เย็นย่ำนั้น คนแน่นที่ร้านไรเตอร์ ซีเคร็ท
ก็ไม่ใช่ปรากฏการณ์แปลกประหลาด เมื่อนับว่าโดยปกติแล้วที่นี่ก็มีมิตรสหายทั้งขาประจำและขาจรแวะเวียนมาเสมอ ค่าที่มีทั้งงานเสวนา หนังสือและเครื่องดื่มขมปากแต่ชื่นใจพร้อมอยู่ในที่เดียวกัน อีกทั้งยังไม่ต้องนับว่าผู้คนที่แวะมาเยี่ยมเยียนที่นี่ก็น่าจะพูดจาภาษา เดียวกันอยู่แล้ว
เย็นของวันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน แดดอ่อนและอุ่น ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามาในพื้นที่ร้าน ใครจับจองเก้าอี้ได้ก็นั่ง ที่ไม่ทันจองก็ยืน เหลือไปจากนั้นก็นั่งอยู่ด้านนอก รินน้ำขมไปพลางฟังแถลงการณ์ไปพลาง
ใช่-แถลงประกาศยุติการทำนิตยสาร Writer ยุคที่ 3
ยุค ที่ต้อ-บินหลา สันกาลาคีรี หรือวุฒิชาติ ชุ่มสนิท ถือธงเป็นผู้นำทัพเมื่อ 4 ปีก่อน ฟื้นคืนนิตยสารวงการนักเขียนที่เงียบหายไปพักหนึ่งให้กลับมาคึกคักใหม่
ไม่ ใช่แค่ความอุตสาหะในระดับเรียกเลือดเรียกเนื้อ แต่ต้องใช้พื้นที่ในหัวใจขนาดใหญ่ที่จะเข็นนิตยสารออกมาให้เป็นรูปเป็นร่าง ท่ามกลางสังคมที่กำลังผลัดเปลี่ยนพื้นที่สื่อไปสู่โลกออนไลน์ ไม่นับว่าความสนใจในแวดวงวรรณกรรมก็เบาบางจางลงทุกที
วันนี้เขาตัดสินใจแล้ว ที่จะยุติทุกสิ่งลง
ไม่ได้ยอมแพ้ ไม่ได้ถอดใจ
เพียงแต่มันถึงเวลาแล้ว
"ก็ เป็นปัญหาเรื่องทุนนะ" หัวเรือใหญ่อย่างเขาแจง บินหลานั่งเอนหลังบนเก้าอี้ด้วยท่าทีผ่อนคลาย เขาดูไม่กดดันที่จะต้องเอ่ยแถลงข่าวการจากลาเช่นนี้ ตรงหน้าเขาแน่นไปด้วยนิตยสารไรเตอร์ทั้ง 38 ฉบับในยุคสมัยของเขา
"เรา มีปัญหาเรื่องทุนหมุนเวียน คือการจะทำหนังสือมันต้องมีทุนสะสมไว้ 6 เดือนถึงจะคล่อง แล้วเราเองก็ขาดทุนมาบ้าง แม้จะทำทุกวิถีทางแล้วเพื่อจะยื้อไว้"
ไรเตอร์ในยุคของเขา นำเสนอวงการวรรณกรรมยุคปัจจุบัน ความเคลื่อนไหวทั้งใหญ่และเล็กน้อย ปรากฏให้เห็นในหน้านิตยสารอย่างสม่ำเสมอ
อุทิศ เหมะมูล-บินหลา สันกาลาคีรี-วรพจน์ พันธุ์พงศ์
แม้เขาจะยอมรับว่า ช่วงหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม เขาและกองบรรณาธิการจำต้องหยุดตีพิมพ์นิตยสารไปอีกพักใหญ่จนหลายคนค่อนขอด ว่านี่ไม่สมควรจะเรียกว่านิตยสารรายเดือนด้วยซ้ำ
แต่ไรเตอร์ฉบับน้ำท่วมก็ออกมาจนได้-หลังเหตุการณ์น่าเศร้านั้นผ่านไปและทุก พื้นที่แห้งสนิทแล้ว
นี่เป็นเรื่องเดียวที่บินหลาน้ำตารื้นเมื่อกล่าวถึง
"จำได้ว่าตอนนั้นไม่มีเงินเลย เหลือเงินอยู่ไม่มาก ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงานเสียด้วยซ้ำ"
น้ำตา ที่เอ่อออกมาและเขารีบคว้าทิชชู่ขึ้นมาซับนั้นบอกชัดว่า การผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ สำหรับเขาแล้ว มากไปกว่าความยาก อาจหมายถึงความผูกพันระหว่างตัวเขาและทีมงานที่ดื้อดึงต่อความเจ็บปวดและ อุปสรรคมากมายมายที่ดาหน้าเข้ามา
"ผมภูมิใจกับนิตยสารของผมทุกเล่มนะ ดีใจที่ได้ทำขึ้นมา"
บ่อย ครั้งที่เวลาพูด เขาหันไปหาเพื่อนร่วมทีมที่กอดคอก่อร่างสร้างไรเตอร์ยุคที่ 3 ขึ้นมาอย่างหนึ่ง-วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ซึ่งนั่งใส่เสื้อสีชมพูบาดตา และเอ่ยย้ำว่า ไม่เคยตั้งใจจะเข้ามาอยู่ในวงการหนังสืออีกครั้งสักนิด
