ฉันฝัน.. กำลังเต้นรำ.. บนหลังคา..

ความฝันที่ใต้หมอน (ตอนที่ 25)

ตอนที่ 25

สนามบินผู้คนพลุกพล่าน สันต์นั่งรอร่มไม้อยู่ใกล้ประตูทางเข้า เขาประหม่าเกินกว่าจะเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับคณะนักเต้นที่ยืนรอกันอยู่ตรงเคาน์เตอร์เช็คอิน เพียงไม่นาน ร่มไม้และต๊ะก็เดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้ามา

“พี่ไม้”

เขาหันไปตามเสียงเรียก

“อ้าวสันต์ ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ นู่นแน่ะ เขารวมกันอยู่ตรงนู้น” ร่มไม้ชี้ไปยังฟากตรงข้ามของจุดที่เขายืนอยู่

“ผมเห็นแล้วล่ะพี่ แต่ผมอยากให้ของขวัญพี่ไม้ก่อนจะเข้าไป”

ต๊ะหันมาทำปากพะงาบๆ บอกร่มไม้ว่าจะเดินไปก่อน ร่มไม้ยกมือเป็นเชิงว่ารับรู้ ต๊ะจึงลากกระเป๋าเดินทางไปหากลุ่มนักเต้นซึ่งยืนรออยู่อีกฟาก ทิ้งให้ร่มไม้และสันต์อยู่ด้วยกันตามลำพัง

“สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าสามวันนะฮะ” สันต์ยื่นกล่องของขวัญกล่องไม่ใหญ่นักให้ร่มไม้ เขารับมาพร้อมกล่าวคำขอบคุณ

“พี่ไม้เปิดดูสิฮะ ผมอยากให้พี่ไม้ได้เอาไปใช้ที่สิงคโปร์”

“หืม...” ร่มไม้เลิกคิ้วถามยิ้มๆ “ซื้ออะไรมาให้พี่เนี่ย”

กระดาษห่อของขวัญถูกแกะออก สันต์ยิ้มร่าเมื่อร่มไม้ดึง ‘ของขวัญ’ ที่อยู่ในกล่องออกมา

“ชอบมั้ยฮะพี่ไม้”

“สันต์” เขาร้องเมื่อเห็นของขวัญในมือ มันเป็นกล้องดิจิตอลยี่ห้อดังตัวจิ๋วดีไซน์สวย “สันต์ซื้อมาได้ยังไง แพงจะตาย”

“แต่พี่ไม้ฮะ... มันไม่เป็นไรหรอกฮะ ผมอยากให้พี่ไม้ได้ถ่ายรูปสวยๆ ที่สิงคโปร์กลับมา รุ่นนี้ดีนะฮะ น้ำหนักเบา ความจำสูง ถ่ายวิดีโอได้ด้วย เมื่อคืนผมชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มแล้ว พี่ไม้ใช้ได้ถึงพรุ่งนี้ทั้งวันเลยฮะ”

“สันต์... คือ... พี่ขอบใจเรามากนะ แต่พี่ว่ามันแพงเกินไป พี่รับไว้ไม่ได้หรอก” เสียงร่มไม้เป็นกังวล

“ได้สิฮะ ก็ผมให้แล้วนี่” น้ำเสียงนั้นดื้อดึง ก่อนจะรู้สึกตัวเมื่อร่มไม้เงยหน้าขึ้นมอง จึงกลายเป็นการอ้อนวอนทั้งน้ำเสียงและสีหน้า

”พี่ไม้ฮะ ผมตั้งใจเลือกมาเลยนะฮะ ได้โปรดรับไว้เถอะ ถ้าพี่ไม้ไม่รับ ผมคงยิ่งไม่สบายใจ”

