Learn to Live Your Purpose.
|
||||
ใครจะไปเคยคิดว่าจริงๆแล้วการเป็นนักวิจัยเนี่ยมันก็ต้องอาศัยความกล้า ไม่ต่างอะไรกับการเป็นนักธุรกิจหรือนักการเมือง ใครจะไปเคยคิดว่าจริงๆแล้วการเป็นนักวิจัยเนี่ยมันก็ต้องอาศัยความกล้า ไม่ต่างอะไรกับการเป็นนักธุรกิจหรือนักการเมือง ต้องเข้ามาอยู่ในวงการแล้วถึงรู้ว่า มันต้องอาศัยความกล้ามากขนาดไหนในการที่จะเลือกทำวิจัยตามสิ่งที่เราสนใจ สิ่งที่เราเห็นว่ามีความหมาย ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ดูไม่มีค่าไม่คุ้มกับเวลาในมุมมองของคนอื่นเลยก็ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนในวงการเดียวกัน ก็ดูจะไม่เข้าใจกันสักเท่าไหร่หรอกนะว่าสิ่งที่เราเห็นว่่าสำคัญขนาดน่าจะใช้เวลาเป็นปีๆศึกษา สำหรับคนอื่นแล้วมันอาจจะดูเป็นการเสียเวลาซะเปล่าๆ ซึ่งมันก็ไม่ผิดอะไรหรอก เราเองก็เป็นเหมือนกัน มันเป็นธรรมชาติของคนน่ะที่จะรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าสำคัญนั้นมันสำคัญกว่าสิ่งที่คนอื่นเขาเห็นว่าสำคัญ ซึ่งเราก็ไปบังคับคนอื่นไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เราเคยคิดว่าการทำวิจัยก็คือเลือกศึกษาในสิ่งที่ตัวเองสนใจ ถ้าเราทำให้คนอื่นเห็นประโยชน์ได้หรือว่าทำให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ก็คงดี แต่ถ้าไม่มีใครเห็นด้วย ก็ไม่เป็นไร เราถือว่าเราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว ไม่แน่ว่าในวันข้างหน้า สิ่งที่เราทำอาจมีประโยชน์เข้าสักวันหนึ่งก็ได้ เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเมื่อก่อนเรามองโลกในแง่ดีเกินไป ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ถ้าเป็นคนรวยแล้วอยากทำวิจัยอะไรก็ทำไป สนใจอะไรก็ทุ่มไป ใครจะไปว่า แต่ถ้าเราเป็นคนธรรมดา เราต้องทำให้คนอื่นเขาเห็นด้วยว่าสิ่งที่เราคิดว่าสำคัญมันสำคัญอย่างไง ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนมาทำวิจัยกัน ซึ่งก็ยอมรับได้นะ ในโลกของความเป็นจริง จะมีสักกี่คนที่ได้ค้นคว้าในสิ่งที่ตัวเองสนใจโดยไม่มีข้อจำกัด แต่โลกแห่งความจริงก็ทำให้โลกแห่งความรู้ดูเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับการต่อสู้เลย เพิ่งเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเรียกนักวิจัยว่านักวิชาการ เพราะว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เราทำก็คือการยืนหยัดในสิ่งที่เราเชื่อว่าดี เชื่อว่ามีประโยชน์ เชื่อว่ามีคุณค่าต่อสังคมหรือมนุษยชาติ และทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ การหาทุนมาศึกษาก็ต้องแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำมันสำคัญอย่างไร ไม่ว่าจะทำอะไรเราต้องยืนหยัดและเชื่อในสิ่งที่ทำเรา ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเห็นด้วยก็ตาม มันก็ถือว่าบ้า ไม่แพ้นักธุรกิจหรือนักการเมืองไหมล่ะ ที่ต้องยืนหยัดเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ ถึงแม้ว่าคนอื่นจะต่อต้านแค่ไหนก็ตาม ไม่เคยนึกว่าตัวเองจะต้องเป็นคนกล้าขนาดนั้น ถ้าเป็นนักธุรกิจหรือนักการเมือง พอยืนหยัดจนสำเร็จแล้วก็มีเงินมีอำนาจใช่ไหม แล้วเราทำไปจะได้อะไรกัน จริงอยู่ คำตอบที่ควรจะตอบก็คือได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก ได้ทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อ แต่มันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ การที่ต้องสู้โดยไม่เหมือนว่าจะมีวันชนะ และถึงแม้ว่าชนะ เราก็คงไม่ได้อะไรมากไปกว่าความสุขใจที่สิ่งที่เราเชื่อมั่น ได้เป็นประโยชน์กับคนอื่นเขาบ้าง รู้นะว่ามันมีไม่กี่คนหรอกที่จะดังจากการทำวิจัยจริงๆ แต่การทำวิจัยโดยรวมจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องอาศัยความก้าวหน้าเล็กๆจากคนจำนวนมาก เพื่อไปเป็นรากฐานให้สังคมก้าวไปข้างหน้าได้ เรียกว่าถึงทำดีก็คงไม่ได้เห็นผล ถ้าบอกว่าจะได้เห็นผล ชาติหน้าก็ยังอาจจะช้าไปด้วยซ้ำ (มีนักวิชาการกี่คนล่ะที่ตายไปแล้วสังคมเพิ่งมาเห็นว่าสิ่งที่เขาคิดไว้นั้นมันมีประโยชน์) ไม่ใช่เราว่าไม่พอใจกับการที่ทิ้งความรู้อะไรไว้ให้คนข้างหลังหรอกนะ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องมีเงินมีชื่อเสียงถึงจะพอใจ แต่บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการที่เราอยู่ในวงการที่มีแต่คำว่า ไม่พอ เช่น ยังดีไม่พอ หลักฐานยังไม่พอ ยังไม่น่าจะมีประโยชน์พอ ยังไม่มีเงินสนับสนุนให้พอ ยังไม่เป็นเรื่องที่ประเทศต้องการเน้นวิจัยในตอนนี้ (เรื่องที่จะทำมันไม่ตรงเป้าหมายพอ) ในวงการที่เน้นเรื่องการจับผิด (จริงๆแล้วถือเป็นสิ่งที่ดีกับการสร้างเสริมความรู้ให้มนุษยชาตินะ เพราะความรู้จะเป็นความรู้จริงๆได้ก็ต้องผ่านการคัดกรองอย่างดีจากระบบใช่ไหมล่ะ) แต่ไม่ให้กำลังใจความพยายาม ในวงการที่สละเวลาและอุทิศตน แล้วถ้าเราเองก็อยากเป็นแค่คนธรรมดาๆที่อยากมีครอบครัว ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ใช้เวลากับคนที่เรารักล่ะ จะทำได้ไหม? ใจหนึ่งก็อยากทำตามอุดมการณ์อยู่หรอกนะ แต่บางครั้งก็นึกเสมอเลยว่ามันคุ้มกันหรือเปล่า? |
Vinter
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
Group Blog All Blog
Friends Blog Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
ตั๊กว่า ความพยายามของคนเราไม่เคยเปล่าประโยชน์หรอกค่ะ
อย่างน้อยถ้าเราพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ก็ถือว่าเราชนะตัวเองได้แล้วค่ะ
แต่ถ้าเหนื่อยก็พักบ้างนะค่ะ :)
สู้ๆ นะค่ะ