"แต่ เพราะเป็นบินหลาชวน ก็เลยตกลงใจ" เขายิ้ม สำหรับเขาซึ่งเคี่ยวกรำตัวเองอยู่ในวงการสื่อ นิตยสารและหนังสือมาหลายปี ย่อมรู้ถึงความหดหู่และน่าเหนื่อยหน่ายในวงการนี้มากยิ่งกว่ามาก
"ก่อน เริ่มทำไรเตอร์ ผมพูดกับวรพจน์ว่า หนังสือมันเกิดมาเพื่อจะตายอยู่แล้ว" บินหลากล่าว ยิ้ม-เป็นยิ้มที่ภูมิใจและชื่นใจเมื่อเอ่ยถึงเพื่อน
"แต่ก่อนที่จะตาย มันทำอะไรได้บ้าง มีคนคิดถึงมันขนาดไหน สุดท้ายถ้ามันทำหน้าที่ได้ดี แล้วถึงเวลาที่ต้องตายก็คงปล่อยให้เป็นวันเวลาของคนใหม่ๆ ที่เขามาทำหน้าที่แทนต่อไป"
นั่นไม่ใช่การพูดส่งเดช บินหลาส่งไม้ต่อให้คนรุ่นใหม่ซึ่งเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครด้วยการแนะแนวทางอย่างยินดี
ขณะที่บรรณาธิการคนสุดท้ายของยุคที่ 3 อย่างม่อน-อุทิศ เหมะมูล นั่งยิ้มกริ่มอยู่เกือบตลอดเวลาต่อหน้าแก้วไวน์
"ผมมีความสุขนะ" นั่นเป็นคำที่เขาเอ่ยย้ำๆ ระหว่างแถลงการณ์ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม "ผมมีความสุขจริงๆ"
กับ หน้าที่บรรณาธิการที่ถูกทาบทามมาพักใหญ่แต่ก็ปฏิเสธไป ด้วยเหตุผลที่ว่ายังง่วนอยู่กับการเขียน "จุติ" นวนิยายเล่มล่าสุดที่ส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลซีไรต์ปี 2558 และเมื่อเขียนจบแล้ว จึงมารับไม้ต่อเป็นบรรณาธิการ ดูภาพรวมในนิตยสารต่อจากบินหลา
"คืออาจจะมีคนบอกว่า เราสัมภาษณ์แต่คนกันเอง แต่ผมอยากบอกนะว่า คุณไปทำตัวเองให้เจ๋งก่อนสิ แล้วเราจะไปสัมภาษณ์"
ชัดเจนในตัวเองอย่างที่เขาเป็นมาเสมอ ไม่ใช่ไม่ยี่หระต่อคำวิจารณ์ แต่เขาแน่วแน่ในแนวทางของตัวเองและนิตยสารมาแต่ไหนแต่ไร
ทั้ง บินหลาและอุทิศผลัดสลับกันเล่าถึงที่มานิตยสารแต่ละเล่ม ซึ่งลงเอยด้วยการที่วรพจน์ขายตรงมันเอาดื้อๆ พร้อมสัมทับว่า บางเล่มเหลือน้อยแล้วนะ-แต่ถ้าติดต่อซื้อที่เราก็ยังทัน
น่ายินดีที่ บรรยากาศของการพูดคุยยังอบอุ่นเสมอต้นเสมอปลาย มากกว่านั้นยังเปี่ยมด้วยอารมณ์ขันอันมากล้นของคนทั้งสาม (ฮาครืนสุดน่าจะไม่พ้น ที่อุทิศตั้งอกตั้งใจบรรยายถึงวันที่บินหลามีความสุข มากๆ กลางร้านข้าวขณะกรึ่มๆ
เครื่องดื่มขมๆ จนวอนจะเรียกหมัดเรียกกำปั้นจากเด็กหนุ่มโต๊ะข้างเคียง แต่ยังดีที่เพื่อนๆ-ก็คืออุทิศนั่นล่ะ พากันลากเขาออกไปก่อน-ซึ่งบินหลาออกมายืนยันภายหลังว่า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้มีครั้งแรกหรอก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขอบใจอุทิศมากๆ เพราะเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีกลิ่นอันตรายหึ่งอยู่รอบตัว)
"มันเหมือนกับเราออกเรือไป ไม่รู้หรอกว่าจะเจออะไรบ้าง-แต่มากที่สุดที่จะเป็นไปได้คือ อุปสรรคมันก็แค่จะจมเรือเรา ไม่มากไปกว่านั้น" บินหลายิ้ม
วันนี้ ไรเตอร์ออกเรือมาไกลแล้ว และคงจะออกเดินทางไปเรื่อยๆ รอถึงจังหวะของคนรุ่นใหม่ที่จะออกเรือต่อ ในยุคที่ 4 ยุคซึ่งอาจจะมีใครสักคนรับแรงบันดาลใจมาจากกลุ่มคนเหล่านี้ และลงทั้งแรงและหัวใจเช่นเดียวกับที่พวกเขาทำ
และใช่-ออกเรือไปเช่นเดียวกับพวกเขาเหมือนกัน