ร่มไม้ถอนใจยาว มองกล้องถ่ายรูปในมือแล้วพยักหน้า

“เอ้า ตกลงจ้ะ พี่ขอบใจเรามากเลยนะ แต่.. สันต์ครับ จริงๆ แล้วสันต์ไม่ต้องซื้อของขวัญราคาแพงขนาดนี้หรอกนะ เพราะพี่เองก็ลำบากใจที่จะรับ แต่ในเมื่อเป็นความตั้งใจของเรา พี่ก็จะรับไว้ด้วยความขอบคุณ แต่คราวหน้าอย่าเลยนะ เปลืองตังค์เปล่าๆ”

“ฮะ พี่ไม้”

ร่มไม้เอื้อมมือมาขยี้หัวสันต์เบาๆ แบบที่เขาชอบทำบ่อยๆ ดูเผินๆ แล้วเหมือนพี่ชายและน้องชายคุยกัน



แม้จะนั่งอยู่ห่างไปอีกฝั่งหนึ่ง แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะหลบสายตาคนกลุ่มใหญ่พ้น

“แหม สวีทกันจริงนะคู่นั้นน่ะ” ภูมิพูดขึ้น

“หืม.. พี่ภูมิพูดถึงใคร” ปลาถามขึ้น เธอกำลังก้มหน้าก้มตาพยายามจะรูดซิปกระเป๋าเดินทางอยู่ ทอแสง นุ่น และต้นที่กำลังช่วยกันนั่งทับกระเป๋าของปลาเพื่อให้สามารถปิดได้ก็พลอยหันมามองภูมิด้วย

“นู่น” ภูมิบุ้ยปากไปยังฝั่งตรงข้าม “ไอ้ไม้กับไอ้สันต์ ไอ้เจ้านี่มันติดไม้ชิบเป๋ง”

“โธ่ นึกว่าอะไร พี่ภูมิก็ ไปแซวเขา ก็ไม่ได้เจอกันมานานนี่นา เสียดาย สันต์มันเกิดผิดเพศ ไม่งั้นแต่งงานมีลูกกันไปแล้ว” ปลาพูดปนหัวเราะเมื่อหันไปมอง

“ไม่มีทางหรอกจ้า” ใครบางคนยื่นหน้าเข้ามาแทรก “ถ้าสันต์เป็นผู้หญิง พี่ไม้ก็คงจะไม่สนใจหรอก เขาจะหันมาหาฉันต่างหากล่ะ” เสียงหัวเราะดังครืนขึ้นมาอีก แล้วก็ไม่มีใครสนใจอะไรอีก ปลาหันกลับมาจัดการกับกระเป๋าตรงหน้าต่อ

“โอ้ย กว่าจะปิดลง เธอว่าซิปจะแตกมั้ยเนี่ย”

“ไม่แตกหรอกพี่ปลา” นุ่นตอบเสียงเบา ทั้งๆ ที่สายตาเธอไม่ได้อยู่ที่กระเป๋าแม้แต่น้อย มันกำลังจับจ้องอยู่ที่คนสองคนที่เห็นอยู่ไกลๆ นั่นต่างหาก จริงๆ แล้วเธอก็ไม่ได้ตกใจอะไรหรอก เพราะภาพยิ่งกว่านี้เธอก็เคยเห็นมาแล้ว แต่เพื่อนของเธอล่ะ นุ่นนึกห่วง โดยที่ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนทุกครั้งว่าเธอเป็นห่วงทำไม เธอเหลือบมองเพื่อน ใบหน้านั้นยังเรียบเฉย ...เรียบ ออกจะเกินไปด้วยซ้ำ

“อะไรนะ” ปลาพูดพลางตรวจดูความเรียบร้อยของกระเป๋าที่มีของอัดอยู่เต็มแน่นนั้นอีกที

“ผมว่าไม่น่าจะมีปัญหาหรอกครับ” คราวนี้ต้นตอบให้ ปลาจึงเงยหน้าขึ้นจากกระเป๋า

“ขอบใจมากจ้ะ”


ภูมิก้าวเข้ามาลากกระเป๋าของปลาไปรวมกันในบริเวณที่จะเช็คอิน พร้อมๆ กับที่ร่มไม้ลากกระเป๋าเดินเข้ามารวมกลุ่ม

