เศษกระดูกบนภูเขา (30) (Bones of the Hills)
บทความพิเศษ ธาวิต สุขพานิช จักรวาลวิทยา, ธัญบุรี
"หวงอี้" (Huang Yi) เป็นนักเขียนจีนแนวกำลังภายในอิงประวัติศาสตร์ ผู้ยอดเยี่ยมมากในแทบจะทุกเรื่อง ซึ่งไม่จำกัดแค่พงศาวดารเท่านั้น แต่จะครอบคลุมถึงดินฟ้าอากาศของหุบเขา พงไพร เทือกเขา แม่น้ำ ลำห้วย ชายหาด และเกาะแก่งใหญ่น้อย ฯลฯ ของจีนอื่นๆ อีกมากมาย
และเขาดูจะเป็นผู้รู้เกี่ยวกับพวกเร่ร่อนนอกกำแพงใหญ่ด้วย ในเรื่อง "จอมคนแผ่นเดือด" หวงอี้แจ้งให้ผู้อ่านทราบความลับของ "ทัวปากุย" (ค.ศ.371-409) ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ตัวเอก (ร่วมกับเอี้ยนเฟย และหลิวอวี้แต่เป็นชาวเซียนเปยขนานแท้ดังนี้
"ทัวปากุยมีความลับประการหนึ่ง ที่ไม่เคยบอกต่อผู้ใดรวมทั้งเอี้ยนเฟย นั่นคือเขากลัวการเข้าเมือง
ทัวปากัวมิใช่กลัวว่า ภายในเมืองมีผู้คนมากมาย หากแต่กลัวกำแพงโอบล้อมเอาไว้ มีแต่อยู่กลางทุ่งหญ้าอันกว้างไพศาล เขาค่อยเกิดความรู้สึกปลอดภัย
มิหนำซ้ำตัวเมืองต่างๆ เป็นเป้าหมายเด่นชัด ขณะที่อยู่ภายใน ทำให้เขาเกิดความไม่สบายใจ คล้ายถูกหัวธนูเล็งใส่ [ก็ไม่ปาน]"
ด้วยข้อเขียนเกี่ยวกับ "ทัวปากุย" ดังกล่าว (หวงอี้ : เขียน น. นพรัตน์ : แปล, จอมคนแผ่นดินเดือด เล่มที่ 12, กทม., 2550, กิเลนการพิมพ์, น.133.) มันให้ความรู้สึกคล้ายกับว่า หวงอี้รับรู้ถึงอารมณ์ของชาว "นอกด่าน" อย่างลึกซึ้งจริงๆ
เพราะชาวปศุสัตว์เร่ร่อนทุกคน (รวมถึงตัวเจงกิสฯ เองด้วย) ต่างมีความรู้สึกคับข้อง อึดอัดใจ เวลาเข้ามาอยู่ในเมืองเหมือนกันหมด อีกนัยหนึ่งคือมันมิใช่เป็น "ความลับ" อะไรเลย
พร้อมๆ กันนั้น ตัวเอกของเรื่องๆ นี้ คือ "เอี้ยนเฟย" ซึ่งแม้นจะเป็น "ลูกครึ่งจีน" แต่ก็เกิดและเติบโตในทุ่งกว้าง ก็ควรจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกันด้วย
มันเป็นความรู้ที่แตกต่าง และตรงกันข้ามกับของชาวจีนอย่างสิ้นเชิง เพราะตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของพวกเขา ชาวจีนจะรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงได้ เมื่อมี "กำแพง" โอบล้อมพวกเขาเอาไว้ (ปัจจุบันแปลงไปเป็น "ลูกกรงเหล็กดัด" ซึ่งโปร่งกว่าเดิม แต่ก็เป็น "กำแพง" อยู่นั่นเอง)
และเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว ลูกหลานยังปรับต่อกลายเป็น "สุสาน" อันเป็นปราการอีกรูปแบบหนึ่ง
หากระหว่างที่เจงกิสฯ มีชีวิตอยู่ ยังไม่ยอมเข้าสู่ตัวเมืองที่มีกำแพงเมือง และหลีกเลี่ยงจากสิ่งก่อสร้างที่มีหลังคาที่หนาหนัก อย่างพวกปราสาท ราชวัง โบสถ์ วิหาร หรือกระทั่งบ้านเรือนทั่วไป เพราะรู้สึกว่าพวกมันเป็นคล้ายคุกที่คุมขัง ปิดกั้นความเป็นอิสระเสรีของตัวเขา (อันเป็นลักษณะปกติของชาวปศุสัตว์เร่ร่อน)
แล้วมีเหตุผลใดเมื่อยามล่วงลับไปแล้ว เจงกิสฯ จะยินดีให้เรือนร่าง และจิตวิญญาณแห่งตัวเขา ไปสถิตอยู่ในสิ่งปลูกสร้างจำพวกสุสาน อันเป็นอาคารสำหรับคนตาย เยี่ยง "ชาวเมือง" หรือ "ผู้เจริญ" เขานิยมกระทำกัน เพราะคนพวกนั้นจะรู้สึกสุขสงบได้ก็ต่อเมื่อ มีหลังคาที่แข็งแรงไว้คุ้มหัว มีบ้านเรือนที่รั้วรอบขอบชิด
