”

ร่มไม้ส่ายหน้า แต่ยังนั่งซึมอยู่บนโซฟา

“เฮ้อ ไอ้โรจน์นะไอ้โรจน์ ทำกับพี่ไม้อย่างนี้ได้ไงก็ไม่รู้” สันต์ทำท่าหนักใจราวกับว่าเป็นปัญหาของตัวเอง “แล้วแถมยังเลือกให้เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อีกต่างหาก ไม่คิดเลยเหรอว่าการแสดงวันนี้น่ะมันสำคัญสำหรับพี่ไม้ขนาดไหนน่ะ”
“ช่างมันเถอะสันต์ จะเกิดเมื่อคืนหรือเมื่อไหร่ ยังไงมันก็ต้องเกิดอยู่ดี” ร่มไม้รีบตัดบท เพื่อไม่ให้สันต์พล่ามต่อในสิ่งที่ร่มไม้อุตส่าห์ดื่มเพื่อให้ลืมมันไปเสีย

“อุ๊ยพี่ สันต์ขอโทษฮะ” สันต์เพิ่งรู้สึกตัว

“ไม่เป็นไรหรอก อย่าพูดถึงเขาอีกแล้วกัน เดี๋ยวพี่ออกไปเดินเล่นข้างนอกแล้วจะไปแต่งตัวแล้วล่ะ ยังไงก็ขอบใจเรามากนะ” ร่มไม้ฝืนยิ้มให้ ทั้งที่ยังคงหนักอึ้งไปทั้งกายและใจ สังคมแบบของเขาหาคนจริงใจต่อกันยากแสนยาก แต่เขาต้องฝืนยืนขึ้นให้ได้ เพราะหากแม้แต่ยืนยังยืนไม่ได้ แล้วในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ เขาจะเต้นได้อย่างไรเล่า


ห้องโถงโล่งกว้างบัดนี้เต็มไปด้วยพ่อแม่และเพื่อนฝูงที่มาชมการแสดงของนักศึกษาปีสี่ ศลกำลังวุ่นวายกับการรับแขกและการสั่งการให้นักเรียนของเขาอำนวยความสะดวกให้อย่างดีที่สุด การแสดงคราวนี้นอกจากจะถือเป็นการสอบแล้ว ยังถือเป็นการคัดตัวกลายๆ ด้วย ศลเป็นคนมีฝีมือและกว้างขวางพอที่จะเชิญคณะบัลเล่ต์และคณะเต้นอื่นๆ มาชมการแสดงครั้งนี้ได้ และหากลูกศิษย์ของเขาเต้นได้เข้าตาก็จะได้รับเชิญให้ไปเป็นนักเต้นของคณะนั้นๆ จะ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ก็แล้วแต่ตกลง และตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็กำลังประกาศให้เข้าสู่ภายในหอประชุมได้แล้ว เพราะการแสดงกำลังจะเริ่มในอีก 10 นาทีข้างหน้า

“ไอ้ไม้มันหายหัวไปไหนของมันวะ” ต๊ะซึ่งกำลังจะถึงคิวต้องเต้นถามหาเพื่อนสนิทอยู่บริเวณหลังเวทีด้วยความร้อนรน

“อยู่นี่ๆ มาแล้ว” ร่มไม้วิ่งเข้ามาพอดี

“ตูดหมึกเอ๊ย แกหายไปไหนมา แล้วนี่เป็นไงบ้าง หายแฮงค์ยัง” ต๊ะแทบจะจับเพื่อนเขย่า

“ไม่หายก็ต้องหาย เพราะมีดับเบิ้ลทัวร์อองแลที่ต้องทำ” ศลให้ร่มไม้ทำท่ากระโดดหมุนสองรอบกลางอากาศ ซึ่งต้องใช้เทคนิคและสมาธิค่อนข้างสูงทีเดียว

การแสดงของต๊ะผ่านไปด้วยดี ร่มไม้สะบัดมือสะบัดขาเพื่อให้ร่างกายตื่นตัว ไม่นานต๊ะก็วิ่งเข้ามาหอบแฮ่ก ตบฝ่ามือกับเขาเบาๆ เหมือนเด็กเล่นวิ่งเปี้ยว และเมื่อได้ยินเสียงประกาศชื่อชุดการแสดงของเขา เขาก็ยกมือขึ้นประนมสูงรำลึกถึงครูบาอาจารย์ รวบรวมสติให้อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วก้าวออกสู่สายตาคนดูงามสง่าเช่นที่เคยเป็น สมกับที่ศลเลือกให้เขาเป็นผู้แสดงคนสุดท้าย และปิดฉากการแสดงของนักศึกษาปีนี้อย่างประทับใจที่สุด

แต่ความเป็นจริงแล้ว แสงไฟทำให้เขาปวดตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเห็นโต๊ะคณะกรรมสอบตั้งอยู่ติดกับแถวที่นั่งของบรรดาคณะเต้นจากประเทศต่างๆ ที่ได้รับเชิญมาชมการแสดง พ่อแม่เขาอยู่แถวถัดไป ช่วยไม่ได้ที่เขาเห็นที่นั่งถัดจากพ่อของเขาไปสองตัวนั้นว่างเปล่า ตรงนั้นคือที่ที่โรจน์ควรจะมานั่งอยู่ไม่ใช่หรือหากไม่ได้เกิดเรื่องแบบเมื่อคืนนี้ขึ้น