“นึกว่าจะเปลี่ยนใจไม่ไปซะแล้ว กะหนุงกะหนิงกันนานเกิ๊น..” ต๊ะเหน็บเมื่อเห็นหน้าเพื่อน แต่ร่มไม้ไม่สนใจ เพราะหันไปเห็นนุ่นและทอแสงพอดี

“อ้าว สวัสดี”

“มาส่งจ้า” นุ่นเป็นคนพูด ทอแสงพยายามยิ้มให้ แต่ยิ้มนั้นดูเรี่ยๆ พิกล แม้ว่า ‘เรื่องนั้น’ จะจบลงไปแสนนานเต็มทีแล้ว ล่วงเลยมาถึงวันนี้ มันก็กลายเป็นเพียงเรื่องที่เอาไว้อมยิ้มเมื่อย้อนกลับไปนึกถึงเท่านั้นเอง คงตลกดี หากเธอจะมานั่งสะเทือนอกสะเทือนใจกับสิ่งที่เธอเพิ่งจะได้รู้..

เพิ่งจะได้รู้เหรอ ไม่สิ.. เธอรู้มานานพอสมควรแล้วนี่นา ว่าเพื่อนเธอคนนี้มีใครนั่งอยู่ในหัวใจเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่คนคนนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดก็แค่นั้นเอง

ก็ร่มไม้เขาจะเป็นอย่างไรหรือเป็น ‘อะไร’ มันก็เรื่องของเขา แล้วเธอจะไปเกี่ยวไปรู้สึกรู้สาอะไรด้วยเล่า

..และอีกอย่างหนึ่ง ต้นก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน..


เมื่อนำกระเป๋าเข้าเช็คอินไปเรียบร้อย ทั้งกลุ่มก็เคลื่อนขบวนเพื่อที่จะผ่านเข้าไปยังบริเวณของผู้โดยสารขาออก ทอแสงและนุ่นเดินเคียงคู่ไปกับปลา ปล่อยให้ต้นและภูมิเดินพูดคุยกัน เมื่อถึงประตูทางเข้าปลาก็หันมาบอกกับคนที่เป็นทั้งเพื่อนและทั้งน้อง

“ขอบใจมากๆ เลยนะที่อุตส่าห์มาส่ง”

“ขอให้สนุกนะพี่ปลา กลับมาแล้วจะกลับเชียงใหม่เลยรึเปล่า หรือว่าแวะไปหาครูเอมก่อน” ทอแสงถาม

“ต้องไปหาครูก่อนแน่ๆ อยู่แล้ว เพราะพี่กับพี่ภูมิมีธุระสำคัญต้องเรียนเชิญครู” ปลาพูดยิ้มๆ พร้อมกับโชว์แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายให้ดู และนุ่นก็เข้าใจได้ในทันที

“พี่ปลา...” เธอตาโต แล้วหันไปมองภูมิที่เดินรั้งท้ายอย่างตื่นเต้น “โอ้ว... ดีใจด้วยนะคะ เมื่อไหร่นี่”

“อย่าเสียงดังไปนุ่น ในนี้ยังไม่มีใครรู้เลย มีเธอสองคนนี่แหละรู้ก่อน ขออุบไว้บอกหลังแสดงเสร็จดีกว่า”

“หมายถึงพี่ปลากับพี่ภูมิจะแต่งงานแล้วเหรอ” เธอถามเสียงเบา ทอแสงเพิ่งจะตามเพื่อนทันในตอนนี้เอง

“อื้ม ใช่” แววตาของปลามีรอยยิ้ม “อีกสองเดือนน่ะ รอรับการ์ดได้เลย”

ทอแสงคว้ามือของปลามาบีบไว้ด้วยความตื่นเต้น

“โอ.. พี่ปลา ดีใจด้วยนะ การแสดงคราวนี้ต้องสุดยอดมากแน่ๆ เลย”