เจงกิสฯ ไม่เคยสนใจ ไม่เคยให้ความสำคัญ ว่าเขาจะตายที่ไหน หรือตายแบบใด เพราะเขาจะทราบเป็นนัยๆ แล้วว่า เขาจะต้องเสียชีวิตระหว่างศึกสงคราม ไม่ในสมรภูมิแห่งใด ก็ในสมรภูมิอีกแห่งหนึ่ง เพราะในช่วงชีวิตของตัวเขา (ค.ศ.1162-1227) คิดคร่าวๆ ได้ราว 65 ปี ซึ่งยาวนานอย่างเหลือเชื่อ
สำหรับนักรบผู้กรำศึกแทบจะทุกเมื่อเชื่อวัน เจงกิสฯ ก็อยู่รอดมาได้และแถมได้ชัยในทุกๆ สมรภูมิด้วย อันเป็นสถิติซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และคงไม่มีใครกระทำได้อีกตลอดกาลนาน แต่เมื่อถึงวันและเวลาที่เขาเสียชีวิต
ซึ่งถึงจะอยู่ระหว่างการยึดคืนแผ่นดิน Xi Xia อันเป็นประเทศราชมาเก่าก่อน แต่การ "ตกม้าตาย" ของตัวเขา ก็มาจากอาการบาดเจ็บสะสม หลังจากการศึกต่อเนื่องกว่า 40 ปีเต็ม
การเสียชีวิตของเขาระหว่างทำศึก เอื้อให้คู่ต่อสู้สร้างตำนานประหลาดๆ มากหลาย เช่น มีนักรบอันยอดเยี่ยมของฝ่ายตน ยิงลูกศรจากกำแพงเมือง และธนูดอกนั้นยิงทะลุคอของเขาบ้าง หรือถูกนักโทษหญิงที่เพิ่งจับตัวมาได้ และพยายามจะข่มขืนฝืนใจ
แต่เชลยหญิงคนนั้นขัดขืนสุดฤทธิ์ และใช้มีดสั้นที่แอบพกติดกายมา ตัดเฉือนอวัยวะเพศของเขา จนเสียชีวิตในเวลาต่อมา เป็นต้น
(กรุณาสืบค้นข้อมูลพวกนี้ด้วยตัวท่านเองนะครับ เพราะมีแหล่งของข้อมูลมากมาย เกินกว่าจะให้อ้างถึงไหว!)
แต่ไม่ว่าเขาจะตายอย่างไร มันก็ไม่มีความสำคัญใดๆ สำหรับเขา เพราะสิ่งที่เจงกิสฯ ให้ความสำคัญสูงสุด คือการใช้ชีวิตอย่างไร นั่นต่างหากที่อนุชนคนรุ่นหลัง ควรแสวงหาและเรียนรู้ เพราะหากจะยกเว้นเหล่าศาสดา หรือประกาศกของศาสนาต่างๆ อันเป็นผู้นำ "ทางธรรม" หรือทางจิตวิญญาณแล้ว
เจงกิสฯ คือผู้นำ "ทางโลก" ที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าใครอื่นทั้งหมด ไม่เคยมีใครทำได้ เช่น เขามาก่อน และยังไม่เคยมีใครทำได้อย่างเขาอีกเลย
แม้กระทั่งในเรื่องเกี่ยวกับ "ศาสนา" เอง เจงกิสฯ ก็ได้ไปเกี่ยวข้องอย่างมากโดยไม่เจตนา เพราะในช่วงชีวิตของเขา (1162-1227) นั้น เป็นช่วงเดียวกับที่ชาวตะวันตก กับชาวตะวันออก กำลังทำสงครามศาสนา (Crusades) กันอย่างเข้มข้น
และกองทัพมองโกลของเขา ก็อยู่ระหว่างการรุกรานทั้งตะวันออกกลาง (ของพวกมุสลิม) กับทวีปยุโรป (ของชาวคริสต์) พร้อมๆ กันไป
แล้วทำไมในตำราเกี่ยวกับ "สงครามครูเสดส์" ทั้งหมด โดยเฉพาะในตำราระดับ "อารยธรรมโลก" (World Civilizations) จึงไม่มีการพาดพิงหรืออ้างถึง บทบาทของมองโกลในด้านนี้เลย
คล้ายกับว่า มันเป็นสงครามระหว่าง "แขก" ผู้นับถือศาสนาอิสลาม กับ "ฝรั่ง" ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ล้วนๆ เท่านั้น????
ขอบคุณ มติชนออนไลน์ คุณธาวิต สุขพานิช
Create Date : 14 ตุลาคม 2554 |
Last Update : 14 ตุลาคม 2554 9:49:38 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1262 Pageviews. |
|
|
|
|
|