ถึงแม้ว่าหน้าจะใสไม่เท่า ริ้วรอยเริ่มคืบคลาน แต่ประสบการณ์ฉันชนะพวกเธอ (โฮะโฮะโฮะ!!!) นี่คือข้อดีของอายุที่มากขึ้น อยากมีเท่าเราต้องแก่ตามมาให้ไวๆ ซึ่งใครจะไปเร่งคืนเร่งวันได้จริงไหม เพราะฉะนั้น ยิ่งแก่ยิ่งประสบการณ์เยอะ ที่สำคัญมันอาจจะเป็นประโยชน์กับคนที่รุ่นต่อจากเราได้
วันก่อนฉันได้ทำหน้าที่อบรมน้องๆ ผู้ประกาศข่าวรุ่นใหม่ หรือจะเรียกเท่ๆ ว่า young blood ก็ดูดี แถมรุ่นนี้เป็นรุ่นอินเตอร์เพื่อรองรับ AEC ที่กำลังจะมาถึง ดังนั้น เรื่องภาษาอังกฤษน้องๆ ไฟแล่บกันอยู่แล้ว โชคดีที่ฟังพูดคุยภาษาไทยได้ ไม่งั้นคงต้องหาคนอบรมใหม่ซะแล้ว
มีน้องๆ ชายหญิงรวม 8 คน ฉันต้องนั่งโต๊ะหน้าห้องเหมือนคุณครูยังไงยังงั้น เขาเตรียมคอมพิวเตอร์ โปรเจ็กเตอร์ อุปกรณ์การสอนไฮเทคไว้เต็มที่ ฉันปิดคอมพ์ลง ปิดจอไฮเทคทั้งมวล แต่ขอเปิดม่านไฟฟ้าให้ห้องทั้งห้องสว่างขึ้น
น้องๆ บอกว่าตั้งแต่อบรมมา ไม่เคยเปิดม่าน และไม่มีใครมาปิดคอมพ์ด้วย (เอ่อ...มันดีไหม) เอาเป็นว่าสิ่งที่ฉันต้องการจะบอกเขาภายในเวลาชั่วโมงกว่า มันไม่ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่ในตัวฉันทั้งในสมอง เลือดเนื้อ และหัวใจ (หรืออาจเป็นข้ออ้างของคนไม่มีอุปกรณ์การสอน)
ฉันจึงอยากให้เราเห็นหน้าค่าตา แววตากันอย่างชัดเจน เพราะยิ่งมีน้อยคน เรายิ่งสามารถมองลึกลงไปในแววตาของพวกเขาได้ ว่าแต่ละคนคิดและรู้สึกอะไรกันอยู่
คําถามแรกนอกจากจะให้แนะนำตัวเองแล้ว ฉันให้ทุกคนบอกถึงความฝันของตัวเองว่าต้องการเป็นอะไร ต้องการทำอะไร ให้นึกคิดกันให้ดีๆ ยิ่งเห็นเป็นรูปเป็นร่าง เห็นสิ่งแวดล้อม เห็นว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ทำอะไรยิ่งดี เพราะถ้าเราเห็นว่าตัวเองอยากทำอะไรแบบชัดเจน เราก็จะเห็นหนทางที่เดินไปถึงได้เด่นชัดมากขึ้น
แต่ละคนมีความฝันไม่เหมือนกัน บางคนอยากเป็นนักข่าวที่รอบรู้ทุกเรื่อง
บางคนอยากเป็นผู้ดำเนินรายการด้านการเมือง
บางคนอยากทำสารคดีที่ต้องลงไปคลุกคลีใช้ชีวิตอยู่นานๆ
บางคนอยากเป็นพิธีกรที่เป็นตัวของตัวเองสุดๆ
บางคนอยากทำรายการเกี่ยวกับเรื่องสวยๆ งามๆ
หรือบางคนอยากเปิดร้านอาหาร ก็มี!!