“พี่ก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้นแหละ ขอบใจมากนะ ทั้งสองคนเลย”


อาจจะเป็นเพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับข่าวดีของภูมิและปลา ทำให้เธอลืมเข้าไปกล่าวคำอำลากับร่มไม้ พร้อมทั้งบอกเขาว่าขอให้โชคดี แต่ก็ช่างมันเถอะ ก็นั่นไงล่ะ เด็กหนุ่มคนนั้น ..สันต์.. ก็ยืนอยู่เคียงข้างเขาทั้งคน ก็อาจจะช่วยบรรเทาความไม่สบายใจหรืออาการใดๆ ก็ตามของร่มไม้อย่างที่ต๊ะบอกเธอไว้ลงได้บ้างกระมัง

แต่กระนั้น ความผิดหวังเร้นลับบางอย่างที่กัดกินพื้นที่ของความรู้สึก มันเป็นเพราะอะไรกันเล่า ทอแสงตอบตัวเองไมได้ เพราะภาพฝันเก่าๆ มันเลือนรางเสียจนเธอลืมไปแล้วว่ามันเคยมีอยู่ จนกระทั่งวันที่มันต้องแตกสลายลงไปนั่นแหละ ถึงจะได้รู้ตัวว่ามันยังคงอยู่ และมีเพียงความหวังอันเลื่อนลอยที่คอยหล่อเลี้ยงมันไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งหยดน้ำสุดท้ายของบ่อน้ำแห่งความหวังนั้นก็จะระเหยหายไป

และภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเป็นปกตินั้น หัวใจของเธอกลับแห้งผากดุจทะเลทราย

ก็ใครเล่าจะไปคาดคิด ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีเมื่อสี่ปีที่แล้วนั้น มันคือเยื่อใยบางๆ ระหว่างเธอและเขาที่กลายเป็นสายใยเหนียวแน่นที่ยึดโยงเธออยู่กับโลกของบัลเล่ต์ และความภูมิใจในฐานะบัลเลอริน่าผู้สวยสง่ากับความสุขใจในฐานะ ‘ผู้หญิง’ ของร่มไม้ ที่เขาจะคอยให้การปกป้องดูแลและทะนุถนอมเธอนั้น ก็กลายเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออกไปด้วย

...เลิกฝันเสียทีทอแสงเอ๋ย... เธอกระซิบบอกตัวเอง


คณะนักเต้นชาวไทยมาถึงสนามบินสิงคโปร์ตามกำหนดเวลา หลังจากเช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว คุณทีน่าก็แจ้งกำหนดการการซ้อมและแสดงทันที

“จากเดิมที่แจ้งไว้ว่า เราจะมีการซ้อมใหญ่กันสองรอบนั้น คุณนูเทรอฟแจ้งมาว่าจะขอเพิ่มการซ้อมรอบเทคนิคัลเพิ่มอีกหนึ่งรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่มีปัญหาเรื่องแสงและเสียงนะคะ การซ้อมรอบนี้เนี่ย นักแสดงทุกคนไม่ต้องเต้นเต็มที่ก็ได้ แต่ว่าต้องใส่ชุดจริงเพื่อมาลองกับไฟนะคะ” คุณทีน่าประกาศ

“พรุ่งนี้เราจะต้องทำงานหนักกันสักหน่อย เราจะออกจากที่นี่ไปโรงละครกันตอนสิบโมงตรงนะคะ เริ่มวอร์มอัพ และทำคลาสตอน 11 โมง แล้วซ้อมใหญ่รอบแรก หลังจากนั้นพักกลางวัน ทำคลาสเพื่อวอร์มร่างกายอีกครั้งตอน 3 โมง เพื่อซ้อมรอบที่ 2 นะคะ” คุณทีน่ากล่าวย้ำกำหนดการซ้อมอีกครั้งก่อนย้ำว่า

