ช็อกศุกร์ 13 (13 พฤศจิกายน 2558) กับเหตุโจมตีต่อเนื่องทั้งระเบิดและกราดยิงในกรุงปารีส ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 120 ราย บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก และคาดว่ายอดตายจะเพิ่มขึ้นอีก ถือได้ว่าเป็นการก่อวินาศกรรมครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส โดยกลุ่มคนร้ายซึ่งคาดว่าเป็นพวกอิสลามิสต์หัวรุนแรงได้วางแผนโจมตีเป้าหมายอย่างน้อย 6 จุด ตั้งแต่สนามกีฬาขนาดใหญ่ ห้องคอนเสิร์ต ศูนย์ศิลปะบาตาคล็อง (Bataclan) และร้านอาหาร                ช่วงนี้หลายประเทศนอกจากจะเฝ้าระวังกันในประเทศตัวเองอย่างเข้มงวดแล้ว ยังร่วมไว้อาลัยกันทั่วโลกด้วย อย่างหลายสถานที่สำคัญของโลก ได้มีการประดับไฟสีแดง ขาว และน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีธงชาติของฝรั่งเศส เพื่อไว้อาลัยโศกนาฏกรรมครั้งเลวร้ายนี้ เช่น โอเปราเฮาส์ ในนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ,โค้งวอชิงตันสแควร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ,รูปปั้นของพระเยซู Christ of Redeemer ในเมืองรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ฯลฯ

นอกจากนี้ ในโลกโซเชียลยังได้มีการแชร์ภาพผลงานของดีไซเนอร์ฝรั่งเศส Jean Jullien ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์เสรีภาพสำหรับเหตุก่อการร้ายครั้งนี้ โดยรวมภาพหอไอเฟลเข้ากับสัญลักษณ์สากลเพื่อสันติภาพ มีการแชร์มากกว่า 1 แสนครั้งบนอินสตาแกรม (Instagram) เฟซบุ๊ก (Facebook) และทวิตเตอร์ (Twitter)                  รวมถึงเหล่าศิลปินและนักออกแบบจากทั่วทุกมุมโลกจึงร่วมใจกัน ลุกขึ้นมาแสดงความไว้อาลัยผ่านลายเส้นที่ขีดเขียนขึ้นมา เพื่อส่งต่อกำลังใจให้แก่ "ปารีส" จากเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น

ส่วนฟากของดาราฮอลลีวูดคนดังหลายคน อย่าง แองเจเลนา โจลี ,เดวิด เบ็คแฮม, เทย์เลอร์ สวิฟต์ ก็ได้มีการโพสต์ภาพแสดงความเสียใจและไว้อาลัยเช่นกัน

ส่งให้ #PrayForParis กลายเป็นแฮชแท็กที่แพร่หลายและมีความหมายที่สุดอยู่ในขณะนี้ ตามมาด้วย #PeaceForParis ที่เพื่อนร่วมโลกช่วยกันส่งต่อ เพื่อเรียกร้องให้เหตุการณ์ความไม่สงบที่กำลังเกิดขึ้น สิ้นสุดลงเสียที...

ไทม์ไลน์ ก่อการร้ายที่ฝรั่งเศสในรอบ 3 ปี                 ถือว่าเหตุการณ์ “ศุกร์ 13 ปารีสเลือด” เป็นเหตุกาณ์ที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส นับตั้งแต่ปี 2012 โดยสำนักข่าว Telagraph ของอังกฤษ ได้ลำดับเหตุก่อการร้ายในฝรั่งเศสช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนทั้งหมด 8 ครั้ง (นับรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดด้วย) ซึ่งสำนักข่าวอิศรา //www.isranews.org ได้สรุปข้อมูลมานำเสนอดังนี้                 เริ่มที่ เดือนมีนาคม 2012 เมื่อมีชาวฝรั่งเศสเชื้อสายอัลจีเรีย ได้สังหารทหาร 3 นาย พร้อมกับครูอีกหนึ่งคนและเด็กนักเรียน 3 คน เหตุเกิดในโรงเรียนยิวแห่งหนึ่งในเมืองตูลุส ภายหลังผู้ก่อการได้ปลิดชีพตัวเอง                 23 พฤษภาคม 2013 ผู้ก่อการร้ายก่อเหตุบุกเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหาร เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้เสียชีวิต                 ธันวาคม 2014 ผู้ก่อการร้ายบุกเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยมีด พร้อมตะโกน พระนามอัลลอฮฺ เหตุการณ์นี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่ผู้ก่อการจะยิงตัวเองในที่สุด                 7 มกราคม 2015 เกิดเหตุบุกยิงกองบรรณาธิการและนักเขียนการ์ตูน นิตยสาร ชาลี เอ็บโด เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 12 ราย                 8 มกราคม 2015 กลุ่มผู้ก่อเหตุจากเหตุการณ์ ชาร์ลี เอ็บโด สังหารตำรวจหญิง 1นาย ก่อนจะบุกเข้าไปสังหารพลเรือนอีก 4 ราย ในซุเปอร์มาเก็ตชาวยิวในปารีส ภายหลังผู้ก่อเหตุ ทั้งสอง ถูกวิสามัญฆาตกรรม                 3 กุมภาพันธ์ 2015 เจ้าหน้าที่ทหาร 3 นายในเมืองนีซ ถูกโจมตี ได้รับบาดเจ็บ                 26 มิถุนายน 2015 มีผู้ก่อการร้ายบุกเข้าไปในโรงงานผลิตสารเคมีในเมือง Grenoble เพื่อติดตั้งระเบิด โดยในเหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ภายหลังทางตำรวจสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้หนึ่งราย                 ดร.ศราวุฒิ อารีย์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์มุสลิมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับไทยพีบีเอส ว่า จากการวิเคราะห์คาดว่าสาเหตุที่ฝรั่งเศสตกเป็นเป้าการก่อการร้าย เพราะฝรั่งเศสมีปัญหาเรื่องการอยู่ร่วมกันของชาวมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ชาวมุสลิมถูกเลือกปฏิบัติในหลายๆ ทาง ซึ่งมองว่าฝรั่งเศสเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตะวันออกกลางหลายเหตุการณ์ โดยเฉพาะหลังอาหรับสปริงส์ ที่ฝรั่งเศสเป็นผู้นำในการโค่นระบอบกัดดาฟีในลิเบีย