น่าแปลกที่อาชีพนักข่าวสามารถเรียนอะไรมาก็มาทำได้ แต่ถ้าเรียนนิเทศศาสตร์มาอีกล่ะก็ มันก็จะได้เปรียบกว่าหน่อย ตรงที่เข้าใจเรื่องการสื่อสารเร็วขึ้น แต่มันก็ไม่สำคัญเท่ากับหลังจากนั้นคุณมุ่งมั่นกับอาชีพนี้มากขนาดไหน
และสำหรับอาชีพนักข่าว ก็สามารถต่อยอดไปทำอาชีพอื่นๆ ได้อีกมากมาย นี่อาจจะเป็นที่มาให้พ่อแม่ของน้องบางคนบอกให้ลูกมาเรียนรู้ชีวิตคนผ่านการเป็นนักข่าว ก่อนที่ลูกจะทำอะไรต่อไปในอนาคต
ฉันให้น้องๆ ถามตัวเองก่อนว่า ตัวเองมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้หรือไม่ อย่างเช่น ความอยากรู้อยากเห็นและกระตือรือร้นกับสิ่งรอบๆ ตัวเสมอ ถ้าไม่มีความอยากรู้ก็ไม่รู้จะถามอะไร สนใจอะไร มันก็ไม่รู้จะถ่ายทอดอะไรออกมา
สำหรับฉันมาชัดเจนว่าตัวเองอยากเป็นนักข่าวตอนเรียน ม.5 แล้ว ตอนนั้นมาเรียนพิเศษที่สยามสแควร์แล้วสยามไฟไหม้!! ในขณะที่คนอื่นวิ่งหนีไฟ แต่นังนี่วิ่งเข้าหาไฟ เพราะอยากรู้ว่ามันไหม้ที่ไหน ยังไง ยิ่งเห็นกล้อง เห็นนักข่าววิ่ง ก็ดันวิ่งตามเขา เพราะอยากเห็นการทำงานของเขา อยากบอกเขาว่า หนูเป็นคนอยู่ในเหตุการณ์ หนูอยากเล่ามาก อยากบอกใครๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เรื่องอะไรที่เราไม่รู้แล้วถ้าเราอยากรู้ เราจะพยายามหาคำตอบจากมันให้ได้และทำมันด้วยความสนุกด้วย
คุณสมบัติอีกอย่างคือ ความอดทน ความถึกที่ต้องมี เพราะเป็นงานที่ทำงานไม่เป็นเวลา หยุดไม่เหมือนชาวบ้าน ชีวิตไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็นหน้าจอ ยิ่งช่วงเข้าทำงานใหม่ๆ ทำทุกอย่าง ตั้งแต่ทำข่าว เขียนข่าว ตัดต่อ ลงเสียง แบกขาตั้งกล้อง ยันไปช่วยถ่ายเอกสารสคริปต์ของคนอ่านข่าว เดินเทปไปห้องออกอากาศ วางสคริปต์ให้ผู้ประกาศบนโต๊ะ รับแขก ชงกาแฟ ทำมาแล้วทั้งนั้น และทำด้วยความเต็มใจ
อย่าคิดถึงแต่เรื่องเงินและชื่อเสียง ขอให้ทำงานด้วยความตั้งใจและสนุกกับมัน ทำงานออกมาให้ดี ไม่ต้องมานั่งคิดเรื่องเงินทอง ของแบบนี้มันจะมาเองในวันหนึ่ง แต่ขอให้จิตจดจ่ออยู่กับการจะทำงานให้ดีขึ้น ดีขึ้น พัฒนาปรับปรุงตัวเองไปเรื่อยๆ ขยัน หนักเอาเบาสู้
และอีกอย่างต้องใจกว้าง เปิดใจยอมรับกับคำวิจารณ์ถ้าวันหนึ่งได้มาอยู่หน้ากล้อง ทุกคนเขาทำหน้าที่ของตัวเอง และเราก็มีหน้าที่ทำงานเราให้ดีที่สุด เรารู้ในเจตนารมณ์ที่ดีของตัวเองจงมุ่งมั่นทำต่อไป ทุกคนต้องเคยท้อแท้ อ่อนแอ ผิดหวัง แต่เราต้องแข็งแกร่งและผ่านมันมาให้ได้
ที่สำคัญจงฟิตซ้อมตัวเองอยู่เสมอ เพราะเราไม่รู้ว่าโอกาสจะมาหาเราเมื่อไหร่ ถ้าเราซ้อมวิ่งอยู่เสมอ วันใดได้รับเลือกให้ลงสนาม เราจะพร้อมทันที ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งเกิดผู้ประกาศตัวจริงเขาเป็นอะไรขึ้นมา แล้วเขาต้องหาคนมาอ่านแทนด่วน ถ้าเราเป็นคนที่พร้อมและเขาเห็นว่าเราทำได้ บางทีโอกาสมันก็มาพร้อมวิกฤตินี่แหละ
ขอให้คุณมุ่งมั่น ตั้งใจกับความฝัน และขยันที่จะทำมันให้เป็นจริงค่ะ!
ที่มา
//www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1348410015&grpid=03&catid=&subcatid=