“คืนนี้ ทุกคนต้องพักผ่อนให้เพียงพอนะคะ ดิฉันไม่อยากเห็นใครบาดเจ็บในวันพรุ่งนี้ แล้วพบกันในตอนเช้าค่ะ”

ทุกคนรับคำ แล้วลากกระเป๋าเข้าสู่ห้องพัก ร่มไม้ ต๊ะ และภูมิแยกเข้าไปยังห้องแรกสุดทางขวามือ เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป ต๊ะก็เป่าปากดังหวือ

“โรงแรมห้าดาวนี่อะไรๆ ก็สวยไปหมดจริงๆ” ต๊ะ พูดพร้อมกับแผ่ตัวนอนหราลงไปบนเตียงที่ยวบลงไปตามน้ำหนักตัวของต๊ะ แล้วก็คืนตัวกลับมาในจังหวะต่อมา แสดงถึงคุณภาพของเตียงชั้นดี

“ขอใช้สิทธิความเป็นรุ่นพี่อาบน้ำก่อนนะ” ภูมิพูดพร้อมยักคิ้ว แล้วคว้าชุดนอนหายเข้าห้องน้ำไป

“คร้าบบบบบ รุ่นพี่” ต๊ะตอบด้วยเสียงล้อเลียน ร่มไม้หันไปรื้อของในกระเป๋าเดินทาง

“นี่แกรักษาอาการเซ็งโลกยังไม่หายอีกเหรอ” ต๊ะพูดขึ้นเมื่อเห็นอาการ ‘นิ่งบื้อ’ ของร่มไม้

“แกเอาอะไรมาตัดสินว่าฉันเซ็งโลกวะ ไอ้ต๊ะ” ร่มไม้พูดขึ้นเป็นประโยคแรกนับจากออกจากประเทศไทย

“ก็แกมัวแต่นั่งอมน้ำลาย ไม่พูดไม่จา ทำหน้าซังกะตาย ตอนเต้นก็ดูไม่เต็มที่เท่าตอนที่แกกลับมาใหม่ๆ เลยว่ะ อากาศบ้านเรามันร้อนไปหรือไง”

“อย่างงั้นมั้ง” ร่มไม้รับคำเอาเสียดื้อๆ

“ซะงั้นน่ะ พูดอะไรมั่งสิเว้ย คือไม่สบายใจอะไรก็บอกกันได้ ไม่ใช่เก็บไปนั่งคิด นั่งปวดหัวอยู่คนเดียว ฉันไม่ชอบเห็นแกมีปัญหาว่ะไอ้ไม้ พูดตรงๆ ว่าเป็นห่วงนะเว้ย”

ร่มไม้ยิ้มให้เพื่อนซี้ เอื้อมมือไปตบบ่าพลางสายหน้า

“เออ ขอบใจ ฉันไม่เป็นไรหรอก ช่วงนี้ซ้อมเยอะ มันก็เลยเหนื่อย ก็แค่นั้นเอง”

“เฮ้อ... แกคิดว่าฉันไม่รู้จักแกหรือไงวะ ฉันจะไม่รู้เชียวเหรอว่าเวลาที่แกเต้นแล้วแกเหนื่อยเนี่ย แกเป็นยังไง” ต๊ะจ้องหน้ายิ้มๆ ของคนเป็นเพื่อน แล้วพูดต่อ

“แกไม่ต้องมายิ้มเลยไม้ แกจะทำเข้มแข็งต่อหน้าใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ฉัน แกหลอกฉันไม่ได้หรอก”

“ฉัน.....” ร่มไม้ระบายลมหายใจยาว พลางคิดว่าจะบอกต๊ะอย่างไรดีถึงความรู้สึกที่อยู่ข้างใน ก็แม้แต่ตัวเขาเองนั้น เขายังไม่รู้จะอธิบายให้ตัวเองเข้าใจได้ยังไงเลย

“มันเบื่อๆ ยังไงก็ไม่รู้ว่ะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน”