ส่อง 5 อันดับก่อการร้ายสุดโหด                 เหตุการณ์ก่อการร้ายหาใช่เกิดถี่ที่ฝรั่งเศส หากยังเกิดขึ้นมาแล้วหลายแห่งในโลกและโหดสุดๆ ด้วย เว็บไซต์ TOPTENTHAILAND จัดอันดับการก่อการร้ายที่อันตรายที่สุด ซึ่งผู้จัดการ Live ขอสรุปนำเสนอ 5 อันดับดังนี้                 1.Train Attacks รถไฟและระบบขนส่งถือว่าเป็นเป้าหมายการก่อการร้ายได้เป็นอย่างดี เพราะง่ายกว่าเครื่องบินและเรือ อีกทั้งเมื่อเกิดความเสียหายจะเกิดวงกว้างมีประสิทธิภาพสูง                 เหตุการณ์ก่อการร้ายโดยรถไฟนั้นมีมากมายหลายเหตุการณ์เช่น 20 มีนาคม 1995 สาวกลัทธิโอมชินรีเกียวปล่อยพิษซารินบนรถไฟใต้ดินแถวชินจูกุส่งผลทำให้ ให้คน 12 คนเสียชีวิต และบาดเจ็บ 5,510 คน เป็นคดีฆาตกรรมอย่างไม่เลือกตัวครั้งใหญ่ที่สุด หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และสร้างความตื่นตระหนกไปจนทั่วโลก                 หรือจะเป็นเหตุการณ์เมื่อปี 2001 เมื่อรถไฟโดยสารถูกวางระเบิดในแองโกรา เมื่อผู้ก่อการร้ายวางระเบิดต่อต้านรถถัง ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิต 250 คน                 2. Improvised Explosive Device (IED) คาร์บอมบ์ เป็นระเบิดที่กลุ่มก่อการร้ายมักจะใช้ในการโจมตีสถานที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นทางการทหารหรือพลเรือน แม้ประสิทธิภาพความเสียหายของมันจะมีขนาดเล็ก แต่หากระเบิด IED อัดแน่นเต็มรถ มันจะกลายเป็นระเบิดขนาดใหญ่ที่น่ากลัวและป้องกันยากมาก                 หนึ่งในเหตุการณ์ที่ผู้ก่อการร้ายโจมตีด้วยรถระเบิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ การลอบวางระเบิดอาคารอัลเฟรต พี. เมอร์ราห์ ในใจกลางเมืองโอคลาโฮมา ซิตี้ เมื่อวันที่ 19 เมษายน 1995 โดยผู้ก่อการร้ายชื่อ ทีโมธี แม็คเวห์ นักนิยมขวาจัด ใช้รถบรรทุกที่ซุกซ่อนระเบิดเอาไว้ แรงระเบิดทำลายอาคารเกือบทั้งหลัง มีผู้เสียชีวิต 168 คน บาดเจ็บกว่า 800 คน เหยื่อของความ รุนแรงส่วนหนึ่งคือ เด็กที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กที่อยู่ภายในตึกนั้น                ปัจจุบันคาร์บอมเป็นที่นิยมของผู้ก่อการร้าย โดยการโจมตีครั้งร้ายแรงที่สุด คือการใช้คาร์บอม 4 คันระเบิดในบริเวณ Qahtaniya และจาซีรา ในปี 2007 มีผู้เสียชีวิต 796 รายและบาดเจ็บ 1500 คน

