ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่นคือ ให้ความสำคัญต่อกระบวนการ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรเดี๋ยวค่อยว่ากัน เป้าหมายก็ตั้งไว้ แต่จะบรรลุหรือไม่ นั่นคือเรื่องทีหลัง เรื่องนี้สะท้อนออกมาในการศึกษาสำหรับเด็กด้วย คือ ส่งเสริมให้รู้สึกเสียก่อน เดี๋ยวต่อไปกระบวนการนั้นจะกลายเป็นความคิด การคิดเป็นเรื่องที่ต้องสอน แต่ความรู้สึกเป็นสิ่งที่มีติดตัวมาแต่เกิดและนำมาใช้ได้ง่ายมาก การให้เด็กแสดงความรู้สึกแบบไม่ปรุงแต่งด้วยคำถามพื้นๆ ของครู รู้สึกอย่างไรก็ให้พูดแบบนั้น ฝึกให้เด็กตรวจสอบความรู้สึกของตัวเอง โดยมีครูตะล่อมไปในแนวทางที่เหมาะสมจะเป็นการสอนให้เด็กรู้จักมองตัวเองกับสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การคิดเป็นในที่สุด โรงเรียนญี่ปุ่นทำอย่างไร? นี่ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรเลย ภาษาญี่ปุ่นมีคำว่า คันโซ (感想;kansō) แปลว่า ความรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ครูมักให้เด็กแสดงความรู้สึกต่อเรื่องที่ฟัง หรือได้อ่าน หรือได้ทำ ทั้งแบบปากเปล่าและด้วยการเขียน ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดคือ เด็กเล็กๆ ชอบฟังนิทาน เรื่องเล่า ละครกระดาษประกอบคำบรรยาย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ตรึงความสนใจของเด็กได้เสมอ ครูอนุบาลหรือครูประถมของญี่ปุ่นจะเล่าหรืออ่านเรื่องพวกนี้ให้เด็กฟังเป็นระยะ หรือไม่ก็ให้เด็กอ่านเอง พอจบเรื่องก็จะถาม คันโซ คือถามความรู้สึก ซึ่งก็ง่ายมาก ขั้นแรกคือถามความรู้สึกที่สัมผัสได้ทันที เช่น ชอบไหม? ชอบตัวละครไหน? ชอบฉากไหน? เอาใจช่วยตัวละครตัวไหน? ขั้นต่อไปคือความรู้สึกที่ประกอบด้วยเหตุผล ทำไมถึงชอบ? ทำไมถึงไม่ชอบ? ถ้าหนูเลือกได้ อยากเป็นตัวละครตัวไหน? เพราะอะไร? และจะได้คำตอบสั้นๆ จากเด็ก ไม่มีคำตอบไหนที่ผิด ทำให้เด็กๆ สนุกและมีส่วนร่วมไปกับเรื่องที่ตัวเองได้ฟัง นำไปสู่ทัศนคติที่ดีต่อการเรียนตลอดจนการฟังและการพูด และการให้เด็กแสดงความรู้สึกยังเป็นช่องทางที่จะใช้ประยุกต์เพื่อสอนคุณธรรมให้เด็กด้วย เช่น เมื่อรู้สึกสงสารก็อยากช่วย เมื่อรู้สึกถูกเอาเปรียบ ครูก็สามารถสอนให้รักความยุติธรรม เมื่อเด็กรู้สึกโกรธ ครูก็จะสบช่องสอนให้รู้จักอภัย จะเห็นได้ว่า จากความรู้สึก ก็เริ่มคาบเกี่ยวกลายเป็นจินตนาการกับความคิดและการหาเหตุผลในใจตัวเอง นั่นจะพัฒนาไปสู่การเรียบเรียงความคิดและการเขียนได้ จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองที่ผ่านการศึกษาของไทย จำได้แม่นยำจนถึงทุกวันนี้ว่าเกลียดวิชาเรียงความมาก เพราะเขียนไม่ได้ เขียนไม่เป็น โดยที่ไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไร ตอนนั้นอยู่ ป.6 เริ่มเรียนวิชาเรียงความ ครูบอกแค่ว่าไปเขียนเรียงความมาโดยจะต้องมีคำนำ เนื้อเรื่อง และบทสรุป หัวข้อคือ ทุเรียน ว่าแต่คำนำคืออะไร? เนื้อเรื่องคืออะไร? บทสรุปคืออะไร? เด็ก ป.6 คิดไม่ออก ทำได้ไม่ดี ก็เขียนแค่พอส่งๆ ไป ไม่ชอบการเขียนจนโต และไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นนักเขียนอย่างทุกวันนี้ จนไปเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วจึงรู้สาเหตุว่าตอนเด็กๆ เราเขียนไม่ได้ เพราะเราไม่เคยสำรวจความรู้สึกของตัวเองต่อหัวข้อ ถ้าครูชี้นำด้วยคำถามง่ายๆ ว่า เธอชอบทุเรียนไหม? มันอร่อยไหม? กลิ่นหอมไหม? ถ้ามีคนบอกว่ามันเหม็น เธอรู้สึกยังไง? ถามความรู้สึกแค่นี้เอง ก็จะเริ่มได้เนื้อหา นำมาเรียบเรียงแล้วใส่โครงสร้าง ก็จะกลายเป็นงานเขียนชิ้นเล็กๆ ของเด็กคนหนึ่งขึ้นมา แต่การณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ผมถึงไม่รู้สึกรักการเขียนกระทั่งไปเรียนที่ญี่ปุ่น
|