“แกทะเลาะอะไรกับสันต์รึเปล่า” ต๊ะตะแคงหน้าถามเพื่อน

“ไอ้บ้านี่ กลัวฉันจะเมาแอ๋เหมือนตอนนู้นเหรอไง ไม่มีทางแล้วเว้ย เดี๋ยวนี้ฉันฉลาดแล้วน่ะ อย่ามาห่วงเลย”

“เออๆๆ ไม่ห่วงก็ไม่ห่วง” ปากบอกไม่ห่วง แต่ใจของคนเป็นเพื่อนนั้นก็ยังอดกังวลไม่ได้ ภูมิอาบน้ำเสร็จพอดี ร่มไม้จึงขอตัวไปอาบน้ำบ้าง

“เขาเป็นอะไรของเขาน่ะ” ภูมิถามเอากับต๊ะ ขณะเอาผ้าเช็ดขนหนูขยี้หัวที่ยังเปียกชื้น

“พี่ก็เห็นเหมือนผมใช่เปล่า ว่ามันดูแปลกๆ ไปน่ะ ช่วงนี้”

ภูมิพยักหน้า แล้วกล่าวเสริมประโยคเดียวกับที่อยู่ในใจของต๊ะ

“ตั้งแต่ที่ทอแสงเขากลับไปเรียนหนังสือนั่นแหละ”

“พี่ก็คิดอย่างงั้นเหมือนกันเหรอ ผมก็คิดแต่ผมไม่กล้าพูด กลัวมันจะด่าเอา”

“อย่าไปพูดแหละดีแล้ว พี่ว่าตอนนี้ไม้มันกำลังสับสน มันคงยังไม่อยากคุยกับใครหรอก”

“แล้วมันจะเป็นไปได้เหรอพี่ ที่มันจะ ง่า... กลับมาชอบผู้หญิงน่ะ”

“มันก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่แกต้องเข้าใจอารมณ์ของคนเต้นคู่กัน บทมันจะคลิกกันขึ้นมาแล้วล่ะก็ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ”

“ฮั่นแน่! อย่างพี่พี่ภูมิกับพี่ปลาใช่มั้ยล่ะ” ต๊ะทำเสียงล้อเลียนอย่างรู้ทัน

“อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง” คนเป็นรุ่นพี่ดุ “ถ้าสิ่งที่เราสงสัยมันเกิดเป็นจริงขึ้นมาแล้วล่ะก็... เฮ้อ...”

เป็นอีกครั้งที่ภูมิถอนใจยาว

“เราน่ะ เตรียมดูแลเพื่อนไว้ดีๆ เถอะ” ภูมิกล่าวได้แค่นั้น คนถูกกล่าวถึงก็เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ บทสนทนาจึงหยุดลงเพียงแค่นั้น

(โปรดติดตามตอนต่อไป)




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2553
0 comments
Last Update : 4 กรกฎาคม 2553 22:58:35 น.
Counter : 398 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


วิปุลา
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เต้นมา 19 ปี
เล่นดนตรีมา 18 ปี
(ขอ) เขียนหนังสือมา 10 ปี


สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด


ความฝันที่ใต้หมอน

เพราะกาลเวลาย้อนกลับไม่ได้ ความฝันจึงยังคงเป็นได้เพียงความฝัน และบางครั้งเงื่อนไขในชีวิตก็ทำให้เราต้องทิ้งร้างความฝันนั้นไว้ และซ่อนมันเอาไว้ในที่ที่มองไม่เห็น จนกระทั่งวันหนึ่งก็เรียนรู้ที่จะลืมความฝันที่ซุกไว้ใต้หมอนนั้นไปได้ในที่สุด

แต่กระนั้น สิ่งที่ถูกลืมเลือน ใช่จะเป็นสิ่งที่เลือนหาย ความฝันนั้นจึงยังคงรอให้ถึงวันที่เราจะไปค้นมันเจออีกครั้ง
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
1 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add วิปุลา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.