3. Nuclear and ‘Dirty’ Bombs ประธานาธิบดีบารัก โอบามา พูดในที่ประชุมสุดยอดผู้นำจาก 40 ประเทศทั่วโลกว่า ตอนนี้กลุ่มก่อการร้ายอันตรายอย่างอัลกออิดะห์มีอาวุธนิวเคลียร์ที่พร้อมจะยิงทุกเมื่อได้ตามที่ต้องการแล้ว                ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับอาวุธหนึ่งที่น่ากลัวพอๆ กับอาวุธนิวเคลียร์ นั่นก็คือการใช้ระเบิดสกปรก หมายความว่าเป็นระเบิดที่มีสารกัมมันตรังสีผสมกับวัตถุระเบิด เมื่อระเบิด ไม่เพียงแต่มันจะสร้างความเสียหายเท่านั้น แต่มันยังส่งรังสีนิวเคลียร์สู่ชั้นบรรยากาศ และสารพิษในรัศมีวงใหญ่ ซึ่งถ้ามันระเบิดในพื้นที่ประชาการขนาดใหญ่ ผลกระทบจะเหมือนที่เกิดภัยพิบัติในเหตุการณ์โรงงานเชอร์โนบิล นิวเคลียร์ระเบิด ในปี 1986 ที่ส่งผลให้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นตาย เพราะพิษรังสีหรือเป็นโรคมะเร็ง                 4. Mail Attacks พัสดุระเบิดหรืออาวุธก่อการร้ายที่ส่งมากับไปรษณีย์ (หรือจะส่งเอง) เป็นการก่อการร้ายสุดฮิตทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 18 เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย ไร้ร่องรอย แต่มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งยังส่งผลต่อจิตวิทยาเพราะการส่งไปรษณีย์นั้น เป็นของในชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้ของสังคมโลกเสรี                เหตุการณ์การก่อการร้ายโดยพัสดุระเบิด คือ ธีโอเดอร์ คาซินสกี้ ที่รู้จักกันดีในนาม “ยูนาบอมเบอร์” อดีตศาสตราจารย์ที่ใช้ส่งพัสดุระเบิดไปให้เป้าหมาย และสามารถฆ่าเหยื่อได้สามคน และเขาสามารถลอยนวลกว่า 20 ปีกว่าที่จะถูกจับ ซึ่งระหว่างที่เขาลอยนวลอยู่นั้นเขาทำให้สังคมอเมริกาหวาดกลัวอย่างหนัก                 5. Misinformation ข่าวเท็จคือ การแพร่กระจายข่าวที่เป็นเท็จ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นข่าวไม่ดี ทำให้เกิดภัยคุกคามต่อหน่วยงานหรือประชาชน ส่งผลทำให้เกิดความเสียหายทางอ้อมกับประชาชน ถือว่าข่าวเท็จเป็นการก่อการร้ายทางจิตวิทยาที่คนร้ายมักใช้ประจำ เช่น คนตะโกนเตือนฝูงคนที่อยู่ในพื้นที่แออัดว่ามีไฟไหม้ แน่นอนว่าหลายคนต้องตื่นตระหนก และวิ่งไปในสถานที่ปลอดภัย ส่งผลทำให้มีการเหยียบกันตายและบาดเจ็บหลายราย                ปัจจุบันกลุ่มก่อการร้ายมีความรู้และมีเครือข่ายที่ทันสมัยมาก พวกเขามักใช้เส้นสายทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์กระจายข่าวเท็จเกี่ยวกับภัยก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง เช่น วันนี้ฉันจะไปก่อการร้ายที่นี้นะ รัฐบาลรับมือให้ดีล่ะ ถ้ากลุ่มก่อการร้าย สามารถเข้าถึงระบบการสื่อสารได้ละก็ บางทีโลกของเราอาจจะเหมือนภาพยนตร์เรื่อง DIE HARD4 ก็ได้                                นับวันเหตุการณ์ก่อการร้ายมักเกิดขึ้นถี่ยิบ โดยไม่เลือกรูปแบบ ไม่เลือกตัวบุคคล หากใจดำฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างเลือดเย็น ประชาชนตาดำๆ ทั่วโลกกลายเป็นเหยื่อ เฮ้อ....โลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน!

เครดิตภาพ tumblr anotherwellkeptsecret

เครดิตภาพ tumblr Nell Blossom

เครดิตภาพ tumblr msftshai

เครดิตภาพ tumblr Flight Lessren

ข่าวโดย ผู้จัดการ Live        ขอบคุณภาพ: #PrayForParis #PeaceForParis

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

จันทรวารสิริสวัสดิ์ค่ะ    

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2558 10:58:16 น.		0 comments
Counter : 1408 Pageviews.
Share Tweet