ร่มไม้หมุนพิโรเว็ตสี่หรือห้ารอบเขาไม่เคยนับ เพราะคิดเพียงแค่ต้องทรงตัวบนขาเดียวให้ได้ แล้วปล่อยให้ศีรษะสะบัดเพื่อให้ร่างกายหมุนไปเหมือนลูกข่าง เขาอาศัยจังหวะนี้สะบัดหน้าไล่ภาพเก้าอี้ว่างเปล่าตัวนั้นออกไป แล้วย่อเข่าลงเพื่อกระโดดดับเบิ้ลทัวร์อองแล แต่คงเพราะอาการเมาค้างยังไม่หายดีอีกทั้งยังเสียสมาธิไปกับเรื่องของโรจน์ ทำให้ร่มไม้เสียหลักในจังหวะตอนที่จะกระโดดขึ้น น้ำหนักที่ผิดพลาดทำให้เกิดแรงกดทับที่ช่วงขาและเข่าขวาอย่างแรก แต่นี่เป็นท่าจบ และเป็นท่าโชว์ที่เขาต้องทำ เขาฝืนใช้แรงเฮือกสุดท้ายส่งตัวขึ้นกลางอากาศ เพื่อนๆ หลังเวทีร้องอุทานออกมาเกือบจะพร้อมกัน แต่ถูกกลบด้วยเสียงปรบมือที่ดังขึ้นกราวใหญ่เมื่อร่มไม้ลงมาจบด้วยท่านั่งคุกเข่าได้อย่างสวยงาม และค้างเนิ่นานอยู่ในท่านั้น จนกระทั่งม่านรูดปิดลงเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าการแสดงสิ้นสุดลงแล้ว

แต่ทันทีที่ม่านหนาหนักผืนนั้นปิดสนิทลง ร่มไม้ก็ทรุดลงไปกองกับพื้น ต๊ะรู้สึกตัวก่อนใครเพื่อน รีบวิ่งเข้าไปดู พลางตะโกนสั่งรุ่นน้องให้ไปหาผ้าขนหนูกับน้ำแข็งมา เพราะจากที่ดูอยู่เมื่อกี้ ต๊ะเดาได้เลยว่าร่มไม้เข่าพลิกแน่ๆ แต่จะรุนแรงแค่ไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ศลโผล่เข้ามาหลังเวทีตอนที่เพื่อนๆ กำลังพยุงตัวร่มไม้ไปพักในห้องแต่งตัวพอดี

“ร่มไม้เป็นอะไร ครูเห็นเปลี่ยนท่าจบด้วย แถมรอตั้งนานเราไม่ลุกขึ้นโค้งสักที เลยต้องสั่งปิดม่าน ครูรู้เลยว่าเธอต้องบาดเจ็บอะไรสักอย่างแน่ๆ” ศลถามเมื่อเห็นร่มไม้นั่งบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว ต๊ะกับสันต์เด็กปีสองกำลังช่วยกันปฐมพยาบาลด้วยการห่อน้ำแข็งในผ้าขนหนูแล้วประคบที่บริเวณหัวเข่า

“ผมขอโทษครับครู รู้สึกเส้นพลิกตั้งแต่ก่อนกระโดดแล้ว เลยจบท่ายืนแบบที่ซ้อมมาไม่ได้”

“แล้วนี่เป็นอะไรมากรึเปล่า” ศลถามด้วยความห่วงใย พร้อมกับนั่งยองๆ ดูอาการของร่มไม้ “ถ้าไม่บวมมากไปกว่านี้ก็น่าจะแค่เส้นพลิกเฉยๆ แต่มีอะไรขาดหรือหักมันจะบวมมาก ตอนนี้เอาผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งผูกขาไว้ แล้วนอนนิ่งๆ ไปก่อน”

“ครับ” ร่มไม้หน้าเซียวด้วยความปวดที่เริ่มทวีขึ้น เขากัดฟันและหลับตาลง


(โปรดติดตามตอนต่อไป)




 

Create Date : 01 กันยายน 2552
3 comments
Last Update : 26 ธันวาคม 2552 11:36:24 น.
Counter : 249 Pageviews.

 

ตามมาอ่านค่ะ อ่านคร่าวๆ แล้วน่ารักจัง

เสียดายเวลาตัวเองมีน้อยจัง อยากย้อนกลับไปอ่านละเอียดตั้งแต่บทแรก

แอบขอแอด และปะโป้ง แช่อิ่มไว้หน่อยนะคะ

 

โดย: พรายทราย 1 กันยายน 2552 18:06:19 น.  

 

ตามติด ค่ะ ตามติด
รออยุ่นะคะ

 

โดย: nu IP: 128.40.80.70 1 กันยายน 2552 19:52:34 น.  

 

รีบๆอัพนะคะ รออยู่ค่ะ ชอบมากๆ ฮ่าๆๆๆๆ :D

 

โดย: มาย IP: 124.121.240.174 2 กันยายน 2552 1:41:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


วิปุลา
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เต้นมา 19 ปี
เล่นดนตรีมา 18 ปี
(ขอ) เขียนหนังสือมา 10 ปี


สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด


ความฝันที่ใต้หมอน

เพราะกาลเวลาย้อนกลับไม่ได้ ความฝันจึงยังคงเป็นได้เพียงความฝัน และบางครั้งเงื่อนไขในชีวิตก็ทำให้เราต้องทิ้งร้างความฝันนั้นไว้ และซ่อนมันเอาไว้ในที่ที่มองไม่เห็น จนกระทั่งวันหนึ่งก็เรียนรู้ที่จะลืมความฝันที่ซุกไว้ใต้หมอนนั้นไปได้ในที่สุด

แต่กระนั้น สิ่งที่ถูกลืมเลือน ใช่จะเป็นสิ่งที่เลือนหาย ความฝันนั้นจึงยังคงรอให้ถึงวันที่เราจะไปค้นมันเจออีกครั้ง
Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
1 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add วิปุลา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.